นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 315 เดินทางพันลี้ไปหาสามี (6)
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 315 เดินทางพันลี้ไปหาสามี (6)
เมื่อกล่าวจบเขาก็สะบัดแขนเสื้อขึ้น “ผู้คนเหล่านั้นหากให้พวกเขาเข้ามาจริงๆ ล่ะก็ อาจจะนำพาโรคภัยมามากมาย หากว่าพวกเขาติดโรค ประชาชนในเมืองเภ่ก็คงต้องตายไปพร้อมพวกเขาหรือ?”
โจวกุ้ยหลานก็รู้สึกมิดีเช่นกัน เมื่อเห็นท่าทีอันโมโหของใต้เท้าเว่ย นางก็ทำได้เพียงหุบปากลงแล้วปล่อยให้เขาระบายออกมา
“ข้าเป็นเจ้าหน้าที่แห่งเมืองเภ่ ชีวิตของผู้คนในเมืองเภ่อยู่ในมือของข้า ต่อให้ข้าจะถูกดุด่าจนตายก็มิอาจเปิดประตูเมืองได้ หากเรื่องนี้ผ่านไปแล้ว ฮ่องเต้อาจฆ่าข้า ให้ข้าถูกผู้คนมากมายด่าทอ”
ไป๋ยี่เซวียนเก็บท่าทีแววตาของตนไว้แล้วลุกขึ้นโค้งคำนับใต้เท้าเว่ยกล่าวว่า “ใต้เท้าเว่ยเห็นใจผู้คนในเมืองยิ่งนัก พวกข้าก็ชื่นชมท่าน กุ้ยหลานมิได้มีเจตนาอื่นใด ใต้เท้าเว่ยอย่าได้นำมาใส่ใจเลย”
ใต้เท้าเว่ยโบกมือไปมา “จะด่าทอต่อหน้าต่อตากัน ข้าก็มิสนใจหรอก ข้าเว่ยหรู ในเมื่อกล้าทำเรื่องเหล่านี้ข้าก็มิกลัวว่าคนอื่นจะด่าทอ”
โจวกุ้ยหลานลุกขึ้นยืนโค้งคำนับไปทางใต้เท้าเว่ยกล่าวด้วยใบหน้าจริงจังว่า “ข้าเอ่ยผิดไป เจตนาของข้านั้นมิได้อยากจะบอกว่าสิ่งที่ใต้เท้าเว่ยกระทำมันผิด ข้าสามารถเข้าใจท่านได้”
“ก่อนจะเข้าเมืองมา ข้าเห็นว่าผู้ลี้ภัยด้านนอกช่างน่าสงสารนัก แต่มิได้หิวโหยเหมือนกับผู้คนระหว่างทาง คาดว่าใต้เท้าเว่ยคงจะมีอาหารให้พวกเขา”
ใต้เท้าเว่ยหยุดฝีเท้าลง มองไปทางโจวกุ้ยหลานด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะถอนหายใจออกมา ความหงุดหงิดเมื่อครู่ก็จางหาย
“แต่ถึงกระนั้น ก็ช่วยอะไรได้มิมากนักเมืองเภ่ของพวกเราต่อให้มีคลังของเสบียงอยู่ก็มีมิมากเท่าไหร่ จะเอาออกมาบริจาคให้แก่พวกเขาทั้งหมดก็มิได้ แล้วคนที่เหลือจะใช้ชีวิตอย่างไรเล่า อย่างมากสุด พวกเรามีอาหารให้ผู้ลี้ภัยวันละหนึ่งมื้อ……”
เมื่อกล่าวจบเขาก็หันไปมองดูทางไป๋ยี่เซวียน “คุณชายไป๋ มิทราบว่าท่านจะพอช่วยชีวิตคนเหล่านั้นได้หรือไม่ หากสามารถบริจาคเงินหรืออาหารได้สักเล็กน้อย ข้าเว่ยหรูจักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง”
หลายวันมานี้ ที่บ้านของพวกเขาก็ขาดแคลนอาหารเช่นกัน บรรดาพ่อค้าทั้งหมด คนของเขาได้เดินทางไปหาหมดสิ้นแล้ว การที่อยู่มาได้จนถึงตอนนี้นับว่ายอดเยี่ยมทีเดียว คิดมิถึงว่าในวันนี้จะพบเข้ากับไป๋ยี่เซวียน เขาคือผู้มั่งคั่งอย่างแท้จริง
ไป๋ยี่เซวียนพยักหน้าเบาๆ “ใต้เท้าเว่ย พ่อค้าเช่นพวกเรามีอำนาจพอที่จะออกเงิน แต่บัดนี้ต่อให้พวกเรานำเงินมาให้ท่านเมืองเภ่ของท่านก็คงซื้อธัญพืชได้มิมาก สู้ส่งคนของท่านเดินทางไปพร้อมกับเรา แล้วค่อยไปซื้อธัญพืชจากเมืองอื่นลำเลียงกลับมาให้ทานที่นี่มิดีกว่าหรือ”
“แน่นอนว่าดียิ่งนัก ดียิ่งนัก!” ใต้เท้าเว่ยเข้ามาคว้ามือของไป๋ยี่เซวียนเอาไว้แล้วเอ่ยขอบคุณด้วยความปลาบปลื้ม
