นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 319 ไร้ทางรอดจริง ๆ หรือ
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา ตอนที่ 319 ไร้ทางรอดจริง ๆ หรือ
เสี่ยวรุ่ยอานให้เขามีรถและปืนใหญ่อย่างละอัน เสี่ยวรุ่ยหนิงถึงได้ขานรับ สองคนพี่น้องเดินหมากรุกกันเงียบ ๆ
เห็นพวกเขาสองคนมีอะไรฆ่าเวลา โจวกุ้ยหลานก็วางใจ มองที่ประตูนั้นต่อ
เมื่อเวลาผ่านไป ลูกค้าในโรงน้ำชาก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ทันทีที่คนเหล่านั้นขึ้นมา ก็เห็นเด็กชายตัวเล็ก ๆ ที่สูงไม่ถึงโต๊ะสองคนกำลังเดินหมากรุกอยู่ รู้สึกแปลกใหม่ จึงเดินไปล้อมดูสองพี่น้อง
สองคนพี่น้องนี้ไม่ตื่นเวที ยังคงเดินหมากรุกของตัวเองต่อไป
ช่วงแรกเสี่ยวรุ่ยหนิงยังชนะเสี่ยวรุ่ยอานมาหลายตา เขาดีใจยกใหญ่ แต่ต่อมา เหมือนเสี่ยวรุ่ยอานจะมีพัฒนาการแล้ว โดยไม่คาดคิดว่าจะค่อย ๆ ตีเสมอเขาได้สำเร็จ ตกช่วงบ่าย เสี่ยวรุ่ยอานก็สามารถเอาชนะเสี่ยวรุ่ยหนิงได้
ผู้ชมรอบข้างประหลาดใจ
เด็กน้อยขนาดนี้ ตอนเดินหมากรุก ไม่คิดว่าจะเดินได้อย่างมีแบบแผนได้ขนาดนี้
หลังจากเสี่ยวรุ่ยหนิงไม่อยากเล่นหมากรุก ชายชราวัยหกสิบกว่าถูมือไปมา อยากเล่นหมากรุกกับเสี่ยวรุ่ยอาน
เสี่ยวรุ่ยอานพยักหน้าตอบรับ บอกกล่าวกับโจวกุ้ยหลานแล้ว ก็ไปด้านข้างหาที่เล่นหมากรุกกับคนผู้นั้น เสี่ยวรุ่ยหนิงนอนคว่ำหน้าอยู่บนโต๊ะเฝ้ามอง ตอนนั้นก็ทำให้โรงน้ำชามีชีวิตชีวาขึ้นมา
โจวกุ้ยหลานเหลือบมองโต๊ะที่มีผู้คนมากมายเป็นครั้งคราว มองเห็นลูกชายสองคน นางก็วางใจ หันหน้ากลับไปมองจวนหู้กั๋วกง
พอบ่ายแก่ รถม้าหรูหราสามคันปรากฏขึ้นที่จวนหู้กั๋วกง และในทันใดหญิงสาวที่แต่งกายงดงามก็ออกมาจากรถม้า ผู้คนด้านข้างก็ต้อนรับนางเดินเข้าจวนหู้กั๋วกงอย่างนอบน้อม
โจวกุ้ยหลานขมวดคิ้ว
ตลอดสองวันที่นางเฝ้ามอง มีคนไม่น้อยต้องการเข้าไปเยี่ยมสวีฉางหลิน ล้วนถูกกั้นไว้ที่ประตู แต่สตรีผู้นี้กลับได้เข้าไปแล้ว อีกทั้งเห็นคนเหล่านั้นปฏิบัติอย่านอบน้อมต่อนาง เกรงว่าสถานะคงไม่ต่ำ
คนเหล่านี้ออกมาหลังจากหนึ่งชั่วยาม ออกมาพร้อมกับสตรีผู้นั้น และยังมีชายวัยกลางคนมีเครา และเส้นผมสีดอกเลา แต่บุคลิกกลับยังกระฉับกระเฉง
โจวกุ้ยหลานขมวดคิ้ว เพราะอยู่ไกลไป นางจึงมองเห็นไม่ชัด แต่ท่าเดินของเขาค่อนข้างคล้ายกับของสวีฉางหลินอยู่หลายส่วน
สักพัก รถม้าก็จากไป ชายคนนั้นไม่ได้เข้าไปในจวนอย่างที่คาดไว้ กลับเงยหน้าขึ้นมา มองทางโจวกุ้ยหลาน
โจวกุ้ยหลานผงะ ไม่อาจบอกได้ว่าเขาพบตัวตนนางได้อย่างไร
แต่เพราะค่อนข้างอยู่ห่างไกล นางก็มองเห็นใบหน้าของชายคนนั้นไม่ชัด
หลังจากนั้นไม่นาน ชายคนนั้นก็เข้าจวนไป
