นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 326 ข้ามักจะช้ากว่าก้าวหนึ่ง
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 326 ข้ามักจะช้ากว่าก้าวหนึ่ง
พูดจบ เมิ่งเจียงก็มองโจวกุ้ยหลานอย่างคาดหวัง
โจวกุ้ยหลานหายใจเข้าลึกๆ ฝืนยิ้ม”พี่เมิ่งเจียงเจ้าคะ ในเวลานี้เราควรทำเรื่องที่เหมาะสมกว่า ท่านยอมช่วยเขียนจดหมายให้ข้าหรือเปล่าเจ้าคะ?”
“อ้อ เขียน เขียนแน่นอนสิ!”สีหน้าของเมิ่งเจียงจริงจังขึ้นมา รีบจัดระเบียบเสื้อของตัวเองและนั่งลงมา นำพู่กันไปจิ้มน้ำหมึก ส่วนมือทับอยู่บนกระดาษ รอให้โจวกุ้ยหลานพูด
โจวกุ้ยหลานกล่าวถึงแค่ว่าตัวเองสบายดีเท่านั้น แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
รอให้เมิ่งเจียงเขียนเสร็จ นางก็เก็บไว้ และยื่นอีแปะให้เมิ่งเจียง จากนั้นปล่อยเด็กสองคนลงพื้น จับมือข้างละคนและคิดจะจากไปเลย
เพิ่งหันไป ก็ถูกเมิ่งเจียงเรียกไว้”ฮูหยินขอรับ ไม่ทราบว่าพวกเจ้าพักอยู่ที่ไหน?ข้าจะหาพวกเจ้าได้อย่างไร?”
โจวกุ้ยหลานหันไป”ตอนนี้พวกข้าพักอยู่โรงเตี๊ยม เจ้าไม่ต้องไปหาพวกข้าหรอก รอให้พวกข้ามั่นคงขึ้นมา ข้าก็จะหาอาจารย์ที่ดีให้เด็กสองคน”
ไม่ทันรอให้เมิ่งเจียงพูดอะไรอีก นางก็จับมือเด็กสองคนและหนีไป
เมิ่งเจียงยังมีแผงอยู่ มีแต่ต้องเห็นกับตาว่าพวกเขาหนีเข้าไปในฝูงชน ใจรีบร้อนมาก จึงตบโต๊ะอย่างแรงทีหนึ่ง
นี่เป็นเด็กอัจฉริยะนะเนี่ย!เขาพลาดไปเช่นนี้!
เฮ้ย!เสียดายจริงๆ!
โจวกุ้ยหลานพาเด็กสองคนหนีจนมองไม่เห็นเมิ่งเจียงแล้ว ถึงโล่งใจลง แล้วเตือนเด็กสองคนว่า”ทีหลังพวกเจ้าอย่าเป็นหนอนหนังสืออย่างเขา เข้าใจไหม?”
“เข้าใจขอรับ”ระหว่างที่เสี่ยวรุ่ยอานพูด ยังหันไปมองข้างหลัง
เสี่ยวรุ่ยหนิงที่อยู่ข้างๆกระโดดไปมา”แม่ เราไปซื้อน้ำตาลปั้นกันเถอะ?”
โจวกุ้ยหลานปฏิเสธทันที”ไม่ได้ เมื่อกี้พวกเจ้าเพิ่งกินน้ำตาลปั้นไป ตอนนี้กินไม่ได้แล้ว พวกเราไปอี้จั้นก่อน ส่งจดหมายไปให้คุณยายและคุณน้าก่อนดีไหม?”
เด็กสองคนยังพูดอะไรได้อีกล่ะ?มีแต่ต้องทำตาม
โจวกุ้ยหลานถามคนว่าอี้จั้นอยู่ไหน พอรู้ว่าอยู่ไกลจากที่นี่มาก ก็ถอนหายใจออกมา แต่ก็ยังคงพาเด็กสองคนเดินไปอย่างช้าๆ
เวลานี้ไม่สะดวกจริงๆเลย ไม่มีอะไรช่วยได้ มีแค่ขาสองข้างเท่านั้น ไปไหนมาไหนก็ช้า
แต่ก็สามารถฉวยโอกาสนี้เดินเล่นทั่วเมืองหลวง นางเลยไม่รีบร้อน เดินหน้าไปอย่างช้าๆ
ผ่านไปครึ่งชั่วโมง เสี่ยวรุ่ยอานก็เหนื่อยจนเดินไม่ไหว โจวกุ้ยหลานแบกเขาขึ้นและจับมือเสี่ยวรุ่ยหนิงเดินต่อ
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง โจวกุ้ยหลานก็เหนื่อยมาก เลยหาภัตตาคารแห่งหนึ่งนั่งพักสักครู่หนึ่ง และยังได้สั่งของกิน น้ำดื่ม พร้อมไปเข้าห้องน้ำอะไรเสร็จ ถึงพาพวกเขาเดินหน้าไปต่อ
พอผ่านไปสองชั่วโมง โจวกุ้ยหลานก็เสียใจภายหลัง แถมยังรู้สึกสับสนกับชีวิต
ในที่สุดมีแต่ต้องเดินกลับไปก่อน
น่ากล้วหรือเกิน ระยะทางนี้น่ากลัวมาก!
