นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 297 เรื่องอื้อฉาว 3
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 297 เรื่องอื้อฉาว 3
ส่วนจางเสี่ยวจุ๋ย เป็นแม่หม้ายที่คบชู้สู่ชาย และมีหลักฐานตำตาว่าคบชู้กับชายหนุ่มต่างหมู่บ้าน แต่ก็ไม่สามารถจะนำไปถ่วงน้ำอย่างที่ว่าจริงๆ ใครใช้ให้โจวเสี่ยวซานอายุสั้นตายจากไปก่อน
สุดท้ายทั้งสองคนก็ถูกทำร้ายอีกรอบ และปล่อยพวกเขาไปเช่นนี้เอง
แน่นอนว่า ซุนโก่วต้านถูกทิ้งไว้ข้างถนน ส่วนจางเสี่ยวจุ๋ย ก็เดินลากเสื้อผ้าที่ขาดหลุดลุ่ยแทบจะปิดอะไรไม่มิดเดินตัวสั่นเทาผ่านบ้านชาวบ้านครึ่งหมู่บ้าน กลับไปยังบ้านตนเองท่ามกลางสายตาเฝ้าสังเกตการณ์ของทุกคน
กระทั่งนางได้สติคืนมา จึงพบว่าอาหารของนางที่ไปเอามาจากบ้านโจวกุ้ยหลานเมื่อคืนนี้ถูกขโมยไปขณะที่เกิดเรื่องชุลมุนเมื่อคืนนี้
โจวต้าซานเองก็ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ ถึงกับเรียกหลิวเกามา ให้เขาช่วยเขียนหนังสือหย่าหนึ่งฉบับ เป็นตัวแทนของตระกูลโจวในการหย่าขาดจากจางเสี่ยวจุ๋ย แม้แต่ที่ดินทำกินที่เคยให้โจวเสี่ยวซานก็ยึดคืนกลับมาด้วย เพราะแต่ไหนแต่ไรก็มีแต่ครอบครัวพวกเขาที่คอยช่วยปลูก จางเสี่ยวจุ๋ยแค่แบ่งอาหารไปเท่านั้น นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่ดินเหล่านั้นอยู่ที่ไหน จึงไม่ได้ยุ่งยากอะไร
เมื่อมีบทสรุปเช่นนี้ คนในชุมชนย่อมรู้สึกไม่พอใจ มีคนไม่น้อยที่ใช้น้ำล้างเท้าและน้ำจากส้วมสาดไปยังบ้านของจางเสี่ยวจุ๋ย ทำเอาบ้านของจางเสี่ยวจุ๋ยเหม็นหึ่งไปหมด
จางเสี่ยวจุ๋ยถูกรังแกกดขี่อยู่หลายวัน ในที่สุดก็ทนไม่ไหว เปิดประตูบ้านตนเอง ยืนอยู่หน้าบ้านพร้อมกับตะโกนด่าชาวบ้าน อีกทั้งยังขานชื่อชายหนุ่มแต่ละคนที่เคยร่วมหลับนอนกับนางออกมาด้วย
เมื่อถูกนางประจานออกมาเช่นนี้ บรรยากาศก็วุ่นวายขึ้นมาทันที ชายหนุ่มของหมู่บ้านต้าสือ แทบจะเคยนอนกับนางมาแล้วทั้งสิ้น แม้แต่ผู้ใหญ่บ้านและคนแก่ในหมู่บ้านก็หนีไม่พ้น
ขณะนี้บรรยากาศในหมู่บ้านยิ่งระอุมากยิ่งขึ้น ทุกคนนอกจากจะต้องหาอาหารแล้ว ยังมาทะเลาะวิวาทกันอีก
แน่นอนว่า เรื่องเหล่านี้ล้วนนี้เป็นสิ่งที่พูดถึงหลังจากเกิดเรื่องขึ้นแล้ว
ส่วนตอนนี้ โจวคายจือได้เดินตามเหล่าไท่ไท่กลับบ้านด้วยท่าทีโซซัดโซเซ จากนั้นก็ใจลอยสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
หลังจากที่โจวกุ้ยหลานกลับบ้านแล้ว ก็ไปดูแลลูกๆของตนเองตามปกติ
หลังจากผ่านไปหนึ่งวัน ไป๋ยี่เซวียนก็ให้คนมาส่งข่าว บอกว่าพวกโจวต้าไห่อยู่ในคุก
โจวกุ้ยหลานไม่กล้าลังเลให้เสียเวลา รีบไปที่บ้านของหวังโหยวเกินทันที นำเรื่องนี้ไปบอกกับหวังโหยวเกิน อยากจะปรึกษากับเขาว่าจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ดี
