นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 303 ข้ามีเสบียงอาหาร
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 303 ข้ามีเสบียงอาหาร
โจวกุ้ยหลานชะงักไปเล็กน้อย ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆสีหน้าเขาถึงเปลี่ยนไป กำลังอยากจะถาม ก็พบว่าไป๋ยี่เซวียนลุกขึ้นยืนเดินออกไปข้างนอกแล้ว
นางรีบลุกขึ้นมา เดินไปส่งเขาข้างนอก พอเดินไปถึงลานบ้านก็พบโจวคายจือที่กำลังปลูกดอกไม้อยู่ทักทายเขาเขาก็ไม่สนใจ
โจวกุ้ยหลานได้แต่เดินตามหลังเขาเงียบๆ ส่งเขาลงจากภูเขา ก่อนจะขึ้นรถม้า ก็ให้ลูกน้องสิบกว่าคนอยู่ช่วยโจวกุ้ยหลาน
จากนั้นก็พารถม้าสามคัน ขนเสบียงอาหาร จากไป
โจวกุ้ยหลานประหลาดใจ แต่ก็ไม่ได้ถาม ให้ลูกน้องทั้งสิบกว่าคนนี้ขึ้นไปบนภูเขา ส่วนตนเองก็ไปที่บ้านหวังโหยวเกิน
เมื่อเดินเข้าไปในลานบ้าน ก็พบว่าหวังโหยวเกินกำลังเก็บผักป่าที่ถืออยู่ในมือ
เห็นเพียงสีหน้าของเขา ที่ดูไม่ค่อยจะดีนัก
โจวกุ้ยหลานเรียกเขา เขาลุกขึ้นมาอย่างกระตือรือร้น เชิญโจวกุ้ยหลานเข้าไปในบ้าน เมื่อนั่งลงในห้องโถง ยังช่วยเทน้ำร้อนให้กับโจวกุ้ยหลานอีกด้วย
“ท่านลุง ท่านอย่าทำเรื่องพวกนี้เลย ข้ามีเรื่องอยากจะปรึกษากับท่าน”
การเคลื่อนไหวของหวังโหยวเกินชะงักไปเล็กน้อย ถูมือไปมารู้สึกไม่สบายใจ “กุ้ยหลาน เงินที่ใช้ช่วยไถ่ฟู่กุ้ยออกมา ลุง วันหน้าลุงจะใช้คืนเจ้าอย่างแน่นอน แต่ว่า แต่ว่าตอนนี้ ……”
เพิ่งจะพูดได้เพียงครึ่งเดียว เขาก็รู้สึกละอายใจมาก
เมื่อก่อนมีแต่คนอื่นมาขอความช่วยเหลือจากเขา ไหนเลยจะเคยทำเสียงอ่อนของร้างคนอื่นเช่นนี้
ในที่สุดโจวกุ้ยหลานก็รู้แล้วว่าทำไมเขาต้องปฏิบัติกับนางอย่างเกรงใจเช่นนี้ จึงยิ้มออกมา เอ่ยอย่างจนใจว่า “ข้ารู้ว่าช่วงนี้ชีวิตของท่านลุงก็ไม่ได้ดีนัก ไม่อย่างนั้นเงินที่ซื้อไก่บ้านข้าก่อนหน้านี้ท่านคงจะคืนให้แล้ว”
เมื่อได้ยินโจวกุ้ยหลานเอ่ยถึงเรื่องนี้ หวังโหยวเกินก็ยิ่งรู้สึกละอายใจมากขึ้น
เงินที่ซื้อไก่ก่อนหน้านี้เขาพอจะมีอยู่ แต่ในเวลาเช่นนี้ใครบ้างจะไม่อยากเก็บเงินเอาไว้เอง ถ้าคืนเงินตอนนี้ แล้ววันหน้า ……
“ท่านลุง หมู่บ้านของพวกเรามีคนมากมายขนาดนี้ หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เช่นนั้นของป่าก็ต้องถูกหากินจนหมดแน่ ท่านมีแผนการอะไรหรือไม่”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ หวังโหยวเกินก็ถอนหายใจ ส่ายหน้าและนั่งลงบนเก้าอี้ เอ่ยอย่างจนใจว่า “บริเวณนอกภูเขาถูกชาวบ้านหากินจนหมดแล้ว ผักป่าพวกนี้ลูกชายข้าเข้าไปเก็บในป่าลึกกลับมา ถ้ายังเดินลึกเข้าไปอีก เกรงว่าคงไม่มีชีวิตรอดกลับมาแล้ว……”
ว่าแล้ว ก็ยิ่งรู้สึกจนใจ ถ้าไม่หิวตาย ก็ต้องถูกสัตว์ป่าทำร้าย ไม่ว่าอย่างไรก็มีแต่ความตายเท่านั้น
“แล้วจะทำอย่างไรดี”โจวกุ้ยหลานถาม
หวังโหยวเกินส่ายหน้า “จะทำอะไรได้ คงได้แต่รอราชสำนักมาช่วยแล้ว”
