นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 302 สำหรับพ่อค้ากำไรต้องมาก่อน
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 302 สำหรับพ่อค้ากำไรต้องมาก่อน
รุ่ยหนิงแกว่งเท้าสั้นของตนเองไปมา ดวงตาเบิกโต จ้องมองโจวกุ้ยหลาน ถามนางอย่างอยากรู้ว่า “ท่านแม่จะใส่ชุดชั้นในสีแดงหรือ”
ยังไม่ทันที่โจวกุ้ยหลานจะพูดอะไร รุ่ยอานก็พูดอย่างแก่แดดว่า “ท่านยายสามของพวกเราต่างหาก”
เหล่าไท่ไท่ถลึงตาให้รุ่ยอาน“ห้ามเรียกนางว่าท่านยายสาม นางไม่ใช่ท่านยายสามของพวกเจ้า จากนี้ไปนางเป็นศัตรูของพวกเรา”
โจวกุ้ยหลานตบที่หลังของรุ่ยอานเบาๆ เตือนเหล่าไท่ไท่ว่า “ท่านแม่ รุ่ยอานยังเด็ก ท่านอย่าพูดเรื่องพวกนี้ต่อหน้าพวกเขาเลย”
“พอมีลูกก็ลืมแม่ ”เหล่าไท่ไท่พูดอย่างประชดประชัน ดวงตาทั้งคู่มองไปที่ใบหน้าของสองพี่น้องรุ่ยอานกับรุ่ยหนิง สุดท้ายก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้นอีก
ทั้งสองพูดคุยกันอีกชั่วครู่ โจวกุ้ยหลานจึงบอกกับเหล่าไท่ไท่ว่าเรื่องนี้นางจะจัดการเอง
ตอนกลางคืน โจวกุ้ยหลานรอให้ทุกคนนอนหลับกันหมดแล้ว ก็ไปยังห้องใต้ดินที่เรือนทิศเหนือ แอบเข้าไปขนเสบียงอาหาร ออกมา เอาไปวางไว้ในครัวหนึ่งถุง จากนั้นก็ค่อยๆย้ายไปไว้ในห้องของตนเอง
เมื่อทำเสร็จทุกอย่าง นางรู้สึกว่าเอวตนเองแทบจะหักอยู่แล้ว แต่ก็ไม่สามารถบอกกับพวกเขาได้ว่าเสบียงอาหาร ซ่อนไว้ที่ไหน ไม่เช่นนั้นภายหน้าจะยิ่งจัดการได้ยากมากขึ้น
เที่ยงของวันที่สอง ไป๋ยี่เซวียนพาคนจำนวนหนึ่งมาที่บ้านของโจวกุ้ยหลาน
พอเห็นเขา เหล่าไท่ไท่ก็กระตือรือร้นมาก ดึงเขาไปนั่งลง และเทน้ำให้เขาด้วย
โจวกุ้ยหลานเห็นแม่ของนางมาอีกแล้ว ก็รีบโบกมือให้นาง “ท่านแม่ พวกเรามีธุระต้องคุยกัน ท่านไปทำงานของท่านเถอะ”
“ได้ได้ได้ ข้าจะไปขุดผักป่า ”เหล่าไท่ไท่พูด แล้วไปหยิบตะกร้า เดินออกมาไป
เมื่อเหล่าไท่ไท่เดินออกไปแล้ว ในห้องโถงเหลือแค่พวกเขาสองคน ไป๋ยี่เซวียนเก็บพัดในมือของตนเอง มองไปที่โจวกุ้ยหลาน ยิ้มขึ้น และพูดว่า “นี่เจ้ามีเรื่องอะไรที่ไม่อยากให้คนอื่นรู้จะปรึกษากับข้าหรือ”
โจวกุ้ยหลานประสานมือทั้งสองข้างไว้ด้วยกัน “เถ้าแก่ไป๋ พวกโจรที่บ้านท่านจะยืมให้ข้าใช้สักสี่ห้าวันได้หรือไม่”
“เจ้าจะใช้พวกเขาไปทำอะไร ”ไป๋ยี่เซวียนหลุยตาลงมองพัดในมือของตนเอง ถามเสียงเรียบเฉย
โจวกุ้ยหลานพูดยิ้มๆว่า “ข้าจะขายเสบียงอาหาร ในบ้านข้าทั้งหมด”
ไป๋ยี่เซวียนที่มีท่าทีสบายใจชะงักไปเล็กน้อย สายตาเหลือบไปมองโจวกุ้ยหลาน ในสายตามีแววยินดีแฝงอยู่ “เจ้ามีเสบียงอาหาร อยู่เท่าไหร่ จะขายเท่าไหร่ ”
โจวกุ้ยหลานส่ายหน้า “ไม่ไม่ไม่ ข้าไม่ได้จะขายให้ท่าน”