แต่พอซิ่วเหลียนได้ยิน ก็ร้องไห้ออกมาอย่างหนัก
สุดท้ายหวังโหยวเกินก็เสนอความเห็น เขาเก็บข้าวของของตนเอง และเอาเงินในบ้าน พาโจวกุ้ยหลานและโจวต้าซานเข้าไปในอำเภอพร้อมกัน
พอไปถึงในตำบล ไป๋ยี่เซวียนก็รออยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นพวกเรามากันแล้ว จึงใช้รถม้าของภัตตาคารตนเอง เร่งเดินทางเข้าไปในตำบลพร้อมกับพวกเขา
“ทำไมจึงถูกจับเข้าคุกได้ เถ้าแก่ไป๋ ท่าน ท่านเคยถามหรือไม่ว่าเพราะอะไร ”หวังโหยวเกินนั้นมีความเกรงใจต่อไป๋ยี่เซวียนเป็นอย่างมาก เพียงแต่ใบหน้านั้นมีแต่ความร้อนใจ
ไป๋ยี่เซวียนก็ไม่ได้ปกปิดอะไรพวกเขา “เห็นว่าไปมีเรื่องกับลูกชายของนายอำเภอ”
“ต้าไห่ไม่ใช่คนที่ไม่รู้กาลเทศะแบบนั้น”โจวต้าซานนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะพูดขึ้น
สายตาของไป๋ยี่เซวียนเคลื่อนไปมองที่ร่างของโจวกุ้ยหลาน เห็นนางมีสีหน้าหนักใจ ก็ยิ้มออกมา “พวกท่านไม่ต้องกังวลมากไป เรื่องนี้อย่างไรเสียก็แก้ไขได้”
โจวกุ้ยหลานเงยหน้าขึ้นมา เห็นไป๋ยี่เซวียนกำลังยิ้มให้นางอย่างอบอุ่น นางก็รู้สึกอบอุ่นใจ พยักหน้าให้เขาเล็กน้อย เป็นสัญญาณว่าเชิญยิ้มได้ตามสบาย
รถม้าเดินทางไปถึงในอำเภอช่วงเย็นของวันที่สอง ไป๋ยี่เซวียนจัดการหาที่พักให้พวกเขา จากนั้นทุกคนก็ปรึกษากันชั่วครู่ ตัดสินใจว่าจะไปเยี่ยมในเช้าวันพรุ่งนี้
อาหารค่ำทุกคนไปกินที่ภัตตาคารของเพื่อนไป๋ยี่เซวียน เดิมทีไป๋ยี่เซวียนอยากจะได้ห้องส่วนตัว แต่ถูกหวังโหยวเกินกับโจวต้าซานห้ามเอาไว้ สุดท้ายทั้งสี่คนก็นั่งกินข้าวกันในโถงรับรองใหญ่
โจวกุ้ยหลานเอาตะเกียบขึ้นมา กำลังคีบอาหารที่ตนเองชอบ ก็ได้ยินเสียงผู้ชายสองคนที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆพูดขึ้นมาว่า “เฮ้อ เจ้าว่านายพลสวีมีความสามารถมากแค่ไหน ถึงกับไปช่วยเหลือนายพลหลงออกมาได้ แคว้นจี้ถูกเขาโจมตีจนต้องถอยร่นไปเลย”
“จะเป็นไปได้อย่างไร แคว้นจี้ได้ยึดครองตำบลติดต่อกันถึงห้าตำบลเลยมิใช่หรือ”
“ข่าวของเจ้ามันนานแค่ไหนแล้ว เดือนที่แล้ว แคว้นจี้เพิ่งจะถอยทัพไป”ชายคนนั้นพูดอย่างตื่นเต้น
โจวกุ้ยหลานวางตะเกียบลง เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ
ยากมากที่จะได้ยินข่าวคราวของสวีฉางหลิน ไหนเลยจะยังมีกะจิตกะใจจะกินข้าว
ไป๋ยี่เซวียนหันไปมองสองคนนั้น แล้วมองไปที่โจวกุ้ยหลาน ยิ้มขมพลางส่ายหน้า และกินอาหารในถ้วยของตนเองต่อ
กระทั่งทั้งสองคนคุยกันพอประมาณแล้ว โจวกุ้ยหลานก็หันไปมองทั้งสองคน ยิ้มพลางถามพวกเขาว่า “ขอถามพี่ชายทั้งสอง ตอนนี้แม่ทัพนายพลสวีเป็นอย่างไรบ้าง”
เห็นได้ชัดว่าชายสองคนนั้นคงคิดไม่ถึงว่าจะมีหญิงสาวมาคุยกับพวกเขา เมื่อมองนางอย่างวิเคราะห์อยู่ชั่วครู่ ก็ถามนางกลับไปว่า “เจ้าถามเรื่องนี้ทำไม”