หลายวันที่ผ่านมา โจวกุ้ยหลานก็มักจะพาเด็กทั้งสองคนไปโรงน้ำชา อาจเป็นเพราะรุ่ยอานกับรุ่ยหนิงอายุยังน้อยอยู่ ผู้คนที่มาดื่มชาจึงชอบเล่นหมากรุกกับเด็กทั้งสอง กระทั่งเข้าแถวทีละคน ส่วนคนอื่น ๆ ก็ล้อมชม
ไม่นาน ก็มีข่าวลือในเมืองหลวง ว่ามีเด็กอัจฉริยะสองคนในเมืองหลวงนี้ อายุยังน้อยก็เล่นหมากรุกในโรงน้ำชาตลอดทั้งวัน หลายคนทราบข่าวจึงมาที่นี่ ทำให้กิจการของโรงน้ำชาดียิ่งขึ้นไปอีก
หลังจากนั้น ตอนโจวกุ้ยหลานพาพวกเด็ก ๆ มา สั่งน้ำชา เถ้าแก่ยกชามาให้พวกเขาด้วยตัวเอง บอกนางด้วยรอยยิ้มว่าวันหน้านางพาเด็ก ๆ มาที่นี่ บ่อย ๆ จะไม่เก็บค่าชาและขนม
สตรีสง่างามผู้นั้นมาหาทุกวัน อีกทั้งหลังจากนางมาก็ยิ่งอยู่นานขึ้นเรื่อย ๆ โจวกุ้ยหลานยังรู้จากการพูดคุยของคนอื่น ๆ ในโรงน้ำชา ว่าสตรีผู้นั้นคือองค์หญิงอานผิง และเป็นน้องสาวแท้ ๆ ของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน
บางคนถึงกับกล่าวว่าฮ่องเต้มีพระประสงค์จะให้องค์หญิงอานผิงหมั้นหมายกับสวีฉางหลิน แต่ใครจะไปรู้ว่าสวีฉางหลินได้รับบาดเจ็บแล้วองค์หญิงอานผิงจะมาดูแลสวีฉางหลินด้วยตัวเองตลอดทั้งวัน
แม้จะรู้ว่าเรื่องนี้ไม่มีอะไรเทียบได้กับร่างกายของสวีฉางหลิน แต่โจวกุ้ยหลานโกรธจนกัดฟัน
เมื่อเร็ว ๆ นี้โจวกุ้ยหลานก็ได้รู้เรื่องอย่างหนึ่งว่า ฮ่องเต้ต้องการจะตั้งบุตรชายคนเดียวของเขาให้เป็นองค์รัชทายาท
“ว่ากันว่า ปีนั้นบุตรที่ฮองเฮาให้กำเนิดเสียชีวิต ฮองเฮาก็เสียสติมาโดยตลอด ตอนนี้บุตรชายของหวั่นกุ้ยเฟยก็อายุได้แปดขวบ ฮ่องเต้อยากจะแต่งตั้งรัชทายาทมาตั้งนานแล้ว เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาพะว้าพะวังหู้กั๋วกง ต่อมาก็พะว้าพะวังนายพลสวีของพวกเรา ตอนนี้นายพลสวีเป็นตายร้ายดีอย่างไรไม่รู้ ฮ่องเต้ก็คงไม่คิดจะรออีกต่อไปแล้ว”
“ฮ่องเต้มีบุตรชายคนเดียวเท่านั้น ไม่แต่งตั้งเขาแล้วยังจะแต่งใครเป็นองค์รัชทายาทได้กัน ข้าว่านะ ตระกูลของหวั่นกุ้ยเฟยคงพริบตาบรรลุถึงผลสำเร็จแล้ว”
ขณะโจวกุ้ยหลานฟัง คิ้วก็ขมวดมุ่น
ฮ่องเต้จะมีบุตรชายคนเดียวได้อย่างไร แล้วเสี่ยวเทียนล่ะ ก็ตั้งนานแล้ว สวีฉางหลินยังไม่ได้ส่งเสี่ยวเทียนเข้าวังอีกหรือ
“ฮองเฮาเหนียงเหนียงบ้าไปแล้ว ไม่อาจให้กำเนิดบุตรได้อีก หู้กั๋วกงก็ปกป้องนางไม่ได้แล้วใช่ไหมล่ะ ช้าเร็วตำแหน่งองค์รัชทายาทก็ต้องแต่งตั้ง ตอนนี้ให้องค์หญิงอานผิงแต่งกับนายพลสวี อาจเป็นเพราะฮ่องเต้ต้องการปลอบขวัญตระกูลของหู้กั๋วกงใช่ไหมล่ะ”
ปัญญาชนเหล่านั้นคลี่พัด คุยโวโอ้อวด
โจวกุ้ยหลานเงี่ยหู ค่อย ๆ ฟัง
นางเพิ่งมาเมืองหลวง ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับสถานการณ์ที่นี่ หากได้รับฟังข่าวสารเพิ่มเติม แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่ดีที่สุด