เพิ่งจะพูดจบ ก็เห็นว่าแววดีใจในสายตาของไป๋ยี่เซวียนได้หายไปแล้ว โจวกุ้ยหลานรู้ว่าเขาเข้าใจผิด จึงอธิบายว่า “ข้าไม่ขายให้พ่อค้าคนไหนทั้งนั้น เสบียงอาหาร นี้ ข้าจะเอามาแลกกับที่นา”
ในยุคสมัยนี้ ที่นาเป็นอสังหาริมทรัพย์ มีที่นา จึงจะมีทรัพย์สินสำรองที่แน่นอน
ไป๋ยี่เซวียนขมวดคิ้ว “เจ้าจะขายเสบียงอาหาร อย่างไร ”
“ขึ้นราคาเป็นเท่าตัว ก่อนหน้านี้ข้าขึ้นราคาเสบียงอาหาร เป็นสามเท่า แลกกับที่นาของพวกเขา”
“ถ้าหากเจ้าขาเสบียงอาหาร ให้ข้า ข้าจะซื้อในราคาห้าหกเท่า ถึงตอนนั้นเจ้าจะซื้อที่นาเท่าไหร่ก็ย่อมได้”ไป๋ยี่เซวียนพูด วางมือไว้บนโต๊ะ เบี่ยงตัวหันไปทางโจวกุ้ยหลาน
โจวกุ้ยหลานส่ายหน้า “ไม่ขายไม่ขาย อย่างไรเสียพวกท่านก็สามารถขนเสบียงอาหารมาจากที่อื่นได้ มีเงินก็สามารถมีชีวิตอย่างมั่นคงได้ แต่ชาวนาที่ไม่มีเงินจะอดตายกันหมดแล้ว”
มือของไป๋ยี่เซวียนชะงักไป ส่ายหน้าไปมา “กุ้ยหลาน เจ้าใจอ่อนเกินไปแล้ว การเป็นพ่อค้ากำไรต้องมาก่อน”
“มันไม่แน่นอน ที่เขาว่ากันว่า ยามยากเฝ้ารักษาคุณความดีเฉพาะตน เมื่อบรรลุผล อย่าหลงลืมส่งผ่านความดีงามสู่แผ่นดิน”โจวกุ้ยหลานเกาใบหน้าของตนเองบริเวณที่รู้สึกคัน “ข้าคงส่งผ่านความดีงามไปทั่วแผ่นดินไม่ได้ แน่นอนว่าข้าเองก็ไม่อยากทำ ข้าเพียงแต่ไม่อยากให้คนที่ข้ารู้จักต้องอดตายก็เท่านั้น ”
แม้ว่าก่อนหน้านี้คนในหมู่บ้านต่างก็เคยคิดจะแย่งเสบียงอาหาร ของนาง แต่ถ้าหากนางตกอยู่ในสภาพอย่างพวกเขา เกรงว่าก็คงจะมีความคิดเช่นนี้เหมือนกัน เวลาคนรู้สึกหิว ไม่ว่าอะไรก็สามารถทำได้
แน่นอนว่า คนที่ลงมือปล้นบ้านนางเหล่านั้น คนที่ล่วงเกินคนในครอบครัวนาง นางไม่มีทางปล่อยไปแน่
“เช่นนั้นเจ้าก็ต้องช่วยบรรเทาทุกข์ให้ข้าด้วย เสบียงอาหาร ในภัตตาคารของข้าก็ใกล้จะหมดแล้ว เจ้าจะใจดำให้ร้านของข้าต้องปิดตัวลงอย่างนี้หรือ”
ไป๋ยี่เซวียนอ้อนวอนโจวกุ้ยหลานอย่างน่าสงสาร
โจวกุ้ยหลานเลิกคิ้วขึ้น “อำเภอของเราประสบภัยพิบัติ แต่พื้นที่ภายนอกไม่เป็นอะไร”
นางไม่เชื่อว่าคนอย่างไป๋ยี่เซวียนจะไม่มีแหล่งที่มาของเสบียงอาหาร สามปีมานี้การค้าของเขาเจริญเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
ไป๋ยี่เซวียนรู้สึกระอาใจ “เจ้าคิดว่าการขนเสบียงอาหาร มาจากพื้นที่ภายนอกมันง่ายดายนักหรือ หนทางยาวไกล ทุกครั้งที่ขนเสบียงอาหาร ต้องใช้ขบวนใหญ่ มีคนมากมายระหว่างทางต้องการปล้นเสบียงอาหาร ของข้า ซื้อจากเจ้าสะดวกกว่ามาก และประหยัดเงินด้วย”
“เถ้าแก่ไป๋ ท่านก็เห็นใจคนจนพวกนั้นด้วยเถอะ ท่านหาเงินทำกำไร แต่พวกเขาแทบจะเอาชีวิตไม่รอดแล้ว”โจวกุ้ยหลานก็พูดด้วยน้ำเสียงจนใจ
