นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 313 เดินทางพันลี้ไปหาสามี (4)
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 313 เดินทางพันลี้ไปหาสามี (4)
“แม่เจ็บหรือไม่?” รุ่ยอานที่ยืนอยู่ด้านข้างเอ่ยถาม
โจวกุ้ยหลานหันศีรษะไปมองพบว่าดวงตาของรุ่ยอานก็แดงก่ำเช่นกัน
เมื่อเห็นท่าทางเช่นนั้น คาดว่าเขาเองก็อยากจะร้องไห้ออกมา
นางจึงรีบดึงรุ่ยอานเข้ามาไว้ในอ้อมแขน ปลอบเด็กทั้งสอง ลูบไปที่หลังเบาๆ
“มิต้องเป็นห่วงแม่ แม่มิได้เป็นอะไรเลย แม่เป็นคนดีมิกลัวเจ็บหรอก ประเดี๋ยวก็ดีขึ้นแล้ว”
โจวกุ้ยหลานยกนิ้วชี้ให้กับเด็กทั้งสองคนดู แขนทั้งสองข้างกอดลูกเอาไว้แน่น
นางสะเพร่าจนเกินไปทำให้เด็กทั้งสองคนเป็นห่วงได้อย่างไรกัน……
ไป๋ยี่เซวียนดูท่าทางของสามแม่ลูก ความโมโหเมื่อครู่ก็จางหายไปมิน้อย
“ก็แค่นิ้วถูกบาดมิใช่หรือไรกัน พวกเจ้าจะร้องไห้ไปทำไม!”
โจวกุ้ยหลานกล่าวโดยมิได้เงยหน้าขึ้นมองเขาว่า “นี่คือความสุขของคนที่มีลูก คนตัวคนเดียวเช่นเจ้าจะไปรู้อะไร”
ไป๋ยี่เซวียน “……”
เหตุใดเขาจึงรู้สึกว่าเข่าของตนเองเจ็บหนัก
โจวกุ้ยหลานปลอบประโลมด้วยความอดทนอยู่พักใหญ่ เด็กทั้งสองคนจึงได้สงบลง บัดนี้นางมิกล้าแตะต้องกริชเล่มนั้นอีกเลย
จนกระทั่งถึงเวลากลางวัน ไป๋ยี่เซวียนเดินไปที่โต๊ะของผู้คุ้มกันกล่าวอะไรบางอย่าง ตอนบ่ายที่ออกเดินทางอีกครั้งพบในมือผู้คุ้มกันเหล่านั้นถือไม้พองเอาไว้ในมือ
ในยามบ่ายเมื่อมิมีอะไรทำโจวกุ้ยหลานจึงได้เล่านิทานให้แก่ลูกทั้งสองคนฟัง เด็กทั้งสองก็ฟังด้วยท่าทางดีอกดีใจ ไป๋ยี่เซวียนเองก็ฟังด้วยความสนใจเช่นกัน แต่เมื่อผ่านไปสักพัก เสียงของโจวกุ้ยหลานก็แหบแห้ง
ในตอนกลางคืนนางมิอาจพูดอะไรออกมาได้อีกเลย
ช่างนับถือบรรดานักเล่าเรื่องเสียจริง ที่สามารถพูดได้ทั้งวันทั้งวี่
ในตอนกลางคืน พวกเขาเข้านอนกันแต่หัวค่ำ เมื่อเดินทางในวันที่สาม ก็ได้พบว่าบนรถม้ามีกระดานหมากรุกวางอยู่
บัดนี้โจวกุ้ยหลานจึงได้เข้าใจว่าเมื่อวานผู้คุ้มกันทั้งหลายคงจะใช้เวลาตลอดทั้งบ่ายในการทำกระดานหมากรุก แต่ทั้งหมดเป็นสีเดียวกันซึ่งค่อนข้างลำบาก
