นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 316 เดินทางพันลี้ไปหาสามี 7
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา ตอนที่ 316 เดินทางพันลี้ไปหาสามี 7
คราวนี้ด้านหลังรถม้าพวกเขายังมีคนของที่ว่าการอำเภอตามมาไม่น้อย เมื่อไปถึงอำเภอถัดไป โจวกุ้ยหลานกับไป๋ยี่เซวียน ก็ซื้อเมล็ดข้าวพันธุ์ส่วนใหญ่ในอำเภอ แล้วให้คนส่งกลับไปก่อน จากนั้นรีบไปอำเภอถัดไป
โจวกุ้ยหลานก็หยิบตั๋วหนึ่งหมื่นตำลึงเงินออกมา ซื้อข้าวโพดไปไม่น้อย ให้คนของที่ว่าการอำเภอส่งกลับไป
สุดท้ายเมื่อทุกคนกลับไปแล้ว ไป๋ยี่เซวียนกับโจวกุ้ยหลานสองคนซื้อเมล็ดข้าวพันธุ์เกือบหมดในหลายอำเภอใกล้เคียง และยังซื้อวัตถุดิบยาทั่วไป แล้วให้พวกคนลากกลับไป ถึงได้เดินทางต่อ
ตลอดการเดินทางที่เหลือไม่ได้เห็นผู้ลี้ภัยแล้ว หลายคนก็เริ่มผ่อนคลาย พักผ่อนเมื่อถึงเวลาพัก และกินข้าวเมื่อถึงกินข้าว
ตอนเดินทางก็พบปัญหาเล็กน้อยบ้างเป็นครั้งคราว แล้วถูกไป๋ยี่เซวียนการแก้จนหมด
เมื่อพวกเขามาถึงประตูเมืองหลวง โจวกุ้ยหลานก็ทอดถอนใจว่าคราวนี้โชคดีที่มาที่นี่พร้อมกับไป๋ยี่เซวียนไม่อย่างนั้นตอนเดินทางก็ไม่อาจบอกได้ว่าจะมีเรื่องยุ่งยากมากน้อยเพียงใด
“เมื่อเข้าเมืองแล้ว พวกเจ้าต้องการตามไปพักบ้านพวกข้าสักหน่อยไหม”
“ไม่รบกวนเจ้าแล้ว พวกข้าหาโรงเตี๊ยมสักที่พักก่อนดีกว่า” โจวกุ้ยหลานปฏิเสธ
ไป๋ยี่เซวียนพยักหน้า “ก็จริง ตามข้ากลับไปอยู่ด้วยยังไม่สบายเท่าอยู่โรงเตี๊ยม”
เมื่อรู้ว่ามีนัยในคำพูดของเขา โจวกุ้ยหลานก็ไม่ได้สาวถึงแก่นแท้ พูดคุยกับเขาอีกสองสามคำ หลังจากคนได้เข้ามาในเมืองแล้ว ไป๋ยี่เซวียนช่วยโจวกุ้ยหลานไปโรงเตี๊ยมหรูอี้ในเมืองก่อนเพื่อหาห้องเข้าพัก จากนั้นเขาก็จากไปพร้อมกับทหารองครักษ์
หลังจากเข้าพักในโรงเตี๊ยมแล้ว เริ่มแรกโจวกุ้ยหลานก็ให้คนรับใช้เตรียมน้ำอาบ นางช่วยเด็กสองคนขัดผิวจนสะอาด จากนั้นสั่งอาหารสามจานและน้ำแกงหนึ่งชาม ทั้งสามคนนั่งที่โต๊ะเพื่อทานอาหาร
“ท่านแม่ พวกเราจะได้เจอท่านพ่อเมื่อไรหรือ” รุ่ยหนิงถือตะเกียบ ขณะในปากกินอย่างมูมมาม ก็ถามขึ้น
โจวกุ้ยหลานก็คีบอาหารลงในชามของตัวเอง “พวกเราพักผ่อนกันก่อน แล้วค่อยสอบถามผู้อื่นว่าพ่อเจ้าได้มาถึงเมืองหลวงหรือยัง”
“ท่านพ่อยังไม่มาหรือ” รุ่ยอานไม่สบายใจเล็กน้อย
โจวกุ้ยหลานส่ายหน้า “แม่ก็ไม่รู้เช่นกัน พรุ่งนี้พวกเราไปสอบถามกันเถอะ”
รุ่ยหนิงปรบมืออย่างยินดี “หนิงหนิงจะได้เจอท่านพ่อแล้ว!”