เมื่อเห็นว่าเขายังคงคิดเรื่องนี้อยู่ โจวกุ้ยหลานก็พูดอย่างไม่ปิดบังอีกต่อไป ได้พูดถึงการคาดเดาเกี่ยวกับเรื่องที่พวกโจวต้าไห่ถูกจับออกมา
“ท่านลุง การช่วยเหลือภัยพิบัติในตอนนี้เกรงว่าคงจะคาดหวังไม่ได้แล้ว รอเสบียงอาหาร ที่ทางการส่งมาให้ ก็ไม่รู้ว่าจะต้องรอถึงเมื่อไหร่ พวกเราจะอดทนรอจนถึงตอนนั้นได้หรือ ”
ที่สำคัญที่สุดคือ เสบียงอาหาร ที่ส่งมาช่วยเหลือผู้ประสบภัยจะเหลือสักเท่าไหร่
เพียงแต่คำพูดนี้ โจวกุ้ยหลานไม่กล้าพูดออกไป
ถ้าหากไม่ใช่เพราะไม่มีความหวังเลยแม้แต่น้อยนิด บวกกับราคาเสบียงอาหาร อาหารในตำบลที่แพงขึ้นทุกวัน ถ้าขืนยังเป็นอย่างนี้ต่อไป เกรงว่าคนเหล่านี้คงต้องหิวตายแน่
หวังโหยวเกินก้มหน้านิ่งเงียบ ผ่านไปนานมาก ก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “ก็ไม่มีทางอื่นแล้ว แม้แต่เมล็ดพันธุ์ก็ถูกท่วมจนเสียหายหมดแล้ว อยากจะปลูกพืชก็ทำไม่ได้”
ระหว่างพูด ก็อดไม่ได้ที่ถอนหายใจออกมา
ใครจะไปคิดว่าเพิ่งจะผ่านภัยแล้งมา ก็ต้องพบกับน้ำป่าไหลหลาก นี่สวรรค์คงไม่อยากจะให้คนมีชีวิตอยู่ต่อแล้วจริงๆ
“ท่านลุง บ้านข้ายังคงมีเสบียงอาหาร อยู่ ข้าอยากจะเอามาแลกที่นากับชาวบ้าน……”
โจวกุ้ยหลานเพิ่งจะพูดได้แค่ครึ่งเดียว ดวงตาของหวังโหยวเกินก็เป็นประกายขึ้นมาทันที “จริงหรือ มีเสบียงอาหาร จริงหรือ มีเท่าไหร่ แลกเปลี่ยนอย่างไร ”
ยังไม่ทันที่นางจะได้พูดอะไร หวังโหยวเกินก็ดีดตัวลุกขึ้นมา ทำเอาเก้าอี้ที่นั่งล้มลงกับพื้น “เจ้ารีบพูดมาซิ”
โจวกุ้ยหลานเกือบจะถูกท่าทีของเขาทำเอาตกใจจนสะดุ้ง เมื่อปรับอารมณ์ของตนเองแล้ว จึงพูดต่อว่า “เสบียงอาหาร ไม่น้อย ข้าเองก็ไม่อยากในคนในหมู่บ้านต้องอดตาย จึงไม่ได้ขายให้กับเถ้าแก่ไป๋……”
“ใช่ๆๆ แม้จะไม่สามารถขายได้ พวกเราก็ไม่มีปัญญาซื้ออาหารในตำบลได้ ต้องอดตายกันแน่ๆ”หวังโหยวเกินรีบตอบรับทันที
เมื่อเห็นว่าหวังโหยวเกินที่ปกติแล้วจะมีท่าทีนิ่งขรึมและเจ้าแผนการตื่นเต้นขนาดนี้ โจวกุ้ยหลานกลับกลัวว่าเขาจะดีใจจนเป็นลมล้มพับไป
เมื่อเห็นว่านางยังคงไม่พูดอะไร หวังโหยวเกินก็ร้อนใจขึ้นมา
“กุ้ยหลาน เจ้ารีบพูดมาเร็วๆเข้า”
“ท่านลุง ท่านอย่าใจร้อน ฟังข้าค่อยๆพูด”โจวกุ้ยหลานดึงแขนเสื้อของหวังโหยวเกิน ส่งสัญญาณให้เขานั่งลงก่อน
จากนั้น เล่าเรื่องที่ตนอยากจะขายเสบียงอาหาร ในราคาที่แพงกว่าเมื่อก่อนสามเท่าเพื่อแลกกับที่นา และจะแลกเปลี่ยนกับที่นาเท่านั้น
“นี่มันแพงเกินไปหน่อยนะ”หวังโหยวเกินได้ยินราคา ในใจก็รู้สึกหดหู่ลง เขาคิดว่าจะขายในราคาเดียวกับเมื่อก่อน……
เมื่อรู้ความคิดของเขา โจวกุ้ยหลานก็ไม่ได้รู้สึกโมโหอะไร “ท่านลุง ถ้าหากข้าขายให้เถ้าแก่ไป๋ นั่นเป็นราคาที่แพงกว่าห้าหกเท่า เพราะว่าในหมู่บ้านนี้ ข้าไม่อยากจะเห็นใครต้องอดตายจึงได้เอาเสบียงอาหาร ออกมา”
