นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 309 เจ้าของที่ดิน
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 309 เจ้าของที่ดิน
วันต่อๆ มา ผู้ที่เดินทางมาแลกธัญพืชก็มากขึ้นทุกที ผู้อยู่ห่างไกลก็เดินทางมาเช่นกัน
โจวกุ้ยหลานมิปฏิเสธทุกคนที่เดินทางมา เดิมทีคนเหล่านั้นกังวลว่าโจวกุ้ยหลานจะมิมีธัญพืชเพียงพอพวกเขาแลกเปลี่ยน แต่หลังจากที่แลกเปลี่ยนอยู่หลายวัน ความกังวลใจของพวกเขาก็เริ่มคลายลง
จนกระทั่งเมื่อโจวกุ้ยหลานประกาศว่าธัญพืชของนางถูกแลกไปจนหมดแล้ว ผู้ที่เข้าแถวอยู่ล้วนมิเชื่อ จนโจวกุ้ยหลานประกาศขึ้นอีกครั้ง พวกเขาจึงได้เชื่อ สิ่งที่ตามมาหลังจากความเชื่อนั่นก็คือความผิดหวัง
เรื่องเหล่านี้โจวกุ้ยหลานมิได้นำมาใส่ใจ นางบอกเรื่องถ้ำกับทางเดินใต้ดินต่อทั้งสองแล้ว ก่อนจะทิ้งอาหารที่ทุกคนสามารถกินมิหมดทั้งปีไว้ จึงได้หยุดการนำผืนนามาแลกเปลี่ยนธัญพืช
เรื่องนี้เมื่อจบลง คืนนั้นคนจากไป๋ยี่เซวียนก็กลับไปยังหมู่บ้านของตน สิ่งที่พวกเขานำกลับไปด้วยก็คือของกำนัลที่โจวกุ้ยหลานฝากเอาไปให้ไป๋ยี่เซวียน
เมื่อหลิวเกาคำนวณดูแล้ว นางจึงได้พบว่าพื้นที่กว่าครึ่งของหมู่บ้านต้าสือล้วนเป็นของนาง นอกเสียจากพื้นที่บ้านเรือน
ที่ดินในละแวกหมู่บ้านล้วนกลายมาเป็นของนาง จู่ๆ โจวกุ้ยหลานก็กลายมาเป็นเจ้าของที่ดินแล้ว!
“โอ้ กุ้ยหลาน เจ้ามีที่ดินมากมายขนาดนี้! แล้วเราจะทำการเพาะปลูกอย่างไรไหว?” เหล่าไท่ไท่มองดูแผนเมืองในมือของหลิวเกาแล้วอุทานออกมา
ก่อนหน้านี้ครอบครัวของพวกเขามีพื้นที่มิพอ จึงมักทำให้อาหารมิพอกิน บัดนี้กลับกลายมามีที่ดินนับมิถ้วน นางได้เป็นแม่ค้าที่ดินแล้ว!
โจวกุ้ยหลานยิ้มแล้วส่ายหน้า “ในเมื่อเราเป็นเจ้าของที่ดิน เช่นนั้นก็ให้ผู้อื่นมาเช่าทำนะสิ พวกเราเพียงรอเก็บผลผลิตเป็นพอ”
“กุ้ยหลานกล่าวได้ถูกต้องแล้ว พื้นที่มากมายเช่นนี้เราจะทำไหวได้อย่างไน” โจวต้าซานสูบบุหรี่แล้วเงยหน้าพ่นควัน รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าผ่อนคลายลง ราวกับดอกไม้เบ่งบาน
เมื่อได้ยินว่าให้ผู้อื่นมาเพาะปลูกแทน เหล่าไท่ไท่ก็ดีใจยิ่ง
โจวกุ้ยหลานยิ้มแล้วหยิบโฉนดที่ดินเหล่านั้นขึ้นมา ใส่เข้าในกระเป๋าเสื้อของตน “เรื่องนี้ต้องฝากให้พี่รับผิดชอบดูแลด้วย ให้หลิวเกาช่วยทำบัญชี”
“มิได้! ข้าทำมิได้หรอก! กุ้ยหลาน เรื่องพวกนี้ข้าทำมิเป็น!” ต้าไห้รีบปฏิเสธ
เขาทำเป็นแต่การตัดฟืน จะมีความรู้เรื่องเหล่านี้หรือ?
