นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 299 เงินคืออาวุธที่ดีที่สุด
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 299 เงินคืออาวุธที่ดีที่สุด
โจวต้าไห่มึนงง “ขาหักอะไรกัน ”
สีหน้าของโจวกุ้ยหลานยิ่งเคร่งขรึมมากยิ่งขึ้น นี่หมายความว่า นายอำเภอหลอกอย่างนั้นหรือ
“แล้วจะทำอย่างไรดี จะช่วยพวกเขาออกมาอย่างไร”หวังโหยวเกินจนปัญญา หันไปถามโจวกุ้ยหลานกับโจวต้าซาน
“กลับไปก่อน แล้วไปซื้ออาหารมาให้พวกเขา ประเดี๋ยวพวกท่านส่งมาให้พวกเขากิน ข้าจะไปดูลาดเลาทางด้านนายอำเภอว่าเป็นอย่างไรบ้าง”โจวกุ้ยหลานพูด และเดินออกไป
ทุกคนกลับมาอีกครั้ง โจวกุ้ยหลานซื้อกับข้าวมาให้โจวต้าซานกับหวังโหยวเกินนำไปส่งในคุก นางเองก็พาไป๋ยี่เซวียนเดินทางไปที่ทำการปกครองอำเภอ
ไป๋ยี่เซวียนดึงชายเสื้อของตนเองเอาไว้ พลางร้องตลอดทางว่าช้าลงหน่อย
เมื่อถึงที่ทำการปกครองอำเภอ อาศัยแค่ใบหน้าของไป๋ยี่เซวียน ทั้งสองก็สามารถเข้าไปพบนายอำเภออย่างราบรื่น เห็นว่าเป็นชายอายุสี่สิบกว่าที่มีรูปร่างผอมแห้งคนหนึ่ง
หลังจากที่โจวกุ้ยหลานเอ่ยถึงจุดประสงค์ที่มาอย่างชัดเจนแล้ว เขาก็โบกมือ “พวกเจ้าไปเถอะ สองคนนี้ทำให้ลูกชายข้าขาหัก ข้าไม่มีทางปล่อยพวกเขาไปแน่”
โจวกุ้ยหลานหันไปสบตากับไป๋ยี่เซวียนแวบหนึ่ง ไป๋ยี่เซวียนชะงักไปชั่วครู่ ฝืนยิ้มออกมาบนใบหน้า โค้งตัวอย่างนอบน้อมให้กับนายอำเภอ และเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า
“ใต้เท้าเฉิน ถ้าหากพอจะให้เกียรติข้าบ้าง ให้พวกเขาช่วยทำการรักษาขาของคุณชายให้หายดีได้หรือไม่”
นายอำเภอดวงตาลุกวาว เกือบจะลุกขึ้นมาแล้ว แต่พอลุกขึ้นได้กึ่งหนึ่งก็เหมือนจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้ จากนั้นก็กลับไปทำหน้ามีเลศนัยยากจะคาดเดาได้อีกครั้ง พูดว่า “รักษาขาหายดีแล้ว พื้นฐานร่างกายก็ยังคงแย่อยู่ ย่อมไม่สามารถฟื้นฟูให้เหมือนแต่ก่อนได้ ”
“เช่นนั้นพวกเราจะพยายามซื้อยาบำรุงมาให้คุณชายบำรุงร่างกายดีหรือไม่”โจวกุ้ยหลานเสนอแนะ
วินาทีต่อมานายอำเภอก็ตบโต๊ะอย่างแรง “เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนอย่างไร ข้าเป็นถึงนายอำเภอยังต้องการเงินของเจ้ามาซื้อยาบำรุงหรืออย่างไร ”
โจวกุ้ยหลานนิ่งเงียบไป
หลังจากที่ถูกด่า ทั้งสองก็ถูกไล่ออกมาข้างนอก
“กลับไปที่โรงเตี๊ยมกันก่อนเถอะ ”ไป๋ยี่เซวียนเสนอขึ้น
ทั้งสองเดินทางกลับ โจวกุ้ยหลานสีหน้าหนักอึ้ง ไป๋ยี่เซวียนที่อยู่ข้างๆมองเห็นท่าทีของนาง ก็อดไม่ได้ที่จะพูดยิ้มๆว่า “เจ้านี่ช่างไม่มีประสบการณ์จริงๆเลย”
“ทำไมหรือ”โจวกุ้ยหลานหันไปมองเขา
ไป๋ยี่เซวียนส่ายหน้า พลางพูดว่า “เจ้าพูดตรงๆว่าจะให้เงินเขา เขาที่เป็นขุนนางจะไม่กลัวคนอื่นมาตรวจสอบหรือไง”
