นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 295 เรื่องอื้อฉาว 1
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 295 เรื่องอื้อฉาว 1
“ท่านป้า ข้าวกระสอบนี้พวกท่านสามารถกินได้ตลอดทั้งเดือนแล้ว” โจวกุ้ยหลานขัดจังหวะนางทันที
ญาติก็ญาติเถอะ นางดูแลคนจำนวนมากขนาดนั้นไม่ได้
การเลี้ยงดูคนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนางไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย
เมื่อเห็นว่าโจวกุ้ยหลานโกรธ หลี่ซิ่วยิงก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก
ขณะที่นางกำลังจะออกไปพร้อมกับอาหารบนหลัง โจวกุ้ยหลานก็หยุดนางไว้และบอกให้นางรอก่อน ถึงตอนกลางคืนค่อยแบกอาหารกลับไป ไม่อย่างนั้นถ้าคนอื่นรู้ว่าที่ครอบครัวของนางมีอาหาร คนพวกนั้นก็คงมาปล้นชิงกันอีก
หลี่ซิ่วยิงนั่งลงและพูดคุยอยู่กับเหล่าไท่ไท่
เหล่าไท่ไท่บอกกับหลี่ซิ่วยิงว่าอย่านำอาหารไปให้จางเสี่ยวจุ๋ย เพราะครอบครัวของนางส่งอาหารไปให้จางเสี่ยวจุ๋ยแล้ว พอหลี่ซิ่วยิงรู้เรื่องนี้ สีหน้าของนางก็ดูน่าเกลียดมาก
ตอนแรกคิดว่าเรื่องนี้น่าจะจบลงแล้ว ใครจะไปคิดว่าหลังจากนั้นสองวัน คนในหมู่บ้านจะมาเพื่อขออาหารอีก พอยืมอาหารไม่ได้ก็มาขอเงินโจวกุ้ยหลานเพื่อไปซื้ออาหาร
โจวกุ้ยหลานรู้สึกเหนื่อยมากที่ต้องรับมือกับเรื่องพวกนี้ ต่อมาคนพวกนั้นก็มาตะโกนอยู่ข้างนอก แต่นางไม่แม้จะเปิดประตูออกไป
ไม่กี่วันต่อมา จางเสี่ยวจุ๋ยก็มาเยี่ยมเยือนอีกครั้ง นางรู้สึกผิดมากที่ท้องของตนเองหิว ซึ่งความหมายก็คือนางจะมาขออาหารนั่นเอง
โจวกุ้ยหลานนั่งอยู่ข้างๆ ฟังนางร่ำไห้อย่างเงียบๆ รู้สึกได้ว่านางมีบางอย่างผิดปกติ
“อาสะใภ้สาม ท่านตัวคนเดียวกินเยอะขนาดนี้ได้อย่างไร ครอบครัวของลุงใหญ่ทั้งครอบครัวเพิ่งกินอาหารไปได้แค่ครึ่งกระสอบ แต่ท่านคนเดียวกลับกินอาหารหมดในชั่วระยะเวลาสั้นๆ?”
สีหน้าของจางเสี่ยวจุ๋ยดูไม่เป็นธรรมชาติ แล้ววินาทีถัดมานางก็หยิบผ้าเช็ดหน้าในมือขึ้นมาปิดปาก ส่งเสียงอู้อี้ว่า “ครอบครัวพ่อแม่ของข้ามาขออาหาร ข้า… ข้าปล่อย… ปล่อยให้พวกเขากลับไปมือเปล่าไม่ได้หรอก…”
ครอบครัวพ่อแม่มาขอยืมอาหารอีกแล้วเหรอ…
เพียงแต่คราวนี้โจวกุ้ยหลานไม่เชื่อ
บางทีอาจเป็นเพราะจางเสี่ยวจุ๋ยเห็นสีหน้าของโจวกุ้ยหลาน ดังนั้นนางจึงใช้สองมือปิดหน้าและเริ่มสะอื้นขึ้นมาอีกครั้ง ท่าทางดูอ่อนแอบอบบางไม่แพ้หลินไต้อี้ว์เลย
เหล่าไท่ไท่พูดให้กำลังใจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยกับโจวกุ้ยหลานว่า “ไปแบ่งอาหารส่วนของพวกเรามาให้อาสะใภ้สามของเจ้าเถิด แล้วเราค่อยเปลี่ยนไปกินผักป่ากันให้มากขึ้นหน่อย!”