สามปีมานี้นางร่วมงานกับเขามากขึ้นเรื่อยๆ ความสัมพันธ์ก็ใกล้ชิดไม่น้อย สำหรับฐานะทางการเงินของเขา นางก็พอจะรู้ดี แค่ภัตตาคารของไป๋ยี่เซวียนก็ไม่รู้มีตั้งเท่าไหร่แล้ว เงินก็คงจะหาได้ไม่น้อย
ไป๋ยี่เซวียนถอนหายใจเฮือกหนึ่ง และไม่เซ้าซี้โจวกุ้ยหลานอีก “เอาเถอะ พวกเรามาคุยเรื่องค่าตอบแทนดีกว่า”
“ท่านเป็นพ่อค้าที่ร้ายกาจจริงๆ ”โจวกุ้ยหลานยกนิ้วโป้งให้เขา
ไป๋ยี่เซวียนพยักหน้า “ได้รับคำชมจากท่าน ข้ารู้สึกดีใจยิ่งนัก”
โจวกุ้ยหลานชูนิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้ว ไป๋ยี่เซวียนส่ายหน้า ชูขึ้นมาสามนิ้ว
ทั้งสองคนไม่มีใครยอมใคร ไป๋ยี่เซวียนพูดว่า “เอาคนพวกนี้ให้เจ้า ข้าต้องเสี่ยงอันตรายมาก เจ้าลองคิดดูหากมีคนไปปล้นเสบียงอาหาร ที่ภัตตาคารของข้า ข้าไม่มีลูกน้องเลยแม้แต่คนเดียว เกรงว่าคงจะเสียหายอย่างอนาถเลยทีเดียว”
“แต่ข้าก็ให้ไม่น้อยแล้ว ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ไม่สามารถปล้นเสบียงอาหาร มากมายขนาดนั้นได้ ท่านยังมีสำนักคุ้มครองอื่นๆอยู่มิใช่หรือ”
โจวกุ้ยหลานไม่หลงกล
ทำการค้ากับเขานานขนาดนี้ จะไม่เข้าใจเขาได้อย่างไร
ไป๋ยี่เซวียนกัดฟัน เก็บนิ้วกลับไปหนึ่งนิ้ว เหลือสองนิ้ว “พวกเราถอยกันคนละก้าว เป็นอย่างไร”
แต่โจวกุ้ยหลานก็ต้องส่ายหน้า “ท่านคงวางแผนไว้นานแล้ว ขอบเขตของท่านมีเท่านี้”
ว่าแล้ว ก็ยื่นนิ้วตนเองส่ายไปมาตรงหน้าไป๋ยี่เซวียน
เมื่อครู่ที่เขายื่นออกมาสามนิ้วก็เพราะอยากจะให้นางต่อรองจนถึงสองนิ้ว แต่นางไม่มีทางหลงกล
เมื่อถูกนางเดาใจถูก ไป๋ยี่เซวียนก็ไม่ได้รู้สึกโกรธ เก็บนิ้วมือไป พยักหน้ากับโจวกุ้ยหลาน “ได้ เช่นนั้นพวกเราก็ตกลงตามนี้ ”
เมื่อปรึกษากันเรื่องนี้เสร็จแล้ว โจวกุ้ยหลานก็เล่าเรื่องที่นางจะขายเสบียงอาหาร ทั้งหมดแล้วไปทำธุระในตำบลหลวงให้ไป๋ยี่เซวียนฟัง ไป๋ยี่เซวียนมีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย ผ่านไปครู่ใหญ่จึงถามนางว่า “ไปหาสวีฉางหลินหรือ”
“ภูเขาไม่มาหาข้า ข้าจะไปหาภูเขาเอง”โจวกุ้ยหลานตอบ
ไป๋ยี่เซวียนส่ายหน้า “ตอนนี้เจ้าพูดจาเจ้าบทเจ้ากลอนเชียวนะ”
“ข้าอ่านหนังสือมาตั้งนาน ย่อมต้องก้าวหน้าขึ้นมาบ้าง ”โจวกุ้ยหลานตอบรับ พูดต่อไปว่า “เพียงแต่ข้าไม่อยู่บ้าน เกรงว่าคนในบ้านเกิดเรื่องขึ้นจะไม่สามารถจัดการได้……”
ว่าแล้ว มองไปทางไป๋ยี่เซวียนอย่างจริงใจ
ในยุคนี้ นางมีไป๋ยี่เซวียนเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่ฝากฝังเขาก็ไม่รู้จะฝากฝังกับใครแล้ว
ไป๋ยี่เซวียนจ้องมองใบหน้านางตรงๆ รู้สึกนิ่งอึ้งเล็กน้อย กระทั่งโจวกุ้ยหลานพูดจบแล้ว เขาก็เก็บสีหน้าไว้อย่างดี จากนั้นก็พูดว่า “อีกอย่าง ข้าจะกลับแล้ว”