ไม่ได้ นางต้องซื้อรถม้าคันหนึ่ง จำเป็นมาก!
แอบตัดสินใจเช่นนี้ แล้วโจวกุ้ยหลานก็สลับกันแบกเด็กสองคนเดินกลับไปโรงเตี๊ยม รอพวกเขากลับถึงโรงเตี๊ยม ฟ้าก็มืดแล้ว
โจวกุ้ยหลานนอนอยู่บนเตียง ไม่อยากลุกขึ้นมาอีก
ฝันดีทั้งคืน
วันที่สองพอตื่นมาอีกทีหนึ่ง โจวกุ้ยหลานก็เปิดประตูเห็นว่า ไป๋ยี่เซวียนกำลังยืนอยู่เขาอยู่หน้าประตู
นางรีบให้เขาเข้ามาในห้อง
“ดูสีหน้าของเจ้าแล้ว เจ้าคงรู้แล้วว่าสวีฉางหลินไม่เป็นไรแล้วใช่ไหม?”ไป๋ยี่เซวียนยกแก้วน้ำชาขึ้นมา จิบอีกหนึ่งและถามโจวกุ้ยหลานด้วยรอยยิ้ม
โจวกุ้ยหลานยิ้มตาหยี”หลายวันก่อนก็รู้แล้ว แค่ว่ายังไม่ได้เจอเขาสักที หลายวันนี้เจ้าไปไหนหรือ?”
เมื่อพูดถึงที่นี่ ไป๋ยี่เซวียนก็ถอนหายใจ”เจ้าไม่รู้หรอก หลายวันนี้ที่บ้านเกิดเหตุขึ้น ข้ายุ่งมาก วันนี้มีเวลาเลยมาหาเจ้าแต่เช้า แต่คิดไม่ถึงว่าเจ้ารู้เรื่องนี้แล้ว”
ระหว่างพูดก็ส่ายหน้าอย่างจนปัญญา”ข้ามักจะช้ากว่าก้าวหนึ่ง”
โจวกุ้ยหลานตบไหล่ของเขา”อย่าเสียใจ พวกเราได้ซื้อของขวัญให้เจ้า”
“อะไร?”ไป๋ยี่เซวียนถามกลับ
โจวกุ้ยหลานหยิบพัดขึ้นมาจากกระเป๋า และยื่นให้ไป๋ยี่เซวียน ไป๋ยี่เซวียนเปิดดู พบว่าเป็นพัดสีดำอันหนึ่ง คุณภาพดูดีมาก
“เจ้ามาแค่พัดอันหนึ่ง ใส่ชุดสีขาวทั้งวัน ดูไปนานๆก็ไม่รู้สึกเบื่อหรือ?อันนี้ให้เจ้า ทีหลังต้องรู้จักเปลี่ยนเสื้อสีอื่นบ้างนะ คนเราต้องรู้จักเปลี่ยนแปลง”
พูดเสร็จ โจวกุ้ยหลานก็ส่งสายตาที่ลึกซึ้งให้ไป๋ยี่เซวียน ดูจนไป๋ยี่เซวียนรู้สึกหนังศีรษะขาเล็กน้อย
เขาก้มหน้ามองเสื้อสีขาวของตัวเอง”เสื้อขาวไม่ดีหรือ?ดูสูงศักดิ์นะ?”
“เสื้อขาวสกปรกง่ายไง เจ้าลองคิดดูสิคนที่ล้างเสื้อให้เจ้าจะอึดอัดใจขนาดไหน?”
ไป๋ยี่เซวียน”……”
เมื่อกี้เขาทอดถอนใจอะไรอยู่?
