นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 322 แต่งตั้งไท่จื่อ 2
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 322 แต่งตั้งไท่จื่อ 2
“จื่อเฉิงจะเป็นที่พึ่งให้เสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ!”จื่อเฉิงที่ดีใจนั้นรีบตอบกลับ
ความใฝ่ฝันมานับหลายปีของหวั่นกุ้ยเฟยได้ดั่งใจ นางเลยไม่ได้ดูอ่อนแอเหมือนปกติแล้ว
“ไท่จื่อ กุ้ยเฟยเหนียงเหนียง พิธีแต่งตั้งจะเริ่มแล้ว เชิญเสด็จพ่ะย่ะค่ะ”ขันทีก้มหน้าทำความเคารพ พูดกับสองคนอย่างเคารพ
หวั่นกุ้ยเฟยตอบกลับทีหนึ่ง แล้วจับมือของจื่อเฉิง เดินออกไปข้างนอกทีละก้าว เหลือแค่กลิ่นหอมที่ผสมเข้ากับอากาศ
ขอให้บุตรชายของนางกลายเป็นไท่จื่อ พอบุตรชายขึ้นครองราชย์ นางก็คือไทเฮา เป็นผู้หญิงที่สูงศักดิ์ที่สุดในวังหลัง!
ส่วนฮองเฮาที่ขวางทางคนนั้น?
เมื่อนึกถึงผู้หญิงคนนั้น นางก็เหล่ตา มีความอาฆาตพาดผ่านในสายตา
เมื่อนึกถึงคนที่ยังนอนอยู่บนเตียง ไม่รู้ว่าตายหรือยังนั้น นางก็ยิ้มมุมปากขึ้นมา
ถึงแม้พี่น้องมีความสามารถขนาดนั้นก็อย่างไรล่ะ?ตอนนี้ก็ยังไม่มีที่พึ่งใดๆเลย!
ถึงแม้เวลาเร่งรีบ แต่พิธีการแต่งตั้งไท่จื่อก็ยังหรูหรามาก กรมพิธีการได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้จึงได้เตรียมตัวตั้งนานแล้ว หากไม่ใช่ว่าในระหว่างนี้สวีฉางหลินได้ไปทำสงครามที่ชายแดน จื่อเฉิงคงได้เป็นไท่จื่อตั้งนานแล้ว
ตอนนี้ก็แค่ทำต่อเรื่องของสามปีที่แล้วเท่านั้น เพียงแค่เวลารีบร้อนไปหน่อย มีแต่ต้องทำให้งานดูเรียบง่ายหน่อย
แน่นอนว่า ถ้าแต่งตั้งได้ราบรื่น เรื่องอื่นล้วนสามารถละได้
ขุนนางยืนอยู่ทั้งสองข้าง หวั่นกุ้ยเฟยจับมือไท่จื่อในอนาคตค่อยๆเดินขึ้นบันไดทีละขั้น
ทุกก้าวล้วนเปรียบเสมือนขึ้นสู่ที่สูงขึ้น
ทุกๆที่เดินก้าวหนึ่ง ความตื่นเต้นในใจของนางก็มากขึ้น
ขอให้เดินขึ้นไปบนที่บูชา พาบุตรชายเดินไปถึงข้างฝ่าบาทแล้วกราบไหว้ฟ้าดิน พร้อมกราบไว้ฝ่าบาท บุตรชายของนางก็จะกลายเป็นไท่จื่อ!
ส่วนนางก็จะกลายเป็นไทเฮาในอนาคต!
หลายปีนี้นางวางแผนทีละขั้นตอน ในที่สุดก็จะสมหวังในวันนี้!
คนเหล่านั้นที่ขวางทางนาง นางจะขจัดทีละคน ตอนนี้บุตรชายของนางจะขึ้นสู่ที่สูงแห่งอำนาจ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จะไม่มีใครกล้าบังอยู่หน้านางอีกเลย
แคว้นเหลียงจะเป็นของบุตรชายนาง และจะเป็นของนางด้วย!
