นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 296 เรื่องอื้อฉาว 2
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 296 เรื่องอื้อฉาว 2
ทางนี้มีการเคลื่อนไหวที่ครึกโครมมาก ชาวบ้านที่เดิมทีก็ไม่กล้านอนหลับสนิทต่างก็ตื่นมาจุดโคมไฟ ชาวบ้านใกล้เคียงต่างก็ตื่นขึ้นมาแล้ว รีบวิ่งมาทางด้านนี้
ผู้หญิงเหล่านั้นมองเห็นสภาพของจางเสี่ยวจุ๋ยและซุนโก่วต้าน แล้วมองเห็นสีหน้าของสามีตนเอง ตะโกนเสียงดังแล้วพุ่งเข้าไป ทั้งด่าทั้งตีจางเสี่ยวจุ๋ยไม่หยุด
โจวกุ้ยหลานนั่งอยู่ที่มุมกำแพง มองอย่างมีความสุข ได้ระบายอารมณ์ออกมาเสียที
นั่งยองๆ อยู่อย่างนี้นานแล้ว นางรู้สึกชาที่ขาแล้ว จึงแอบยืนตัวตรง เตะขาเพื่อยืดเส้นยืดสาย จึงทำให้อาการชาหายไป จากนั้นก็หมุนตัวเดินขึ้นไปบนภูเขา
ยุ่งมาครึ่งค่อนคืนแล้ว กลับไปต้องพักผ่อนดีๆเสียหน่อย
กลับไปถึงบ้านตนเองบนภูเขาท่ามกลางความมืด ล้มตัวลงนอนหลับทันที
เช้าวันที่สอง เหล่าไท่ไท่ก็มาหาโจวกุ้ยหลานถึงบ้าน กระชากนางลงมาจากเตียงเตา ไม่สนใจว่านางจะตื่นแล้วหรือไม่ ลากตัวนางเดินออกไปข้างนอก
“กุ้ยหลาน เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”
เหล่าไท่ไท่พูดกับโจวกุ้ยหลานหนึ่งประโยค ก็ออกมาถึงหน้าประตูลานบ้านแล้ว
โจวกุ้ยหลานยังคงหาวอย่างง่วงนอน “ถ้าเกิดเรื่องก็เรียกพี่ใหญ่ไปด้วยซิ”
“ไม่ได้ไม่ได้ ”เหล่าไท่ไท่รีบส่ายหน้าไปมา ลากตัวโจวกุ้ยหลานไปถึงหน้าประตูลานบ้านแล้ว
โจวกุ้ยหลานหูตาไว คว้าขอบประตูเอาไว้ไม่ยอมไปกับเหล่าไท่ไท่
“ท่านแม่ รีบเรียกพี่ใหญ่ไปด้วย เรื่องนี้นางจำเป็นต้องไปช่วยดู”โจวกุ้ยหลานพูดกับเหล่าไท่ไท่ จากนั้นก็หันไปร้องตะโกนเรียกโจวคายจือ
โจวคายจือที่เพิ่งจะหวีผมเสร็จวิ่งออกมาข้างนอก มองดูสภาพของพวกนางสองคน หัวใจก็รู้สึกกระวนกระวายขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว “เกิดอะไรขึ้น”
“เรื่องใหญ่ ท่านแม่บอกว่าเกิดเรื่องใหญ่แล้ว พวกเรารีบไปดูกันเถอะ”โจวกุ้ยหลานร้องตะโกนขึ้นอีกครั้ง
เหล่าไท่ไท่เห็นว่าลูกสาวคนโตของนางออกมาแล้ว ก็เริ่มหลบสายตา และไม่กล้าดึงตัวโจวกุ้ยหลานอีก
ทางด้านโจวคายจือที่ได้ยินสิ่งที่โจวกุ้ยหลานพูด ก็พยักหน้า เดินกลับเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว
“นังเด็กโง่ เจ้าจะทำให้พี่สาวเจ้าตายหรือไง”เหล่าไท่ไท่รู้สึกปวดใจมาก
แต่ไม่ว่านางจะปวดใจแค่ไหน ก็ไม่สามารถยับยั้งเรื่องที่เกิดขึ้นได้
ผ่านไปครู่เดียว โจวคายจือก็ถือกุญแจออกมา ปิดประตูบ้านให้เรียบร้อย แม่ลูกทั้งสามจึงลงไปจากภูเขา
เมื่อก้าวเข้าไปในบ้านของหวังโหยวเกิน ก็ได้ยินเสียงด่าทอต่อว่าดังออกมา