“ใช่ๆ ดังนั้นก่อนเจอพ่อ เจ้าต้องกินให้อิ่ม ให้โตขึ้นหน่อย แบบนี้พ่อถึงจะชอบเจ้า”
พอหลอกล่อแล้ว เด็กทั้งสองก็กินเข้าไปไม่น้อย
หลังจากนั่งบนเตียงได้สักพัก เด็กทั้งสองก็ผล็อยหลับไป
หลังจากตะลอนเดินทางนานกว่าสองเดือน พวกเขาเหนื่อยมากจริง ๆ
รอจนพวกเขาผล็อยหลับไป โจวกุ้ยหลานก็ส่งคนไปเอาน้ำมา อาบน้ำจนสบายตัว ก็นอนลงบนเตียงหลับสบายตลอดคืน
ร่างกายที่ใช้งานหนักมาสองเดือน ก็เหนื่อยล้าไปหมด ไม่นาน นางก็ผล็อยหลับไปด้วยความง่วงงุน
อีกด้านหนึ่งในเมืองหลวง
เงาร่างเดียวดายยืนอยู่กลางลาน เงยหน้าขึ้นมองจันทร์ที่สว่างไสวบนท้องฟ้า หยุดนิ่งเป็นเวลานาน
ไม่นาน เงาร่างสตรีชุดดำก็ปรากฏตัวขึ้นกลางลาน คุกเข่าข้างหนึ่งหันให้เขา
“อาจิ่วเข้าพบนายพล!”
ท่ามกลางแสงจันทร์ สวีฉางหลินหันกายมา มองสตรีที่คุกเขาอยู่ตรงพื้น ขมวดคิ้วแน่น “นางมาเมืองหลวงแล้ว?”
“ฮูหยินท่านนายพลพานายน้อยสองคนมาตามหาท่านเจ้าค่ะ”
อาจิ่วก้มหน้าต่ำ แล้วรายงานตามจริง
สวีฉางหลินผินหน้ามา แสงจันทร์ฉายส่องประกายแสงสีทองบนใบหน้าข้างหนึ่งของเขา ส่วนอีกด้าน กลับซ่อนอยู่ในความมืดมิด
คิ้วงามขมวดมุ่น ร้อนใจเล็กน้อย “เจ้าควรขัดขวางนางไว้”
อาจิ่วชะงัก แล้วพูดว่า “คุณชาย ท่านให้ข้าปกป้องคุณฮูหยินอย่างลับ ๆ หากข้ายื่นมือออกไป นางต้องรู้ถึงการมีตัวตนของข้าแน่”
“ช่างเถอะ เจ้ายืนมือไปก็ขวางนางไว้ไม่อยู่”
สวีฉางหลินยกมือขึ้น สะบัดมือ
อาจิ่ว “…”
ทำไมถึงรู้สึกเหมือนตัวเองโดนดูถูกเลย?
แล้วสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่า คือนางยังรู้สึกว่าคุณชายพูดถูกต้อง…
“ปกป้องนางให้ดี และอย่าให้นางเข้าใกล้ข้าได้”
อาจิ่วดันทุรังต่อว่า “แต่ข้าหยุดรั้งคุณฮูหยินไม่ได้”
“ก็จริง” สวีฉางหลินไม่ได้ไว้หน้าให้อาจิ่วแม้แต่น้อย
อาจิ่วลอบกัดฟันใต้หน้ากาก
“เจ้าควรกลับไปปกป้องพวกเขา มีเรื่องอันใดก็มารายงานข้า” สวีฉางหลินพูดจบ โบกมือ หันกายไป แล้วเงยหน้ามองพระจันทร์อีกครั้ง ท่าทางจมอยู่ในความคิด
อาจิ่วทำความเคารพ พอหยัดกายขึ้น ถอยกลับในความมืดมิด แล้วหายตัวไปอีกครั้ง
สวีฉางหลินขมวดคิ้วแน่น ในใจอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวล
สิ่งที่ควรมา ก็มาแล้ว
ขณะกำลังใคร่คิด ครู่เดี๋ยว อาจิ่วปรากฏตัวขึ้นที่ลานอีกครั้ง
สวีฉางหลินหันหน้าไปมองนาง
อาจิ่วกัดริมฝีปาก กล่าวว่า “คุณชาย ครั้งนี้คุณฮูหยินมาที่เมืองหลวงพร้อมกับคุณชายจากตระกูลไป๋เจ้าค่ะ”
เรื่องนี้ นางรู้สึกว่าตัวเองจำเป็นต้องบอกคุณชายมิฉะนั้นวันหน้าบัญชีนี้จะต้องถูกคิดกับนางแน่
“ไป๋ยี่เซวียน?” สวีฉางหลินไม่พอใจ
“เจ้าค่ะ”
สวีฉางหลินกำมัดแน่น “อยู่ด้วยกันตลอดทาง?”