โจวกุ้ยหลานมองซ้ายมองขวา จากนั้นมองไปที่ร้านขายผ้า ให้พวกเขาไปซื้อผ้าที่ย้อมด้วยสีแดงมาแล้วนำมาย้อมหมากรุก เมื่อกลับไปยังรถม้าก็เริ่มสอนลูกทั้งสองคนเล่นหมากรุก
รุ่ยอานดีใจเป็นยิ่งนัก เพียงมินานเขาก็เรียนรู้มัน แต่รุ่ยหนิงเล่นอยู่สักพักก็อยากจะไปเล่นอย่างอื่น แต่เขาถูกรุ่ยอานลากไปเล่นหมากรุกต่อ
หลังจากนั้นอีกหลายวันต่อมา รุ่ยอานก็พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว และรุ่ยหนิงก็พ่ายแพ้ตลอด จนกระทั่งสุดท้ายรุ่ยหนิงก็มิยอมเล่นกับพี่ชายแล้ว เปลี่ยนเป็นโจวกุ้ยหลานที่ไปเล่นกับเขาแทน
เมื่อโจวกุ้ยหลานเหนื่อยเกินกว่าจะเล่น นางก็มิอยากเล่นอีกต่อไปและไป๋ยี่เซวียนก็เข้ามาเล่นต่อ
ทันใดนั้นโจวกุ้ยหลานก็พบว่า ไป๋ยี่เซวียนเก่งกาจยิ่งนัก เขาเล่นกับรุ่ยอานอยู่หลายหน และรุ่ยอานก็พ่ายแพ้ตลอด แต่ดวงตานั้นเป็นประกาย
รุ่ยอานน้อยราวกับถูกเปิดประตูบานใหม่ เขายุ่งอยู่กับหมากรุกทั้งวัน แม้แต่ตอนกระทั่งกลางคืนก็ยังมิละเว้น
เมื่อมีเรื่องให้ทำ เวลาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว
แต่แล้วโจวกุ้ยหลาน ก็มองเห็นผู้คนซึ่งกำลังหลบหนีอยู่บนท้องถนน กลุ่มแล้วกลุ่มเล่า
พวกเขาก็มิกล้าหยุดนิ่ง บังคับม้าตรงไปอย่างรวดเร็ว
สองวันแรกผ่านไปด้วยดี แต่หลังจากนั้นนางก็รู้สึกว่าบางคนมองมาที่รถม้าด้วยแววตาแปลกๆ
จนกระทั่งวันหนึ่ง มีเด็กคนหนึ่งล้มลงต่อหน้ารถม้านางและบีบบังคับให้คนขับรถม้าต้องหยุดรถ
สตรีนางหนึ่งเดินเข้ามาจากด้านข้าง แล้วปิดกั้นรถม้าเอาไว้ด้วยท่าทางอันงุนงง
แววตาคู่นั้นดูว่างเปล่าและสิ้นหวัง
“อุ้มลูกของเจ้าไปเสีย!” คนขับรถม้าตะโกนใส่หญิงผู้นั้นด้วยความโมโห
ดูเหมือนหญิงผู้นั้นจะมิได้ตื่นตระหนกตกใจเพราะน้ำเสียงของเขาเลย แต่แววตาหันไปมองยังรถม้าซึ่งอยู่มิไกลนัก ดวงตาคู่นั้นฉายแววความบ้าคลั่ง
เมื่อเห็นแววตาของนางโจวกุ้ยหลานก็ตกใจแล้วรีบเข้ามากอดบุตรชายเอาไว้อย่างรวดเร็ว
วินาทีต่อมา ก็ได้ยินนางผู้นั้นเอ่ยว่า “พวกเขามีอาหาร พวกเราไปแย่งอาหารของพวกเขามา พวกเราก็จะกินอิ่มหนำกันแล้ว!”
ด้วยน้ำเสียงนี้ ผู้คนลี้ภัยจากรอบข้างต่างพากันหยุดลงแล้วมองไปยังรถม้าที่มิได้หรูหราตรงหน้านี้
“ม้าสามตัวนี้ เพียงพอสำหรับพวกเราแล้ว!”