ได้ยินสิ่งที่นางพูด หวังโหยวเกินชะงักไป เกรงว่าโจวกุ้ยหลานจะโมโห รีบพูดขึ้นมาว่า “ใช่ๆๆ ดีแล้วที่เจ้าคิดถึงคนในหมู่บ้าน ลุงพูดผิดไป เจ้าอย่าใส่ใจเลยนะ ลุงผิดไปแล้ว”
ตอนนี้เขาไม่กล้าจะล่วงเกินโจวกุ้ยหลาน จากเรื่องนี้เขาสามารถดูออกว่า กุ้ยหลานนั้นเป็นคนที่รู้ทุกอย่าง และตอนนี้ ทุกคนต่างก็หิวโหย นางยังมีเสบียงอาหาร อาหาร และไม่รู้ว่าไปเอามาจากที่ไหน จะล่วงเกินไม่ได้เด็ดขาด เขาจะล่วงเกินไม่ได้เด็ดขาด……
เดิมทีโจวกุ้ยหลานก็ไม่ได้ใส่ใจ แต่เมื่อนึกถึงเรื่องที่หวังโหยวเกินพาคนไปปล้นเสบียงอาหาร ที่บ้านนางครั้งที่แล้ว นางก็พูดตรงๆว่า “โจรที่เถ้าแก่ไป๋เลี้ยงเอาไว้ก็มาช่วยขนเสบียงอาหาร ด้วย ไม่ต้องใช้แรงงานของคนในหมู่บ้านให้เหนื่อยด้วย”
หวังโหยวเกินร่างสั่นสะท้าน มองโจวกุ้ยหลานอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา
โจรเหล่านั้นมันเป็นโจรที่ฆ่าคนไม่กะพริบตาเชียวนะ กุ้ยหลานไปขอร้องให้พวกเขามาช่วยได้อย่างไร ไม่มาปล้นเสบียงอาหาร นางหรือ
“กุ้ย กุ้ยหลาน เจ้า เจ้าไปเอาตัวโจรพวกนั้นมาได้อย่างไร ถ้าหากถูกปล้นขึ้นมาจะทำอย่างไร”
“ไม่เป็นไร ล้วนเป็นคนที่เถ้าแก่ไป๋เลี้ยงเอาไว้ ไม่มีทางทำอะไรข้าแน่ ข้าเกรงว่าจะมีคนมาปล้นเสบียงอาหาร มีพวกเขาอยู่ก็ดี ใครกล้าปล้นก็ฆ่าให้หมด และไม่เกี่ยวข้องกับข้าด้วย ”ว่าแล้ว โจวกุ้ยหลานก็ยิ้มออกมา
อย่างว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย ไป๋ยี่เซวียนทำงานเก่งจริงๆ มีคนกลุ่มนี้อยู่ข้างกาย ใครที่คิดจะใช้กำลังมาสู้ก็คงต้องไตร่ตรองให้ดี ถ้าหากจะเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นมาจริงๆ ก็แค่ให้เงินพวกเขาสักก้อนให้พวกเขากลับไปเป็นโจรภูเขาเหมือนเดิม
ในเมื่อพอมุดเข้าไปในป่า ทางการก็ไม่มีทางทำอะไรได้แล้ว
พูดถึงขนาดนี้แล้ว หวังโหยวเกินย่อมเข้าใจความหมายของโจวกุ้ยหลาน คิดถึงเรื่องที่เขาได้พาคนในหมู่บ้านไปปล้นบ้านนางก่อนหน้านี้ แล้วคิดถึงเรื่องที่ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันมีกลุ่มคนสิบกว่าคนไปปล้นบ้านของกุ้ยหลาน เขาก็รู้สึกกระดากอายขึ้นมา
“ข้า เพราะข้าทำหน้าที่ได้ไม่ดี ล้วนเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกัน ถ้าอย่างนั้น ภายหน้าคนในหมู่บ้านต้องขอบคุณเจ้าแน่……”
ตอนที่พูดคำนี้หวังโหยวเกินไม่มีความมั่นใจเลยแม้แต่น้อย จะสามารถผ่านพ้นวิกฤติคราวนี้ไปได้หรือไม่ก็ยังไม่รู้ ขอบคุณแล้วจะมีประโยชน์อะไร
โจวกุ้ยหลานไม่ได้ต่อบทสนทนาของเขา ได้แต่ยิ้มและพูดว่า “ท่านลุง เรื่องที่ข้าพูดกับท่าน ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป ถ้าหากมีคนยินดี ก็ไปแลกเปลี่ยนเสบียงอาหาร ที่บ้านข้า พรุ่งนี้เช้าท่านก็มาช่วยเป็นพยานที่บ้านข้าด้วย”
“ไม่เป็นไร ข้าจะบอกพวกเขาตั้งแต่วันนี้เลย เพียงแต่ กุ้ยหลาน ใช้เงินซื้อเสบียงอาหาร ของเจ้าได้หรือไม่ ”หวังโหยวเกินพูด แล้วก็อดไม่ได้ที่จะเริ่มถูมือตนเองไปมา