โจวกุ้ยหลานสีหน้าละอายใจ นางไม่ถนัดเรื่องทางด้านนี้จริงๆ
“เช่นนั้น ท่านว่าควรจะทำอย่างไรดี ”
“เช่นนั้นก็ต้องดูว่าเจ้าจะแสดงความจริงใจอย่างไรแล้ว”ไป๋ยี่เซวียนพูดขึ้น แล้วยืนนิ่ง จ้องมองนาง
โจวกุ้ยหลานก้มหน้านิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ พูดว่า “เอาอย่างนี้ข้าจะเพิ่มเสบียงอาหาร ให้อีกหนึ่งพันจิน”
“เจ้าคิดว่าข้าช่วยเจ้าเพราะต้องการเสบียงอาหาร หนึ่งพันจินอย่างนั้นหรือ”ไป๋ยี่เซวียนพยายามรักษาท่าทีของตนเองเอาไว้อย่างเต็มที่
“ถ้าอย่างนั้นก็สองพันจิน ”โจวกุ้ยหลานจ้องมองผู้ชายตรงหน้าเขม็ง และพูดขึ้น
แม้ว่านางจะมีเสบียงอาหาร ที่เก็บไว้ไม่น้อย แต่ก็คงจะเอามาถลุงเช่นนี้ไม่ได้
คิดถึงตรงนี้ นางก็รู้สึกกังวลขึ้นมา
มุมปากของไป๋ยี่เซวียนกระตุกเล็กน้อย ในที่สุดก็ยิ้มออกมา “เช่นนั้นก็ให้เสบียงอาหาร ข้าสองพันจิน ข้าจะสอนเจ้าเองว่าควรจะจัดการกับสถานการณ์เช่นนี้อย่างไร ”
“เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ ไม่สามารถให้มากกว่านี้แล้ว”โจวกุ้ยหลานโล่งใจเปลาะหนึ่ง
“ไม่แล้ว ต้องช่วยพี่ชายของเจ้าออกมาได้แน่”ไป๋ยี่เซวียนยิ้มยืนยัน และเดินนำหน้าไปก่อนแล้ว
โจวกุ้ยหลานรีบเดินตามไป ถามเขาว่า “ทางไปโรงเตี๊ยมผิดแล้ว”
“ไม่ไปโรงเตี๊ยม จะพาเจ้าไปจัดการเรื่องของนายอำเภอ”ไป๋ยี่เซวียนหันกลับมาตอบ ฝีเท้าก้าวไปข้างหน้าอย่างเร็วยิ่งขึ้น
เรื่องเช่นนี้โจวกุ้ยหลานไม่ค่อยจะเข้าใจนัก จึงไม่ได้พูดมากอะไร เดินตามหลังไป๋ยี่เซวียนออกไป
เมื่อไปถึงร้านขายเครื่องประดับที่ทำจากเงิน ไป๋ยี่เซวียนเดินเข้าไปหาเถ้าแก่โดยตรง จากนั้นให้เถ้าแก่เอาของที่ดีที่สุดออกมาให้
เถ้าแก่น่าวเมื่อเห็นว่าเป็นไป๋ยี่เซวียน ก็เชิญทั้งสองคนเข้าไปในรอในห้องโถงด้วยรอยยิ้ม ไม่ช้าก็ยกกล่องไม้กล่องหนึ่งออกมา เปิดฝากล่องออกให้ทั้งสองคนดู จากนั้นก็พูดว่า “เถ้าแก่ไป๋ นี่เป็นปิ่นปักผมที่ดีที่สุดของร้านเรา นี่เป็นฝีมือจากช่างฝีมือที่มีชื่อเสียงในตำบลหลวง ข้าเสียเวลาไม่น้อยกว่าจะได้มันมา ”
ไป๋ยี่เซวียนมองปิ่นปักผมที่ถูกประดับด้วยอัญมณีสีแดง และรูปทรงของปิ่นปักผม ยิ้มและกางพัดของตนเองออก ตอบกลับไปว่า
“เครื่องประดับนี้เป็นของหอเฟิ่งหวงมิใช่หรือ”
เมื่อถูกพูดถึงที่มาของปิ่น เถ้าแก่คนนั้นก็นิ่งอึ้งไป จากนั้นก็ประสานมือขึ้นมา พูดอย่างชื่นชมว่า “ไม่เสียทีที่เป็นเถ้าแก่ไป๋ ดูแวบเดียวก็รู้แล้ว พี่สะใภ้คนนี้ก็หน้าตางดงาม คู่ควรกับปิ่นพอดี ”
โจวกุ้ยหลานยิ้มพลางตอบว่า “เถ้าแก่ไป๋ย่อมต้องมอบให้กับว่าที่ภรรยาในอนาคตของเขา แต่ว่าวันนี้ข้าเป็นคนต้องการซื้อ ท่านอย่าได้ปฏิเสธที่จะขายให้ข้าเพราะเถ้าแก่ไป๋อย่างเด็ดขาด”