มิรู้ว่าใครกันที่เอ่ยตะโกนขึ้นมาเช่นนี้
พวกเขาดูเหมือนกับภูตผีที่ถูกครอบงำ สายตามองไปยังรถม้าทั้งสามคัน
หัวใจของโจวกุ้ยหลานหนักอึ้ง เป็นจริงดังนั้นเหตุการณ์ที่นางคิดไว้เกิดขึ้นจริง……
“หากฆ่าคน ณ บัดนี้ นับว่าผิดกฎหมายหรือไม่?” ไป๋ยี่เซวียนหันไปมองดูโจวกุ้ยหลานแล้วเอ่ยถาม
โจวกุ้ยหลานกัดฟันกรอด สายตาของนางมองไปที่ศีรษะของลูกชายทั้งสอง ความรู้สึกโมโหเกิดขึ้นในใจ
นางเองก็เห็นอกเห็นใจคนเหล่านี้ แต่ด้วยเหตุการณ์ในตอนนี้เพื่อลูกชายแล้วนางจะปล่อยตามอำเภอใจพวกเขามิได้
จะหาว่านางเห็นแก่ตัว หรือหาว่านางไร้น้ำใจก็ช่าง นางเพียงต้องการมีชีวิตอยู่และปกป้องลูกชายทั้งสองเท่านั้น
“มิต้องสนใจ พุ่งเข้าไปได้เลย!” โจวกุ้ยหลานกัดฟันกรอด
ไป๋ยี่เซวียนพยักหน้า บัดนี้ทำได้เพียงหยุดลงแล้วเผชิญหน้ากับพวกเขา มีเพียงหนทางตายเส้นเดียวเท่านั้น
“มีผู้คนมากเหลือเกิน……”
“คุณชาย คุณชายขอรับ ทำอย่างไรดี……” คนขับรถม้าที่อยู่ด้านนอกเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ก็รู้สึกกลัวเล็กน้อย แล้วหันมาเอ่ยถาม
ไป๋ยี่เซวียนมองไปยังเด็กตรงหน้าพวกเขาที่นอนอยู่ และสตรีผู้บ้าคลั่งที่เข้ามาขวางรถม้าของตนเอาไว้ เขากล่าวอย่างเย็นชาว่า “บุกไป”
เมื่อได้ยินคำสั่งนี้ คนขับรถม้าก็โล่งใจอย่างเห็นได้ชัด
เขายกแซ่ขึ้นฟาดอยู่สองครั้งไปที่บั้นท้ายของม้าสองตัวที่ลากเกวียน
ม้าทั้งสองตัวรู้สึกถึงความเจ็บปวดจึงกระโดดยกขาหน้าขึ้นแล้วร้องออกมา พวกมันกางขาพุ่งไปข้างหน้าโดยมิคำนึงว่าจะมีใครยืนอยู่หรือไม่
แววตาของหญิงผู้นั้นหวาดกลัว ก่อนจะหันหลีกไปด้านข้างเพื่อหลบ
คนขับรถม้าจับไปที่บังเหียน นำม้าทั้งสองตัวกระโดดข้ามเด็กที่มิรู้ว่ามีชีวิตหรือไม่ซึ่งอยู่ตรงกลางถนนแล้ววิ่งไปพร้อมกับรถม้า
รถม้าคันข้างหลังเห็นรถม้าคันข้างหน้าบุกตรงผ่านไป ก็เข้าใจได้ทันทีถึงความหมายของคุณชาย พวกเขาก็บุกเข้าไปเช่นกัน
พวกเขาบังคับรถม้าข้ามเด็กที่อยู่ตรงกลางแล้วพุ่งตรงไปที่ด้านข้าง
แม้แต่คนที่เข้ามาหลายล้อเมื่อครู่ก็มิกล้าเผชิญกับรถม้าของพวกเขาและมิกล้ามีใครเข้ามารั้งเอาไว้ ทำได้เพียงหลบอยู่ที่ข้างถนน ผู้คนต่างพากันหลีกหนี ทำให้รถม้าดำเนินไปได้อย่างราบรื่น
โจวกุ้ยหลานเหลือบมองไปยังหน้าต่างของรถม้าที่อยู่ด้านหลัง พบว่าเด็กคนนั้นยังนอนอยู่ท่าเดิมมิขยับ
คาดว่าคงจะสิ้นใจแล้ว……
โจวกุ้ยหลานถอนหายใจออกมาแล้วนั่งลง นางกอดบุตรชายทั้งสองคนเอาไว้
ยังดีเหลือเกินที่นางมิได้เป็นเหมือนพวกเขา ต้องปล่อยให้ลูกตัวเองอดตายเช่นนี้
“ข้าคิดว่าเจ้าจะแบ่งปันอาหารของเราให้แก่พวกเขาเสียอีก”
โจวกุ้ยหลานมองไปทางไป๋ยี่เซวียน เห็นใบหน้าและอารมณ์อันซับซ้อนของเขา
“ระหว่างทางนี้มีผู้ลี้ภัยจำนวนมาก หากเราเอาอาหารแห้งออกมาให้พวกเขา พวกเราอาจจะอดตายเร็วขึ้น และมิอาจช่วยเหลือใครได้อีก”
นึกถึงจำนวนผู้ลี้ภัยระหว่างทางเหล่านั้นโจวกุ้ยหลานก็รู้สึกปวดใจ
เมื่อครู่หากว่าพวกเขาลังเลใจล่ะก็ คาดว่าคงจะจบสิ้นชีวิตลงแล้ว
ไป๋ยี่เซวียนพยักหน้าเล็กน้อย “เพื่อที่จะฉกฉวยอาหารแห้งเหล่านั้น พวกเขาคงพร้อมที่จะตายเพื่อให้ได้มันมา”
“เหตุใดทางราชวังยังมิออกมาช่วยเหลือกันนะ? นี่ก็ปาเข้าไปเกือบเดือนแล้ว”
โจวกุ้ยหลานขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไปเกี่ยวกับเรื่องนี้