เมื่อเห็นท่าทีเช่นนั้นของเว่ยหรู โจวกุ้ยหลานก็รู้สึกอบอุ่นในใจ ต่อให้มีเจ้าหน้าที่ทุจริตมากมาย แต่ก็ยังคงมีเจ้าหน้าที่ซึ่งเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมเช่นเว่ยหรูนี้อยู่ ซึ่งเขาทำทุกอย่างเพื่อประชาชน
“ข้าเองก็จะขอให้เงินจำนวนหนึ่งหมื่นตำลึงใช้สำหรับซื้อหาอาหารและบริจาคให้ผู้ลี้ภัยด้วย” โจวกุ้ยหลานเอ่ยปากขึ้นทันใด
“พวกท่าน……พวกท่านมิใช่คนครอบครัวเดียวกันหรือ?” เว่ยหรูรู้สึกประหลาดใจ
มิมีบ้านใดหรอกที่จะบริจาคเงินของใครของมัน
โจวกุ้ยหลาน หัวเราะขึ้นอย่างผ่อนคลาย “เขาก็คือเขา ข้าก็คือข้า”
เว่ยหรูอ้าปากกว้างแล้วมองไปยังเด็กน้อยสองคนที่นั่งอยู่ข้างกายโจวกุ้ยหลาน จากนั้นมองไปที่ไป๋ยี่เซวียน และโจวกุ้ยหลาน เขากลืนคำพูดที่คิดไว้ลงไป
“นางคือญาติของนายพลสวี่ สวีฉางหลิน เมื่อเผชิญหน้ากับเรื่องราวเช่นนี้แน่นอนว่าคงจะต้องยื่นมือเข้ามาช่วยใต้เท้าเว่ย ท่านควรดีใจจึงจะถูก”
ไป๋ยี่เซวียน กล่าวขึ้นเพื่ออธิบาย
ประโยคนี้ทำให้ใต้เท้าเว่ยตกตะลึงยิ่งขึ้น “แม่ นายพลสวี……นายพลสวีหรือ?”
“เจ้ารู้จักหรือ?” โจวกุ้ยหลานเอ่ยถาม
วินาทีต่อมา เว่ยหรูก็ก้าวมาข้างหน้าอย่างเร่งรีบคุกเข่าลงข้างหนึ่งต่อหน้าโจวกุ้ยหลานแล้วตอบว่า “พี่สะใภ้ เมื่อแปดปีก่อนข้าเคยออกรบ อยู่ภายใต้การควบคุมของนายพลสวี”
ที่แท้เขาเคยเป็นทหารของสวีฉางหลิน มิน่าเล่าจึงมีปฏิกิริยาเช่นนั้น
โจวกุ้ยหลานพยุงเขาขึ้นมา เว่ยหรูจึงลุกขึ้นตามแรงพยุง
เขาเงยหน้าขึ้นมองไปที่เด็กน้อยทั้งสอง
ก่อนหน้านี้เขามิได้รู้สึกอย่างไร ทว่าบัดนี้กลับรู้สึกว่าเด็กทั้งสองคนหน้าตาช่างเหมือนนายพลสวีเป็นยิ่งนัก เมื่อบิดาเก่งกาจ บุตรชายก็จะมิธรรมดาเช่นกัน
“สมแล้วที่เป็นภรรยาของนายพลสวี สามารถนำเงินจำนวนถึงหนึ่งหมื่นตำลึงให้ภรรยาเพื่อมาช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้ ข้านั้นมีกำลัง เพียงแค่นำเงินมิกี่ร้อยตำลึงไปซื้อหาอาหารเท่านั้น……”
ขณะที่เขากล่าวก็ได้ทรงหมวกของตนเองอย่างเขินอาย
โจวกุ้ยหลานกล่าวขึ้นด้วยใบหน้าอันเย็นชา “นี่คือเงินที่ข้าหามาเอง”
นับตั้งแต่ชายผู้นั้นเดินทางจากมา เขาก็ยังมิเคยกลับบ้านอีกเลย ต่อให้เขาทิ้งธัญพืชเอาไว้ให้มาก แต่เหล่านั้นก็นำมาแลกเป็นที่ดินหมดแล้ว
สีหน้าของเว่ยหรูดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย “ท่านนายพลช่างมีแววตาหลักแหลมเหลือเกิน แต่งภรรยาที่มีความสามารถยิ่ง มิเหมือนกับข้า ภรรยาที่แต่งมาทำเป็นเพียงแค่หุงหาอาหารและงานบ้านเล็กน้อย……”
โจวกุ้ยหลาน “……”
“ข้าทำเป็นเพียงเก็บกวาดบ้านและทำอาหารแล้วอย่างไรเล่า? ในฐานะที่เจ้าเป็นขุนนางก็มิได้เท่าไร แทบจะมิเพียงพอเลี้ยงชีพในครอบครัวของตนอยู่แล้ว ทั้งยังส่งลูกออกเรือนไปเพื่อประทังชีวิต”
ทุกคนหันหลังไปมองพบว่าเว่ยฮูหยินเดินตรงเข้ามา ในมือของนางถือตะกร้าผัก ข้างในมีทั้งผักและข้าว
พูดถึงก็มาทีเดียวเชียว!