เถ้าแก่ร้านเครื่องประดับนิ่งอึ้งไป และเพิ่งรู้ตัวว่าได้พูดจาผิดไป จากนั้นก็หัวเราะกลบเกลื่อนเบี่ยงเบนหัวข้อสนทนา
หางตาของไป๋ยี่เซวียนเหลือบไปมองโจวกุ้ยหลาน เห็นนางยังคงมีท่าทีเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แววตาก็ชะงักค้างไป จากนั้นก็รู้สึกโล่งใจ
“นี่คือเพื่อนของข้า ท่านอย่าได้ขายแพงนักเลย”ไป๋ยี่เซวียนเลื่อนสายตาไปมองที่เถ้าแก่ร้านเครื่องประดับ และพูดยิ้มๆ
เถ้าแก่ยิ้มพลางพูดว่าย่อมต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว
ในที่สุดก็ขายให้ในราคาสิบสองตำลึง ไป๋ยี่เซวียนรู้ว่านี่ไม่ใช่ราคาที่สูงเกินไป จึงหันไปมองทางโจวกุ้ยหลาน
โจวกุ้ยหลานมองตาปริบๆ “คือว่า เรื่องนี้ข้าไม่ค่อยจะเข้าใจนัก ”
หมายความว่าท่านว่าอย่างไรก็ว่าตามนั้น
ไป๋ยี่เซวียนบุ้ยปากไปทางเถ้าแก่ “จ่ายเงินซิ”
โจวกุ้ยหลาน“……”
นางคิดมากไปเอง
ตอนนี้ไม่กล้าจะลังเลให้เสียเวลา รีบเอาเงินออกมาจ่าย
จากนั้นก็ถูกไป๋ยี่เซวียนพาออกมาจากร้าน แล้วไปที่ร้านขายยาเพื่อซื้อโสม แล้วจึงพาโจวกุ้ยหลานเดินทางไปยังบ้านของนายอำเภอ
เมื่อไปถึงหน้าประตู คนเฝ้าประตูไม่ให้พวกเขาเข้าไป ไป๋ยี่เซวียนยื่นมือไปข้างหลัง มุมปากของโจวกุ้ยหลานกระตุก แล้วจึงหยิบเอาเงินหนึ่งตำลึงออกมายื่นให้เขา เขาเอามือกลับไป จับมือของคนเฝ้าประตูเอาไว้ ยัดเงินนั้นให้เขา
พลางพูดยิ้มๆว่า “รบกวนท่านช่วยไปรายงานให้หน่อยว่า พวกข้ามาขอขมา”
คนเฝ้าประตูจับเงินที่อยู่ในมือ รู้สึกดีใจมาก ให้พวกเขารออยู่ที่นี่ก่อน ส่วนตนเองก็ปิดประตูลง
“ท่านใช้เงินได้คุ้มค่าเสียจริง ”โจวกุ้ยหลานบ่นออกมาคำหนึ่ง
ไป๋ยี่เซวียนมองนางแวบหนึ่ง สะบัดพัดของตนเองให้กางออก บนใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มเช่นเดิม “มีเงินจะทำอะไรก็ได้ ข้าเป็นพ่อค้า เงินก็คืออาวุธที่ดีที่สุด”
ว่าแล้ว ก็มองไปที่โจวกุ้ยหลาน หยุดนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะพูดขึ้นมาอีกครั้งว่า “และเงินก็เป็นอาวุธที่ดีที่สุดสำหรับเจ้าด้วย”
“ไม่ๆๆ อาวุธที่ดีที่สุดสำหรับข้าคือตัวข้าเอง ”โจวกุ้ยหลานส่ายหน้าไปมา
“หืม หมายความว่าอย่างไร”ไป๋ยี่เซวียนรู้สึกสนใจขึ้นมา
โจวกุ้ยหลานเงยหน้าขึ้น มองไปยังขอบฟ้าไกล นำเสียงมีแววลุ่มลึก “ไม่มีข้าแล้วจะไปเอาเงินมาจากไหน อีกอย่าง เงินไหนเลยจะใช้การง่ายกว่าสวีฉางหลิน”
นึกถึงก่อนหน้านี้ตอนที่สวีฉางหลินอยู่ นางไม่เคยวิตกกังวลในการทำเรื่องต่างๆเช่นนี้มาก่อน
เฮ้อ หญิงสาวที่ไม่มีสามีอยู่เคียงข้างช่างน่าสงสารจริงๆ
ไป๋ยี่เซวียนก็แหงนหน้าขึ้นมามองไปที่ขอบฟ้าเหมือนกับนาง “เจ้าจะไม่มากระตุ้นข้าที่ยังไม่แต่งงานได้หรือไม่”
“อิสระย่อมต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยน ข้าว่าท่านดูยินดีเป็นอย่างยิ่ง”โจวกุ้ยหลานตอบโต้