เมื่อทั้งสามคนเดินเข้าไปใกล้มากขึ้น คนอื่นๆเห็นว่าทั้งสามคนมาแล้ว ต่างก็หลีกทางให้ รอจนกระทั่งพวกนางเดินเข้าไปถึงด้านใน ก็พบว่าจางเสี่ยวจุ๋ยผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อชั้นในตัวเดียวที่ใส่อยู่ก็ขาดหลุดลุ่ย เผยให้เห็นผิวขาวนวลเป็นหย่อมๆ ใส่หรือไม่ใส่ก็มีค่าเท่ากัน
บนใบหน้า และลำตัว เต็มไปด้วยรอยขีดข่วน ใบหน้ามีแต่รอยฟกช้ำดำเขียว มองไม่ออกถึงเค้าเดิมของใบหน้า
โจวกุ้ยหลานส่ายหน้าหลายครั้ง แล้วมองไปทางซุนโก่วต้าน สภาพดูน่าสมเพชยิ่งกว่า บนใบหน้ามีแต่เลือด นอนร่างสั่นเทาอยู่กับพื้น
ทนดูไม่ได้ ทนดูไม่ได้เลยจริงๆ
นางเบือนหน้าหนี แล้วก็มองเห็นโจวคายจือที่ยืนทื่อจ้องมองซุนโก่วต้านที่กองอยู่บนพื้น ร่างของนางกำลังสั่นเทาไปหมด
“ท่านลุงโหยวเกิน นี่มันเกิดอะไรขึ้น ”โจวกุ้ยหลานเคลื่อนสายตาไปยังร่างของหวังโหยวเกินที่มีสีหน้าเคร่งเครียด และถามเขา
ไม่รอให้หวังโหยวเกินเปิดปากพูด ซิ่วเหลียนก็ชิงพูดขึ้นมาก่อนว่า “ยังจะมีอะไรอีก อาสะใภ้สามของเจ้า กับพี่เขยของเจ้าคบชู้กันไงเล่า ถ้าหากไม่ใช่เพราะฟืนในบ้านเกิดไหม้ขึ้นมา พวกเราก็คงไม่รู้เรื่องสกปรกเช่นนี้”
ซิ่งเหลียนเพิ่งจะพูดจบ ผู้หญิงที่อยู่ข้างๆกันนั้นก็ใช้กำปั้นทุบไปที่สามีของนางอย่างแรงหลายครั้ง “เจ้ามันคนไร้ประโยชน์ ถูกนางยั่วยวนจนหลงไหลแล้วซินะ เจ้าบอกมา เจ้านอนกับนางกี่ครั้งแล้ว เอาของในบ้านของพวกเราให้นางใช้เป็นการตอบแทนใช่หรือไม่ เจ้าพูดมานะ”
เสียงร้องไห้ของหญิงสาวคนนี้ดังขึ้น เสียงของกลุ่มคนที่เพิ่งจะสงบลงก็เริ่มเอะอะขึ้นมาอีกครั้ง ผู้หญิงเหล่านี้ฉลาดมาก สามีของตนเองเข้าไปรุมทำร้ายซุนโก่วต้านจนมีสภาพเช่นนั้น พวกนางจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าสามีของตนเองก็ไปเกี่ยวพันกับจางเสี่ยวจุ๋ยด้วย
ใบหน้าของเหล่าไท่ไท่ดูกราดเกรี้ยวมาก ดวงตาทั้งคู่จ้องเขม็งไปที่ร่างของทั้งสองคนที่อยู่บนพื้น
ถ้าหากไม่ใช่เพราะว่าที่นี่เป็นบ้านของผู้ใหญ่บ้าน นางจะจัดการคนสำส่อนทั้งสองให้ตายไปเดี๋ยวนี้เลย
“พอแล้ว จะทะเลาะอะไรกันหนักหนา”หวังโหยวเกินถลึงตา พร้อมตะคอกเสียงดัง
ตอนนี้ในใจของเขายังมีอารมณ์คุกรุ่นอยู่ เขาคิดมาตลอดว่าจางเสี่ยวจุ๋ยยุ่งเกี่ยวกับเขาแค่คนเดียว ไหนเลยจะคิดว่า ชายหนุ่มเกือบทั้งหมู่บ้านต่างก็เคยนอนกับนางมาแล้ว
จริงๆเลย น่าขายหน้ามาก
ผู้ใหญ่บ้านเอ่ยปากแล้ว คนอื่นๆจึงได้แต่เก็บอาการโมโหเอาไว้ คิดว่ากลับไปค่อยคิดบัญชีอีกที
และทุกคนต่างก็เงียบลงอีกครั้ง ได้ยินแต่เสียงสะอื้นไห้ของจางเสี่ยวจุ๋ย และเสียงร้องโอดโอยของซุนโก่วต้านเท่านั้น
หวังโหยวเกินเลื่อนสายตาไปมองโจวต้าซานที่ยืนอยู่อีกฝั่ง “พี่ชาย ทั้งสองคนนี้ล้วนเป็นคนในครอบครัวท่าน ท่านว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรดี”
หลังจากที่หวังโหยวเกินถามขึ้น ทุกคนต่างก็มองไปทางโจวต้าซานเป็นสายตาเดียวกัน
โจวต้าซานขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าขึงขังของเขาเต็มไปด้วยความหนักใจ