ดวงตาของนางมีเพียงขั้นบันไดสูง ลูกตาเต็มไปด้วยความภูมิใจและเย่อหยิ่ง
วินาทีต่อไป ขันทีคนหนึ่งเดินไปถึงข้างนางอย่างรวดเร็ว กระซิบเตือนว่า”กุ้ยเฟยเหนียงเหนียง ไท่จื่อต้องเป็นคนเดินขึ้นไปเอง ท่าน……”
หวั่นกุ้ยเฟยมีความโกรธขรึมพาดผ่านในใจ ตอนที่หันไปมองขันทีเต็มไปด้วยความอาฆาต
ขันทีคนนั้นตัวสั่น ยืนไม่ค่อยนิ่ง
วินาทีต่อไป ความกดดันบนร่างกายก็หายไป หวั่นกุ้ยเฟยปล่อยมือของจื่อเฉิงออก พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน”จื่อเฉิง ต่อจากนี้ไปเสด็จแม่เดินไปกับเจ้าไม่ได้แล้วนะ เจ้าเดินขึ้นไปทีละก้าวเอง เดินไปถึงข้างเสด็จพ่อนะ”
จื่อเฉิงจับแขนเสื้อของหวั่นกุ้ยเฟยไว้อย่างแน่น มีการสั่นเล็กน้อย”เสด็จแม่……”
เมื่อเห็นลักษณะเช่นนี้ของเขา หวั่นกุ้ยเฟยก็มีความไม่พอใจพาดผ่านในสายตา
เด็กคนนี้อ่อนแอเกินไปจริงๆ
สังเกตมองคนรอบข้าง นางพยายามระงับอารมณ์ของตัวเอง ก้มลงไปพูดข้างหูจื่อเฉิง กระซิบเตือนว่า”เดินขึ้นไปคนเดียว ต่อจากนี้ไปเจ้าก็คือไท่จื่อของแคว้นเหลียง คือราชทายาทของแคว้นเหลียงแล้ว”
จื่อเฉิงมองรอบข้าง เห็นว่าขุนนางต่างยืนอยู่บนขั้นบันได ความกดดันที่ส่งมาจากที่สูงทำให้เขาสั่นจากใจ
แต่พอนึกถึงตำแหน่งไท่จื่อ เขาก็พยักหน้า และตอบกลับหวั่นกุ้ยเฟยทีหนึ่ง จากนั้นเดินขึ้นบันไดทีละก้าว
หวั่นกุ้ยเฟยเห็นกับตาว่าจื่อเฉิงเดินขึ้นไปทีละก้าว ใจก็ตื่นเต้นมากนัก
ใกล้แล้ว ใกล้ขึ้นเรื่อยๆแล้ว……
ยังมีอีกไม่กี่ก้าว เขาก็จะถูกแต่งตั้งแล้ว!
ถึงแม้เป็นคนมีเล่ห์เหลี่ยมอย่างนาง ตอนนี้ก็ล้วนระงับอารมณ์ของตัวเองไม่อยู่
“ฝ่าบาท กระหม่อมมาช้า ขอประทานโทษพ่ะย่ะค่ะ
เสียงที่โปร่งใสส่งมา ทำลายความใฝ่ฝันของนาง
พอคิดได้ว่าคนที่มานั้นคือใคร นางก็ใจสั่น พอหันไปเห็น นางก็ตกใจเลย ดวงตาเต็มไปด้วยความเหลือเช่น
คนที่มาเป็นสวีฉางหลินที่เดิมควรนอนรอตายอยู่บนเตียงนั่นเอง!
ร่างกายของนางแกว่งไปแกว่งมา นางกำนัลข้างๆมือไวตาเร็วรีบประคองนางเอาไว้ และกระซิบถามนางว่าเป็นไรหรือเปล่า ส่วนหวั่นกุ้ยเฟยพยายามยืนให้ตรง
พอเสียงนี้ส่งมา ขุนนางล้วนหันไปมอง เห็นว่าผู้ชายที่ชนะทุกศึกสงครามนั้นเดินมาอย่างทรงอำนาจ ไม่เห็นจะป่วยเลย
ทุกคนล้วนรู้สึกเหลือเชื่อมาก แถมยังมีคนเช็ดตาของตัวเอง สงสัยว่าตัวเองตาลายหรือเปล่า
หู้กั๋วกงที่ยืนอยู่บนสุดยิ้มมุมปาก วินาทีต่อไปก็ไอออกมาทีหนึ่ง หลังจากกลับสู่สภาพปกติแล้ว ก็หันไปมองฮ่องเต้ที่อยู่ที่สูงกว่าอีก และยังได้เหลือบตามองไปที่”ไท่จื่อในอนาคต”ที่กำลังจะเดินถึงที่บูชาแล้ว ในตอนที่ทั้งสองคนยังไม่ทันได้สังเกตอะไร เขาก็กลับสู่ปกติ
สวีฉางหลินมาถึงข้างล่างบันได คุกเข่าข้างเดียว ทำความเคารพต่อฮ่องเต้
ฮ่องเต้ที่อยู่ที่สูงมองสวีฉางหลินที่คุกเข่า รีบเรียกให้เขาลุกขึ้น แล้วถามอาการของเขาด้วยความเป็นห่วง
สวีฉางหลินได้ยินเช่นนี้ก็ลุกขึ้น ทำความเคารพต่อฮ่องเต้ที่อยู่ที่สูง ก้มหน้าและตอบว่า”กราบทูลฝ่าบาท ตอนนี้หายดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ดี!ดีมาก!แคว้นเหลียงของเรามีนายพลเก่งๆอยู่แล้ว อนาคตจะสามารถเอาชนะประเทศเหล่านั้นได้แน่ๆ!”