“มิเป็นไรหรอก ยังมีลุงใหญ่คอยช่วยเหลืออยู่ ทั้งยังหลิวเกาอีก เขาเขียนหนังสือทำบัญชีได้ ใช่หรือไม่?” โจวกุ้ยหลานกล่าวแล้วหันไปถามหลิวเกา
หลิวเกาพยักหน้าตอบว่า “ข้าอ่านออกเขียนได้คิดเลขเป็น เพียงแต่เกรงว่าจะคิดผิดเท่านั้น”
บัดนี้เขาเองก็มิคิดจะไปสอบจอหงวนแล้ว การที่ได้อยู่ช่วยตระกูลโจว ตนและลูกมีอาหารเลี้ยงปากท้อง ทั้งยังมีเวลาในการสอนหนังสือลูกชาย เท่านี้เขาก็เพียงพอใจแล้ว
“หากทำผิดก็ปรับแก้ไขให้ถูกต้องสิ” โจวกุ้ยหลานยิ้มตอบ
“นับจากนี้ค่าเช่าที่ดินทำกินของเราคิดเป็นหนึ่งส่วนของผลผลิตทั้งหมด พวกจ้ายึดตามกฎนี้ในการให้พวกเขาเช่าเถิด”
“หนึ่งส่วน? เจ้าของที่ดินคนอื่นเก็บมากถึงสามส่วนเชียว!” ภรรยาของต้าไห่อดมิได้ที่จะตกตะลึง
โจวกุ้ยหลานส่ายหน้ากล่าวว่า “พี่สะใภ้ หากเราเก็บค่าเช่าสามส่วน ประกอบกับพวกเขาต้องนำไปจ่ายภาษี ครอบครัวของพวกเขาคงจะมิอาจกินได้อิ่มท้อง”
แม้นางจะอยากได้ที่ดิน อยากเป็นเจ้าของที่ดินจำนวนมาก แต่นางมิได้คิดจะเอาเปรียบผู้ใด
ความรู้สึกที่กินมิอิ่มท้องนั้นมากแย่ยิ่ง นางมิอยากต้องพบกับเหตุการณ์เช่นนั้นอีก
“หนึ่งส่วนก็ดีแล้ว ที่มากมายเพียงนี้ เราได้ผลผลิตมิน้อย เพียงพออิ่มท้อง” โจวต้าซานเอ่ยเห็นด้วย
ภรรยาต้าไห่เองจึงมิได้กล่าวสิ่งใดออกมาอีก
โจวต้าไห่พยักหน้า “กุ้ยหลาน เรื่องนี้เจ้ามาจัดการเองดีกว่า เรื่องการเก็บค่าเช่าอะไรนั่น เมื่อถึงเวลาพวกเราจะไปช่วยเอง”
“ข้ามิมีเวลาพอไปทำเรื่องนี้หรอก วันพรุ่งนี้ข้าจะต้องพารุ่ยอานกับรุ่ยหนิงไปหาบิดาของพวกเขาที่เมืองหลวง”
“หา? เจ้าจะไปเมืองหลวง?” เหล่าไท่ไท่ตกใจ
คนที่อยู่ในห้องก็ตกตะลึงมิน้อย
เมืองหลวงนั้นไกลโข!
“ท่านแม่ สวีฉางหลินไปที่เมืองหลวงแล้ว ข้าจะให้บุตรชายข้าทั้งสองมิมีโอกาสพบบิดาของตนได้อย่างไร” โจวกุ้ยหลานหมดความอดทนเล็กน้อย
ในตอนนั้นนางบอกไว้ว่าจะรอสวีฉางหลินแค่สามปี ใครจะรู้เล่าว่าต่อมานางจะให้กำเนิดบุตรชายอีกสองคน? ความหวังที่จะแต่งงานใหม่ต้องสิ้นสุดลง นางทำได้เพียงติดตามชายผู้นั้นไปตลอดชีวิต ในเมื่อเขามิกลับมา นางจึงต้องไปหาเขาเอง
เขามิได้เขียนจดหมายมาหานางเป็นเวลาสามเดือนแล้ว มิรู้ด้วยเหตุใด นางจึงกระวนกระวายใจยิ่ง
“เมืองหลวงอยู่ห่างจากที่นี่มากเท่าไร? ระหว่างทางอาจมีอันตรายมากเพียงใด? เจ้าจะไปในสถานที่ไกลเช่นนี้ได้อย่างไร?” เหล่าไท่ไท่คัดค้าน
บุตรสาวของนางอาศัยอยู่ในหมู่บ้านต้าสือมาตั้งแต่เกิด นางเดินทางไปไกลสุดก็คือหมู่บ้านรอบข้าง จะให้เหล่าไท่ไท่วางใจปล่อยบุตรสาวพาหลานอีกสองคนของตนไปได้อย่างไร?