เขาสูบยาสูบเข้าปอดไปเฮือกหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า “ซุนโก่วต้านได้หย่ากับหลานสาวของฉันแล้ว ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับตระกูลโจวของข้า ส่วนน้องสะใภ้สาม……จางเสี่ยวจุ๋ย ก็ให้จัดการตามกฎหมู่บ้านเถอะ”
“ยังจะพูดว่าเป็นคนในครอบครัวพวกเราอีกหรือ น้องชายสามตายไปตั้งสิบกว่าปีแล้ว ไม่รู้ว่าจางเสี่ยวจุ๋ยเคยนอนกับผู้ชายมาแล้วตั้งเท่าไหร่ พวกเราต้องประหยัดอาหารการกิน เพื่อนำไปให้นาง ใครเลยจะคิดว่าพอนางกินอิ่มแล้วจะไปคบชู้สู่ชาย ข้าว่าคงต้องจับนางใส่ตะกร้าถ่วงน้ำให้ตาย ”หลี่ซิ่วยิงกัดฟันกรอด พูดแล้วก็ยังไม่หายโกรธ จึงถุยน้ำลายไปทางด้านนั้นของนางด้วย
หลายปีมานี้ครอบครัวของพวกนางยากจนแค่ไหน ยังต้องประหยัดอาหารให้กับหญิงร่านคนนี้อีก สุดท้าย ยังหาเรื่องให้สามีของนางอีก ถุย
โจวกุ้ยหลานหันไปมองรู้สึกว่าสิ่งที่หลี่ซิ่วยิงพูดนั้นถูกใจนางยิ่งนัก
แม้ว่านางไม่ได้อยากจะให้จางเสี่ยวจุ๋ยถูกถ่วงน้ำตาย แต่ถ้าหากยังจะต้องเอาอาหารของนางไปเลี้ยงดูหญิงสาวคนนี้อีก นางรู้สึกรังเกียจมาก
บางทีอาจเป็นเพราะโจวต้าซานรู้สึกโกรธจริงๆ ครั้งนี้จึงไม่มีการห้ามปรามหลี่ซิ่วยิงเหมือนกับเมื่อก่อน
เมื่อได้ยินว่าจะถูกถ่วงน้ำ จางเสี่ยวจุ๋ยก็ควบคุมตนเองไม่ได้ ร้องไห้โฮเสียงดังออกมา
ไม่อยากตาย นางยังไม่อยากตาย
“ยังจะมีหน้ามาร้องไห้อีกหรือ ตระกูลโจวของพวกเราไม่ดีต่อเจ้าตรงไหนเจ้าจึงได้ทำเรื่องสกปรกเช่นนี้ ถ้ารู้แต่แรกว่าเจ้ามันเหลวแหลก พวกเราก็คงไม่ต้องอดๆอยากๆแล้ว”หลี่ซิ่วยิงด่ากราด
จาวเสี่ยวจุ๋ยเหมือนไม่ได้ยินคำพูดนี้ ยังคงร้องไห้เสียงดังไม่หยุด
ตอนนี้นางลนลานจนสติแตกไปแล้ว ไหนเลยยังจะกล้าพูดอะไรอีก ถ้าหากนางกล้าต่อปากต่อคำ เกรงว่าคงต้องตายแน่ๆ
พวกผู้ชายที่เมื่อก่อนเคยมองว่าสีหน้าอ่อนโยนของนาง และน้ำตาที่ไหลพรากดูช่างน่าสงสารเหล่านั้น ตอนนี้ต่างก็ใจแข็งมาก
ส่วนเหล่าไท่ไท่ที่อยู่ข้างๆก็โมโหจนตัวสั่น โจวกุ้ยหลานจับไหล่ของนางเอาไว้แน่น ส่งสายตาให้นาง เหล่าไท่ไท่หันไปมองโจวคายจือ เห็นสีหน้าขาวซีดของนาง ก็ส่ายหน้าทันที รีบดึงมือนางแทรกตัวออกไปจากกลุ่มคน
ซุนโก่วต้านเหมือนจะรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง กำลังอยากจะเอ่ยปากพูดบางอย่าง ในกลุ่มคนนั้นไม่รู้ว่าใครที่เตะแผ่นหลังของเขาอย่างรุนแรงหนึ่งที เขาเริ่มร้องโอดโอยขึ้นมาอีกครั้ง
หมู่บ้านต้าสือที่เดิมทียังคงเงียบสงบอยู่ ได้วุ่นวายขึ้นมาอีกครั้งเพราะเรื่องนี้
สุดท้ายแล้ว คนในหมู่บ้านก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาตาย
ซุนโก่วต้านเป็นคนในหมู่บ้านซุน ถ้าหากทำให้เขาตายไปจริงๆ นั่นก็เท่ากับเป็นเรื่องของสองหมู่บ้าน ถึงเวลาคงต้องมีคนตายอีก