“เจ้าค่ะ อีกทั้งยังนั่งรถม้าคันเดียวกัน” อาจิ่วกล่าวตามจริง
รถม้าคันเดียว…รถม้าคันเดียว…รถม้าคันเดียว
ไป๋ยี่เซวียนผู้นั้น เพ้อฝันถึงภรรยาของเขาจริง ๆ เชียว! นึกไม่ถึงเลยว่าจะนั่งรถม้าคันเดียวกัน!ต่ำช้า!
“นายน้อยทั้งสองก็ชอบเขามากเช่นกัน”
สวีฉางหลินได้แต่รู้สึกว่าถูกแทงที่หน้าอกตัวเองอีกครั้ง
“ความสัมพันธ์ที่คุณฮูหยินกับเขาก็ไม่แย่”
หัวใจถูกแทงอีกครั้ง
“โรงเตี๊ยมก็เป็นเขาช่วยคุณฮูหยินหาอีกด้วย ก่อนคุณฮูหยินเข้าเมือง รู้สึกขอบคุณเขาอยู่ตลอด และคิดว่าล้วนเพราะความช่วยเหลือของเขาที่ทำให้มาถึงเมืองหลวงได้อย่างราบรื่น”
สวีฉางหลินกัดฟัน “อาจิ่วระวังท่าทีเจ้าด้วย!”
“เจ้าค่ะ!ข้าน้อยขอลา”
อาจิ่วกลับมาตอบอย่างเย็นชาตามปกติของนาง หยัดกายแล้วถอยกลับเข้าไปในความมืดมิดอีกครั้ง
สวีฉางหลินไม่อาจทำตัวสูงส่งเหมือนก่อนหน้าได้อีก เดินวนไปวนมาในลาน ความงุ่นง่านในใจทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ
เขาว่าแล้ว !ไป๋ยี่เซวียนมองหาโอกาสที่จะเอาอกเอาใจกับภรรยาของเขา ตอนนี้ก็กลับมาที่เมืองหลวงพร้อมกับภรรยาเขา!
ความทะเยอทะยานที่โฉดชั่ว ประจักษ์ชัดแจ้งแล้ว!
สำคัญที่สุด คือภรรยาตัวน้อยไม่มีความระแวดระวังเลยสักนิด!
แย่แล้ว เขาต้องไปพบภรรยาตัวน้อย ต้องไปให้ภรรยาตัวน้อยอยู่ข้างกาย ต้องรีบแย่งภรรยาตัวน้อยกลับคืนมา!
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ก็สาวเท้าไปที่ประตู วินาทีต่อมา เขาสัมผัสถึงอันตรายจากข้างหลัง เบี่ยงกายหลบไปด้านข้าง ไม่นาน ก็มีลูกธนูปักที่ประตู
ต่อมา ก็มีเสียง “พึ่บพั่บ” ดังขึ้น ลูกธนูหางสั้นหลายดอกพุ่งหาเขา เขาเบี่ยงกายหลบทีละอัน
แล้วเงยหน้าขึ้นไป ทั้งในลาน และบนหลังคา มีชายชุดดำยืนเต็มไปหมด…
ตอนโจวกุ้ยหลานตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ฟ้าด้านนอกก็สว่างโพลงแล้ว
หลังจากไม่ได้นอนขี้เกียจมานานนางก็ถูไถกับที่นอนอยู่พักหนึ่ง แล้วลุกขึ้นหาว
หลังแต่งตัวเสร็จแล้ว เด็กทั้งสองคนยังไม่ตื่นนอน คงเพราะว่าช่วงนี้เหนื่อยกันเกินไป
โจวกุ้ยหลานก็ไม่ได้เรียกพวกเขา ตัวเองไปหาคนรับใช้เพื่อขอน้ำล้างหน้าล้างตา แล้วสั่งอาหารเช้ามื้อหนึ่ง มานั่งกินในห้อง
อาหารเช้าที่มาส่งคือปิ่งงาอย่างหนึ่ง นางไม่เคยกินมาก่อน แต่ว่ารสชาตินั้นไม่เลวเลย
กินเสร็จ นางก็บิดขี้เกียจอีกครั้ง ปิดหน้าต่างแล้วมองลงไป
ห้องพักนางอยู่ชั้นสอง ซึ่งหันหน้าไปทางถนน ตอนที่มองไปข้างนอก ผู้คนผ่านไปผ่านมา มีแผงลอยออกมาตั้งไม่น้อย