สองคนคุยกันเล่นๆ หลังๆโจวกุ้ยหลานก็พูดถึงเรื่องที่ตัวเองไปจวนหู้กั๋วกงในวันนี้”ผู้อารักขาเหล่านั้นบังทุกคนอยู่ข้างนอก พวกเขาเข้าไปไม่ได้”
หันไปเห็นเด็กสองคนกำลังหยิบน้ำตาลปั้นเล่นอยู่ นางเลยหันกลับไปอย่างสบายใจ
ไป๋ยี่เซวียนเล่นพัดสีดำในมือ”ไม่มีวิธีอื่นเลย ตอนนี้ตระกูลสวีปิดประตูไม่ให้ใครเข้าไปทั้งสิ้น ข้าลองมาหลายครั้ง ล้วนเข้าไปไม่ได้”
เมื่อได้ยินไป๋ยี่เซวียนพูดเช่นนี้ โจวกุ้ยหลานรู้สึกท้อแท้
“ข้ามาเมืองหลวงเดือนหนึ่งแล้ว ยังไม่เจอหน้าของสวีฉางหลินเลย ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป เงินของข้าก็จะใช้หมดแล้ว
“พักอยู่ในโรงเตี๊ยมตลอดก็ไม่ใช่ทาง ไม่งั้นเจ้าซื้อบ้านหลังหนึ่ง แล้วทำธุรกิจเล็กๆไปด้วย?รอผ่านช่วงนี้ก่อน แล้วเจ้าค่อยไปหาสวีฉางหลินไหม?’
โจวกุ้ยหลานเหมือนคิดอะไรอยู่”นี่ก็เป็นวิธีหนึ่งนะ ข้าจะอยู่แบบนี้ไปตลอดก็เป็นไปไม่ได้ และเด็กสองคนก็ต้องไปเรียนแล้ว”
“ไม่งั้นเราร่วมมือกันเปิดภัตตาคารเลยไหม?”เมื่อพูดถึงทำธุรกิจ ไป๋ยี่เซวียนก็ยิ้มตาหยีอีกแล้ว
อยู่กับโจวกุ้ยหลานหากำไรได้ไง……
“ปีกไก่ทอดของเจ้าเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”โจวกุ้ยหลานนึกถึงเรื่องหลักเลยถาม
ไป๋ยี่เซวียนส่ายหน้า”คนเหล่านั้นเหมือนไม่ค่อยชอบสิ่งเหล่านี้ ตั้งแต่เปิดมา ร้านแรกของเราขาดทุนอยู่ตลอด”
เมื่อพูดถึงสิ่งนี้ ไป๋ยี่เซวียนก็รู้สึกปวดหัว
เดิมทีนึกว่าสิ่งเหล่านี้จะได้กำไรมากมาย แต่คนอื่นล้วนชอบไปกินข้าวที่ร้านอาหารเมื่อก่อน ยังรังเกียจว่าไม่ทอดของพวกเขาแพงไป อย่าว่าแต่ขาดทุนเลย จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่มีลูกค้าสักคนเลย
โจวกุ้ยหลานขมวดคิ้ว เป็นไปไม่ได้ ทุกคนกินแล้วล้วนรู้สึกว่าใช้ได้ นางก็ลองชิมดู รสชาติไม่แตกกับชาติก่อนเลย
“ลูกค้ามากินรอบหนึ่งแล้วไม่มากินอีกหรือว่า?”
“ไม่มีคนมาเลย บางทีได้ยินราคาก็ไป พูดว่าไปซื้อไก่ตัวหนึ่งต้มกินกันทั้งครอบครัวยังดีกว่าเลย”
เมื่อพูดถึงสิ่งนี้ ไป๋ยี่เซวียนก็รู้สึกจนปัญญา ช่วงนี้เขาก็ไม่ได้อยู่ที่นั่น ไม่สามารถไปช่วยบริหารได้
หลังจากโจวกุ้ยหลานและไป๋ยี่เซวียนรู้สถานการณ์ของร้านนั้นแล้ว ก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด”ไม่งั้นเราปิดร้านไปเลย ร้านอยู่ในมณฑลข้างๆของเรา กลัวว่าราคาข้าวก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก ทุกคนล้วนประหยัดเงินกัน เลยไม่ยอมกินของที่แพงขนาดนั้น”
“ก็ใช่นะ เป็นเพราะว่าข้าเลือกสถานที่ไม่ดีเอง”ไป๋ยี่เซวียนส่ายหน้าและพูด
“งั้นข้าเปิดร้านแรกละกัน ขอให้มีชื่อเสียงขึ้น ก็สามารถเปิดร้านที่สองร้านที่สามแล้ว”
นางก็ต้องหางานให้ตัวเองทำบ้างแล้ว ไม่งั้นว่างเกินไป นางก็มักจะนึกถึงสวีฉางหลิน