ขุนนางได้ยินเช่นนี้ ต่างคุกเข่ากราบไหว้ฮ่องเต้อีกครั้งหนึ่ง
พอเป็นเช่นนี้ก็เสียเวลาไปมากมาย
จื่อเฉิงที่ยืนอยู่กลางบันไดไม่รู้จะทำอย่างไรดี
เขาหันไปมองสวีฉางหลินที่อยู่ข้างล่าง ถึงแม้มองไม่เห็นใบหน้าของเขา แต่ยังคงรู้สึกหวาดกลัวเพราะบุคลิกที่แพร่ออกมาจากร่างกายของเขา เขาส่งสายตาที่ขอความช่วยเหลือไปที่หวั่นกุ้ยเฟย แต่กลับเห็นว่าเสด็จแม่ที่ใจเย็นมาโดยตลอดนั้นกลับต้องให้คนมาประคอง
“ฝ่าบาท ใกล้จะเลยเวลามงคลแล้ว เชิญฝ่าบาทแต่งตั้งพ่ะย่ะค่ะ!”กรมพิธีการกราบใส่ฮ่องเต้และกล่าว
ถูกเตือนเช่นนี้ ฮ่องเต้ก็ตกใจ เหลือบตามองไปที่บุตรชายที่โปรดปรานของตัวเอง กัดฟันและพูดกับสวีฉางหลินที่ยืนอยู่บนพื้นว่า”นายพลสวี เจ้าเข้าที่เถอะ”
สวีฉางหลินเหลือบตามองขุนนางที่ยืนอยู่สองข้าง กลับถามด้วยเสียงชัดเจน”ฝ่าบาท องค์ชายจื่อเฉิงมิใช่ลูกที่ออกโดยเมียหลวง และมิมีผลงานพิเศษอะไรเลย เหตุใดถึงแต่งตั้งเป็นไท่จื่อล่ะ?”
“บังอาจนะ!”อ๋องตวนโมโหมาก”นี่เป็นพิธีแต่งตั้งไท่จื่อ นายพลสวีมาหาเรื่องหรือ?”
ขุนนางคนอื่นๆล้วนก้มหน้า ไม่กล้าทำอะไรทั้งสิ้น
นี่เป็นพิธีกรแต่งตั้งไท่จื่อ!นายพลสวีกล้ามาหาเรื่องอีก ถึงแม้เขาชนะศึกมามากมาย แต่เกรงว่าก็คงไม่รอดชีวิต
เฮ้ย แคว้นเหลียงจะสูญเสียนายพลดีเด่นอีกท่านหนึ่งแล้ว
สวีฉางหลินใจเย็นอยู่เหมือนเดิม”ไท่จื่อ เป็นฮ่องเต้ในอนาคตของแคว้นเหลียง ความเป็นอยู่ของแคว้นเหลียงขึ้นเขาคนเดียว ข้าสวีฉางหลินในฐานะที่ได้รับเงินจากราชสำนัก ก็ต้องคำนึงถึงอนาคตของแคว้นเหลียง”
คำพูดนี้ทำให้ทุกคนวุ่นวายไปหมด
“หู้กั๋วกง บุตรชายของเจ้า……จะพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินแล้ว!”
ขุนนางคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างล่างของหู้กั๋วกงหันไปกรีดใส่หู้กั๋วกง
หู้กั๋วกงก้มหน้า”บุตรชายคนนี้ข้าคลุมไม่อยู่ ถ้ามีโทษอะไร ก็ให้ฝ่าบาทประหารชีวิตไปเลย”
ขุนนางคนนั้น”……”
นี่เป็นพ่อที่ไหนเนี่ย?
ตอนที่บุตรชายชนะศึกอย่างต่อเนื่อง พ่อได้รับบรรดาศักดิ์ แต่ยามบุตรชายเกิดเหตุ ก็จะทอดทิ้งเลยหรือ?
“สวีฉางหลินบังอาจมากนัก กล้ามาทำลายงานพิธีแต่งตั้ง!”หวั่นกุ้ยเฟยทนไม่ไหว ตวาดอย่างโกรธ