โจวกุ้ยหลานเองก็รู้ดีว่าตอนนี้นางไม่มีทางปฏิเสธจางเสี่ยวจุ๋ยได้ ดังนั้นนางจึงกลับเข้าไปในครัวและยกกระสอบอาหารออกมาอีกครั้ง นางส่งให้จางเสี่ยวจุ๋ยและบอกนางว่า “อาสะใภ้สาม อาหารเหล่านี้ท่านต้องกินให้ได้อย่างน้อยหนึ่งเดือนนะ ตอนนี้ทั้งครอบครัวของพวกข้าก็กินได้เพียงแค่หนึ่งเดือนเท่านั้น”
จางเสี่ยวจุ๋ยขอบคุณอีกครั้งและร้องไห้เดินจากไป
“เหตุใดข้าจึงรู้สึก…” เหล่าไท่ไท่มองแผ่นหลังของจางเสี่ยวจุ๋ยและหยุดพูดไปแค่นั้น ไม่พูดอะไรต่ออีก
“คิดว่าอาสะใภ้สามมีบางอย่างผิดปกติใช่หรือไม่เจ้าคะ” โจวกุ้ยหลานเอ่ยต่อ
โจวคายจือที่อยู่ข้างๆ ถามทั้งสองอย่างประหลาดใจว่า “มีสิ่งใดผิดปกติหรือ”
โจวกุ้ยหลานหันไปพูดกับจางคายจือว่า “ท่านพี่ ตระกูลซุนไม่ได้มาขออาหารจากท่าน”
โจวคายจือชะงัก จากนั้นจึงนึกถึงต้าหู่ขึ้นมา แล้วนางก็กังวลขึ้นมาอีกครั้ง ทุกวันนี้นางมักจะกังวลเสมอว่าต้าหู่จะไม่มีอะไรกิน นางอยากจะหาโอกาสคุยกับกุ้ยหลานอยู่หลายครั้งว่าให้นางนำอาหารไปมอบให้ต้าหู่บ้าง แต่นางก็ได้แต่กลืนคำพูดเหล่านั้นลงคอ
หลังจากจางเสี่ยวจุ๋ยลงจากภูเขาไปแล้ว โจวกุ้ยหลานจึงตามลงไปและตามนางไปจนถึงที่บ้าน นั่นเองนางจึงเห็นว่ามีผู้ชายคนหนึ่งออกมาต้อนรับ
โจวกุ้ยหลานถึงกับตกตะลึงเมื่อเห็นชายผู้นั้น
ที่แท้เขาก็คือซุนโก่วต้าน!
“ข้าเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว!” จางเสี่ยวจุ๋ยเอ่ยอย่างกระเง้ากระงอด
ซุนโก่วต้านรีบเข้ามาช่วยนางวางอาหารลง “ลำบากเจ้ามากเลยสินะ”
“เจ้าไม่รู้หรอกว่าสีหน้าของกุ้ยหลานนั่นน่าเกลียดขนาดไหน แค่ขอให้นางเอาอาหารมาให้นิดๆ หน่อยๆ ก็ทำเป็นชักสีหน้ามองข้า ถึงอย่างไรข้าก็เป็นอาสะใภ้สามของนางนะ!”
“นางมีคุณธรรมมากมิใช่หรือ ข้าจะบอกให้ คราวก่อนพวกเราออกปากช้าเกินไป ไม่อย่างนั้นคนในหมู่บ้านคงปล้นชิงเป็ดไก่ของนางไปหมดแล้ว เราเองก็คงฉวยโอกาสตอนชุลมุนชิงมาได้บ้าง!” ซุนโก่วต้านเอ่ยพลางก้มลงแบกกระสอบข้าวขึ้นมา
จางเสี่ยวจุ๋ยไม่พอใจ “ถ้าข้าไม่ระวัง ป่านนี้กุ้ยหลานคงรู้ไปแล้ว แล้วเราจะยังมีอาหารเหลืออยู่หรือไง”
“ก็ใช่ เจ้าฉลาดเสมอ!”
ซุนโก่วต้านกล่าวพลางยื่นแขนมาโอบจางเสี่ยวจุ๋ย จางเสี่ยวจุ๋ยเองก็อิงแอบแนบกายและเอื้อมมือเข้าไปในเสื้อผ้าของเขา ไม่รู้ว่าไปหยิกตรงไหนเข้า ซุนโก่วต้านจึงตื่นขึ้นมาตามสัญชาตญาณและจูงจางเสี่ยวจุ๋ยวิ่งเข้าไปในห้อง
“ประตูบ้านยังไม่ได้ปิด!” จางเสี่ยวจุ๋ยตะโกน
“จะสนใจประตูทำไมอีก ข้าถูกเจ้ายั่วจนไฟลุกขนาดนี้แล้ว!” น้ำเสียงของซุนโก่วต้านเต็มไปด้วยความร้อนรน และฝีเท้าก็ยิ่งเร็วขึ้นไปอีก
ทั้งสองคนเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็วและปิดประตูลงกลอนทันที
โจวกุ้ยหลานที่ยืนอยู่ที่ลานบ้านเดินออกมาแล้วส่งเสียง “ฮึ หญิงชั่วชายเลว!”