เมื่อเห็นคนอื่นนิ่งเงียบ จึงรู้ว่าทุกคนเห็นด้วยกับคำของเหล่าไท่ไท่ โจวกุ้ยหลานจึงกล่าวออกมาอย่างเบื่อหน่ายว่า “ท่านแม่ จะให้ข้าอยู่เป็นหม้ายเช่นนี้ตลอดไปหรือ?”
“ชีวิตสำคัญกว่าสิ่งใด! ลองคิดถึงอันตรายเข้าสิ มีมากมายเพียงไร? มิได้ เจ้าจะไปมิได้!” เหล่าไท่ไท่ยังคงยืนกราน
โจวคายจือซึ่งนิ่งเงียบเสมอมา บัดนี้อดมิได้ที่จะกล่าวว่า “กุ้ยหลาน ท่านแม่พูดถูกแล้ว มันอันตรายยิ่งนัก”
“ว่ากันว่าผู้โชคร้ายมักอายุยืนมิใช่หรือ? ข้าก็คือคนผู้นั้น พวกเจ้าจะกลัวสิ่งใด?” กุ้ยหลานโน้มน้าวใจพวกเขา
เหล่าไท่ไท่และคนอื่นต่างมิเข้าใจ ทุกคนยังคงยืนกรานคัดค้าน
ท้ายที่สุดโจวกุ้ยหลาน1ก็หมดความอดทน นางจึงหยุดการสนทนาเรื่องนี้กับเหล่าไท่ไท่ และให้ทุกคนกลับไปพักผ่อน
โจวต้าซานหยิบแท่งไม้ออกมาสูบ แล้วลงเขาไป
โจวต้าไห่และภรรยาก็กลับไปยังเรือนของตนเช่นกัน โจวกุ้ยหลานและเหล่าไท่ไท่กลับไปอาบน้ำให้เด็กทั้งสอง นางกลับเข้าไปในห้องแล้วเอนกายลงบนเตียง รอจนกระทั่งลูกทั้งสองหลับไปแล้ว โจวกุ้ยหลานจึงขยับตัว
“ขยับทำไมนัก? นอนมิหลับหรือ?” เหล่าไท่ไท่ตะคอก
โจวกุ้ยหลานเบ้ปาก “ข้าเพียงลองดูว่าท่านหลับแล้วหรือยัง?”
เหล่าไท่ไท่ส่งเสียงหึๆ และมิได้สนใจนางอีก
เมื่อพบว่าเงียบเสียงลงแล้ว โจวกุ้ยหลานจึงลุกขึ้นนั่ง มองไปทางเหล่าไท่ไท่ “ท่านแม่ พรุ่งนี้ข้าจะเข้าไปในตำบลสักหน่อย เพื่อจ้างวานผู้คุ้มกันส่งข้าและลูกทั้งสองไปเมืองหลวง”
“อยู่บ้านเรามิดีหรือ? เหตุใดจึงต้องไปที่เมืองหลวง? มีผู้คนเดินทางไปตายมิน้อยนี่?” เหล่าไท่ไท่ลุกขึ้นนั่งด้วยความหงุดหงิดใจ นางขยี้ผมสีหงอกเขาของตนอย่างไร้ความอดทน
เมื่อพบว่านางพอจะฟังตนอยู่บ้าง โจวกุ้ยหลานก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“ท่านแม่ สวีฉางหลินมิได้เขียนจดหมายมาหาข้าสามเดือนแล้ว และมิมีข่าวคราวใดเลย คาดว่าคงเกิดเรื่องขึ้น ข้าจึงอยากเดินทางไปดูด้วยตนเอง”
เหล่าไท่ไท่ชะงักลงแล้วเหลือบมองดูโจวกุ้ยหลาน “เช่นนั้นเจ้าก็เขียนจดหมายไปหาเขาให้มากหน่อย หากเกิดเรื่องขึ้นจริง เจ้าเดินทางไปจะช่วยสิ่งใดได้?”
“มีหลายอย่างที่ทำได้ ลองดูสิ คราวนี้ครอบครัวเรามีเงินแล้วมิใช่เหรอ? นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าทำหรือ?”
เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ โจวกุ้ยหลานก็ดูได้ใจ
นอกจากที่ดินที่นางแลกมาเหล่านั้นแล้ว ในมือของนางยังมีเงินหลายหมื่นตำลึง! เพียงแค่เงินสดก็มีหลายพันตำลึงแล้ว
เหล่าไท่ไท่ถูกนางสั่งสองเข้าให้แล้ว เมื่อคิดถึงเรื่องที่บุตรสาวของคนทำในหลายปีมานี้ เห็นได้ว่านางเป็นคนที่มีความคิดเป็นของตนเอง เพียงแต่จะให้บุตรสาวเดินทางจากไปเช่นนี้ ในใจจึงรู้สึกมิดีนัก