เว่ยหรูเกรงว่าตนจะเสียหน้า จึงได้รีบวิ่งเข้าไปเปลี่ยนหัวข้อสนทนาว่า “เจ้ายังมิรีบไปทำอาหารอีกหรือ? หากปล่อยให้พวกเขาหิวโหย เจ้าจะรับผิดชอบอย่างไร!”
เมื่อมีคนอื่นอยู่ด้วย เว่ยฮูหยินจึงมิได้เอ่ยสิ่งใดให้มากความ นางระงับความโมโหเอาไว้แล้วตรงเข้าไปที่ห้องครัว
ไป๋ยี่เซวียนรู้สึกเศร้าใจเล็กน้อยและอิจฉา ต่อให้สามีของนางมิอยู่ข้างกาย นางก็ยังคงสามารถแสดงความรักต่อกันออกมาได้ ทำให้คนอื่นอิจฉา
โจวกุ้ยหลานพาลูกทั้งสองคนเข้าไปในครัวเพื่อช่วยเว่ยฮูหยินทำอาหาร ไป๋ยี่เซวียนอยู่สนทนากับใต้เท้าเว่ยเรื่องขนส่งอาหารจะทำเช่นไร
เด็กน้อยทั้งสองคนที่นั่งรถม้ามาก็เริ่มเบื่อ เมื่อมาถึงห้องครัวพวกเขาก็มิยินดีที่จะนั่งลงนัก จึงพากันวิ่งไปรอบๆ โจวกุ้ยหลานเกรงว่าพวกเขาจะทำให้สิ่งของแตกหักพัง จึงให้ทั้งสองคนออกไปวิ่งเล่นที่ด้านนอกห้องครัว
“เหตุใดเจ้าจึงพาลูกทั้งสองคนเดินทางไปทั่วเช่นนี้?”เว่ยฮูหยินสนทนากับโจวกุ้ยหลานพลางทำอาหาร
โจวกุ้ยหลานใส่ฟืนเข้าไปในเตาแล้วตอบด้วยรอยยิ้มว่า “จะให้ทำอย่างไรเล่า บิดาของพวกเขามัวแต่ต่อต้านการบุกรุก หากเอาพวกเขาไปด้วย เพียงมิกี่วัน บิดาของพวกเขาก็ต้องออกรบอีก”
“เฮ้อ มิรู้ว่าสงครามนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อไร และชีวิตช่วงนี้ก็ยากเย็นยิ่งนัก”
“หากว่าใต้เท้าเว่ยดีกับท่าน สองสามีภรรยาท่านคงจะมีชีวิตที่ดีได้แน่นอน” โจวกุ้ยหลานปลอบใจนาง
เว่ยฮูหยินครุ่นคิดแล้วพยักหน้า “จะว่าไปก็เป็นเช่นนั้น ตอนที่เขาออกรบอยู่ที่ด้านนอกเมือง เเล้วก็มิเคยกลับมาเลย ชีวิตข้าช่างยากเย็นแสนเข็ญ แม้ว่าบัดนี้อาหารของพวกเราจะนำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยหมดแล้ว ข้าก็ยังรู้สึกว่าชีวิตดีขึ้นกว่าแต่ก่อนยิ่ง”
เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้โจวกุ้ยหลาน ก็เอ่ยถามขึ้นอีกสองสามประโยค เว่ยฮูหยินเป็นคนที่พูดเก่ง ดังนั้นทั้งสองคนจึงสนทนากันอย่างเพลิดเพลิน
เมื่อทำอาหารเสร็จแล้ว ทุกคนก็มานั่งรวมกันรับประทานอาหารอันร้อนระอุ ดูช่างมีความสุขยิ่งนัก
เว่ยหรูและภรรยามิได้กินอาหารที่เป็นเมล็ดข้าวมาหลายมื้อมากแล้ว และยังกินมิอิ่ม ส่วนโจวกุ้ยหลานและคนอื่นๆ เนื่องจากว่าเดินทางมาเป็นเวลาเนิ่นนานได้กินเพียงอาหารแห้ง ร่างกายของพวกเขาใกล้จะกลายเป็นอาหารแห้งอยู่แล้ว เมื่อได้กินข้าวมื้อนี้ทุกคนจึงล้วนรู้สึกดี
พวกเขาอาศัยอยู่ที่จวนใต้เท้าเว่ย เป็นเวลาหนึ่งคืน ทุกคนพากันพักผ่อนเข้านอน เช้าวันต่อมาก็ได้ขึ้นรถม้าเดินทางมุ่งหน้าต่อไป