ประตูจวนหู้กั๋วกงปิดสนิทตลอด ยกเว้นองค์หญิงอานผิง ใครก็เข้าไปไม่ได้
เมื่อเวลาผ่านไป ข่าวคราวของนายพลสวีก็ถูกกลบด้วยข่าวคราวอื่น ๆ ของเมืองหลวง โจวกุ้ยหลานได้รับรู้ข่าวสารได้น้อยลง แต่กลับได้ยินความลับมากมายจากเจ้าหน้าที่ในเมืองหลวง เป็นเรื่องจริงหรือหลอก ก็ไม่มีทางรู้ได้
ในวันอย่างนี้ ไม่มีข่าวคราวใด ที่เป็นข่าวดีที่สุดสำหรับโจวกุ้ยหลาน
เพียงแต่อยู่มาวันหนึ่ง จู่ ๆ โจวกุ้ยหลานก็เห็นคนรับใช้จำนวนไม่น้อยออกมาจากจวนหู้กั๋วกงกะทันหัน นางรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ตอนพวกเขากลับมา ในมือเต็มไปด้วยของจำพวกผ้าขาวและกระดาษเงินกระดาษทอง
“ทำไมคนจากจวนหู้กั๋วกงถึงซื้อของมากมายสำหรับพิธีงานศพเล่า หรือว่านายพลสวีไร้ทางรอดแล้วจริง ๆ ”
ชายคนหนึ่งแต่งตัวเป็นบัณฑิตเห็นแล้ว ก็อุทานขึ้น
คนข้าง ๆ ได้ยิน ก็รีบมามอง
โจวกุ้ยหลานไม่เคยรู้มาก่อนว่าหัวใจของตัวเองจะเต้นได้เร็วขนาดนี้ ราวกับว่ามันไม่ใช่ของนางอีกแล้ว
นางยืนขึ้นทันที ผลักคนรอบข้างโต๊ะออกไป จับมือรุ่ยอานข้างหนึ่ง อีกข้างจับรุ่ยหนิง แล้วรีบเดินออกจากโรงน้ำชา วิ่งไปยังจวนหู้กั๋วกง
ในเวลานี้นางจดจ่อเพียงวิ่งตะบึง ไม่มีความสนใจเด็กทั้งสองเลย เด็กทั้งสองไม่อาจตามความเร็วของนางได้ ค่อย ๆ ล้มลงกับพื้นทีละคน หน้าผากของรุ่ยอานกระแทกลงกับพื้น เป็นจ้ำม่วง ๆ
โจวกุ้ยหลานหันหน้าไปมอง เห็นเด็กทั้งสองคนอยู่ในสภาพน่าเวทนา หยุดเท้าเดิน ย่อตัวลง ไม่รู้ว่าเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน แบกรุ่ยหนิงไว้บนหลัง ประคองด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกมือหนึ่งอุ้มรุ่ยอานแล้ววิ่งต่อ
นางไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกอย่างไรในตอนนี้ และไม่รู้ว่าตัวเองต้องทำอะไร มีเพียงความคิดเดียวในหัว เร็วเข้า! เร็วเข้าอีก!
เมื่อนางพุ่งออกจากโรงน้ำชา ถลาไปถึงประตูจวนหู้กั๋วกงต้องการวิ่งผ่านเข้าไป กลับถูกยามคุ้มกันสองคนหยุดเอาไว้
โจวกุ้ยหลานไม่เฉยเมยเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไป พูดอย่างกระวนกระวายว่า “ขอร้องพวกเจ้า ให้พวกข้าเข้าไปเยี่ยมทีเถอะ ได้โปรด!”
ยามคุ้มกันสองคนก็ตกใจกับท่าทางที่บ้าคลั่งของโจวกุ้ยหลาน มือทั้งสองข้างจับนางไว้แน่น “เจ้าไม่อาจเข้าไปได้!”
แม้จะผ่านไปเกือบสิบวันแล้ว พวกเขาแค่เห็นโจวกุ้ยหลานและเด็กทั้งสองก็จำได้ทันที
โจวกุ้ยหลานก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรไป ทั้งกายลุกลี้ลุกลนไปหมด สองตาถูกปกคลุมด้วยหมอกหนา มองคนตรงหน้าได้ไม่ชัดเจน