โจวกุ้ยหลานหยุดใบหน้ายิ้มแย้มทันที “ข้ารู้สึกเลื่อมใสวีรบุรุษเหล่านั้นมาตลอด ผู้ชายที่แสนดีอย่างนายพลสวี ย่อมต้องอยากรู้เรื่องราวของเขาให้มากขึ้น ”
เพิ่งจะพูดจบ ก็ได้ยินเสียงกระแอมไอของโจวต้าซาน นางหันไปมองโจวต้าซาน เห็นเพียงเขาที่กำลังส่ายหน้าให้นาง
หญิงสาวที่แต่งงานแล้ว ไหนเลยจะสามารถไปถามข่าวคราวของชายอื่นได้
โจวกุ้ยหลานบอกมาตลอดว่าสวีฉางหลินไปเป็นทหาร พวกเขาย่อมไม่รู้เลยว่า“นายพลสวี”ที่เขาพูดถึงกันนั้นจะเป็นนายพรานในหมู่บ้านของพวกเขาที่ชื่อสวีฉางหลิน
“ไม่มีความเป็นสตรีเลย”หนึ่งในชายหนุ่มมองมวยผมของโจวกุ้ยหลาน พร้อมสายตาดูถูก
เพียงแต่สายตาเช่นนั้นไม่ได้มองไปที่ใบหน้าของโจวกุ้ยหลานโดยตรง
ใบหน้านั้นขาวนวล องคาพยพทั้งห้าถูกสรรค์สร้างมาอย่างประณีตและสดใส สวยไม่เบาทีเดียว
มุมปากของโจวกุ้ยหลานเกือบจะชะงักค้างไป โชคดีที่ยังคงควบคุมไว้ได้ “วีรบุรุษของพวกเราไม่สมควรได้รับการเลื่อมใสหรอกหรือ”
“กับข้าวเย็นชืดหมดแล้ว พวกเรารีบกินเถอะ”โจวต้าซานพูด เอาปล้องยาสูบขึ้นมาเคาะที่โต๊ะ
หญิงคนนี้ ประเดี๋ยวจะถูกเอาไปนินทาแน่
โจวกุ้ยหลานอยากจะค้อนให้พวกเขามาก นางก็แค่อยากจะรู้ข่าวคราวของสามีตนเองเท่านั้น ทำไมจึงได้ยากเย็นนัก
เมื่อเห็นสีหน้าที่ดูฉลาดของนาง ไป๋ยี่เซวียนก็ยิ้มออกมา แต่เมื่อนึกถึงหวังโหยวเกินกับโจวต้าซาน ก็กำมือขึ้นมาปิดปากเอาไว้ปกปิดรอยยิ้มที่มุมปากพลางกระแอมออกมา หันไปมองทางชายหนุ่มสองคนนั้นและพูดว่า “ไม่ทราบว่าพี่ชายทั้งสองได้ยินข่าวคราวมาจากที่ใด”
“หลานชายของแม่ยายของน้องชายน้าเขยข้าเฝ้าด่านอยู่ที่นั่น หลายวันก่อนได้ส่งจดหมายกลับมา ข่าวต้องเป็นความจริงแน่นอน ”
ชายคนนั้นลูบหนวดเคราของตนเอง มีแววภูมิใจเล็กน้อย
โจวกุ้ยหลานเข้าใจขึ้นมาทันที ความสัมพันธ์ไม่ใกล้ชิดกันเลย
“ไม่ทราบว่าตอนนี้นายพลสวีเป็นอย่างไรบ้าง”ไป๋ยี่เซวียนถามต่อ
เมื่อได้ยินคำถามนี้ โจวกุ้ยหลานก็นั่งตัวตรง เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ
ชายที่มีหนวดเคราได้ยินถึงคำถามนี้ ก็แสดงออกถึงความในใจทันที “เรื่องนี้เจ้าไม่รู้หรือ คงมาจากบ้านนอกซินะ”
“พวกเรามาจากบ้านนอก เพิ่งจะออกจากภูเขา”ไป๋ยี่เซวียนคล้อยตามอย่างว่าง่าย
โจวกุ้ยหลานมุมปากกระตุก เคลื่อนสายตาไปมองใบหน้าของไป๋ยี่เซวียน
เมื่อเห็นนางมองมา ไป๋ยี่เซวียนก็พยักหน้าให้นาง และยังคงพูดกับชายสองคนนั้นว่า “สิ่งที่พวกท่านรู้ คนบนเขาไม่ได้เข้าอำเภอบ่อยเลย จึงไม่มีข่าวคราวอะไรไปถึงเลย”
ชายสองคนนั้นมองมาด้วยสายตาที่สงสาร “มิน่าล่ะ น้องชาย บนเขาแม้จะยากจนกว่าเล็กน้อย แต่วางใจเถอะ พวกเจ้าไม่มีทางอดตายแน่”
“ไม่อดตาย แต่ก็ขวางน้ำป่าที่ไหลหลากไม่ได้……”ไป๋ยี่เซวียนพูด ทั้งยังส่ายหน้าตามไปด้วย ราวกับกำลังเสียดายกับสิ่งที่ตนต้องสูญเสียไป