หลังจากสบถอย่างหยาบคายไปหนึ่งคำนางจึงกลอกตาและรีบตามเข้าไปในเรือน นางไปถึงห้องเก็บฟืนที่อยู่ข้างๆ และหอบฟืนออกมากองไว้ในลานบ้าน จากนั้นจึงเลือกฟืนแข็งๆ เดินไปที่หน้าประตูแล้วคล้องห่วงประตูสองข้างเอาไว้ ต่อมาก็ย่องเข้าไปในครัวแล้วหยิบหินเหล็กไฟออกมาจุดฟืนที่อยู่ในลานบ้าน เมื่อเกิดเปลวไฟและควันขึ้นมานางจึงค่อยเดินออกจากลานบ้านและซ่อนตัวอยู่ในมุมหนึ่ง
สองคนที่อยู่ในห้องลุกขึ้นมาทั้งที่เปลือยกายเมื่อได้กลิ่นควัน นั่นเองพวกเขาจึงเห็นว่ามีไฟอยู่ที่นอกหน้าต่าง
“เอาน้ำมาเร็ว! เร็วเข้า รีบเอาชีวิตรอด!” ทั้งสองรีบคว้าเสื้อผ้าอย่างร้อนรน แต่ยิ่งตื่นตระหนกก็ยิ่งสวมเสื้อผ้ายากขึ้น
เมื่อเห็นว่าควันเริ่มพวยพุ่งขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาก็รีบเปิดประตูและวิ่งออกมาที่ห้องโถงอย่างตื่นตระหนก พอเปิดประตูไม่ได้ สีหน้าของพวกเขาก็ซีดเผือดทันที
ตอนนี้สมองของทั้งสองระเบิด “ตูม” ทันใดนั้นจึงรีบตะโกนออกมาเพื่อขอความช่วยเหลือ
คนที่ลาดตระเวนอยู่ข้างนอกได้ยินเสียงจึงรีบวิ่งเข้ามาดูและช่วยดับไฟที่ลานบ้าน พอเปิดประตูได้จึงเห็นทั้งสองคนที่กำลังเปลือยกายอยู่ด้านใน
ผู้ชายเหล่านั้นมีสีหน้ายากจะบรรยาย
จางเสี่ยวจุ๋ยกับซุนโก่วต้านยังไม่ตระหนักถึงเรื่องนี้ พวกเขาได้แต่ปิดปากไอและวิ่งไปจนถึงลานบ้าน
จนกระทั่งเมื่อเห็นสายตาของทุกคนนางจึงหันไปมองซุนโก่วต้านที่อยู่ข้างๆ โดยไม่รู้ตัว เมื่อเห็นว่าเขาสวมเพียงแค่เสื้อคลุมตัวนอกตัวเดียว นอกจากนี้ยังไม่ได้กลัดกระดุม หัวของนางก็มีเสียงหวีดหวิว นางก้มลงมองตนเองและพบว่านางก็สวมเสื้อคลุมเพียงตัวเดียวและไม่ได้กลัดกระดุมเช่นกัน
“กรี๊ด!” นางกรีดร้องและรีบใช้สองมือดึงเสื้อผ้ามาปกปิดร่างกายของตน
ชายวัยสามสิบกว่าๆ ที่ยืนอยู่ข้างๆ โกรธจัดและยกมือขึ้นตบหน้านาง “นังแพศยา!”
สิ่งนี้เป็นเหมือนสัญญาณให้ใครอีกคนหนึ่งเงื้อมือขึ้นและตบหน้าจางเสี่ยวจุ๋ยอีกที
“ไม่ใช่ว่าในใจมีข้าเพียงคนเดียวหรอกหรือ ผู้ชายคนนี้มันทำอะไร”
ชายผู้นั้นตวาดออกมาอย่างทนไม่อยู่ แม้จะอยู่ในค่ำคืนที่มืดมิดก็ยังมีแสงไฟที่สว่างมากเพียงพอที่จะทำให้เห็นใบหน้าและลำคอแดงๆ ของเขา
เมื่อชายคนอื่นได้ยินเขาพูดดังนั้น สีหน้าของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความรู้สึกนานา
จางเสี่ยวจุ๋ยถูกตบจนล้มลงกับพื้น เสื้อผ้าที่เพิ่งกระชับเข้าหาตัวคลายออกอีกครั้ง นางปิดหน้าและนั่งตัวสั่นอยู่อย่างนั้นโดยไม่ได้พูดอะไรสักคำ
จบสิ้นแล้ว ทุกอย่างจบสิ้นแล้ว…
โจวกุ้ยหลานอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ
ไม่ใช่ว่าผู้ชายเหล่านี้เคยหลับนอนกับจางเสี่ยวจุ๋ยทุกคนหรอกนะ
ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้นเอง ผู้ชายเหล่านั้นก็ยืนยันความคิดของนางในวินาทีถัดมา ซุนโก่วต้านถูกผู้ชายหลายคนกระทืบทุบตีจนร้องโหยหวนเสียงดัง
จางเสี่ยวจุ๋ยร้องไห้สะอึกสะอื้นราวกับดอกสาลี่ที่ต้องหยาดฝน แต่เวลานี้พวกผู้ชายที่เคยชอบนางไม่ได้ใจอ่อนกับนางเลยแม้แต่น้อย