นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 334 จากประหยัดไปฟุ่มเฟือยง่าย แต่ฟุ่มเฟือยไปประหยัดนั้นยาก
- Home
- นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา
- บทที่ 334 จากประหยัดไปฟุ่มเฟือยง่าย แต่ฟุ่มเฟือยไปประหยัดนั้นยาก
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 334 จากประหยัดไปฟุ่มเฟือยง่าย แต่ฟุ่มเฟือยไปประหยัดนั้นยาก
เมื่อก่อนก็ไม่เคยกินอิ่ม ล้วนเคยชินแล้ว แต่ระยะเวลาหนึ่งเดือนมานี้ โจวกุ้ยหลานทำกับข้าวอร่อยไม่น้อยให้กินทุกวัน กระเพาะของพวกเขาก็ถูกกินจนใหญ่แล้ว ได้กินอิ่มทุกวัน ใครจะไปยินยอมให้หิว? นี่ไม่ได้กินอย่างกระทะหัน ก็หิวจนทนไม่ไหวแล้ว
ได้ยินเสียงดังประระลอกต่อเนื่อง อาจารย์โมโหอย่างมาก ลุกขึ้นมาก็จะด่าพวกเขา แต่ด่าไปไม่ถึงสองประโยค ท้องของเขาเองก็ดังขึ้นมา
ใบหน้าเขาแดงก่ำ สุดท้ายก็ให้นักเรียนสองคนไปตั้งร้านเขียนจดหมายอย่างโมโห เพื่อหาเงินซื้ออาหาร
เวลาอาหารเย็น โจวกุ้ยหลานซื้อซี่โครงมาหนึ่งพันชั่ง ต้มน้ำแกงพร้อมกับเห็ด
กลิ่นหอมนั้นลอยมาจากห้องครัว ลอยเข้าไปในห้องเรียนของพวกเขา ลอยเข้าไปในจมูกของนักเรียนเหล่านั้นและอาจารย์
กลิ่นหอมนี้ออกมา พวกซิ่วฉายที่หิวมาทั้งวันแต่เดิมแล้ว ก็ยิ่งหิวเข้าไปอีก
พวกเขาพยายามตั้งสติ แต่ยังไงก็ทำไม่ได้
ความทรมานเช่นนี้ต่อเนื่องกันอยู่ประมาณครึ่งชั่วยาม ในที่สุดโจวกุ้ยหลานก็เรียกลูกสองคนของนางไปกินข้าว
รุ่ยอานและรุ่ยหนิงตามโจวกุ้ยหลานและช่างไม้ดื่มน้ำแกงกินเนื้อด้วยกัน จนอิ่มถึงได้ทำงานต่อ
ช่างไม้คนนี้ทำแท่นวางหนังสือจนเสร็จแล้ว ตอนนี้กำลังช่วยโจวกุ้ยหลานทำป้ายไม้และถาดที่นางขอ
รอจนซิ่วฉายสองคนนั้นกลับมา ทั้งสองได้เงินมารวมกันสิบอีแปะ ซื้อข้าวสารมาแค่นิดเดียว พวกเขาไปหุงเองแล้ว กินคนละไม่ถึงสองคำก็หมดแล้ว
นี่ไม่กินยังดี กินไปแล้วก็ยิ่งหิวแล้ว
ตลอดทั้งคืน คนเหล่านี้พลิกไปพลิกมานอนไม่หลับ มีสองคนทนไม่ไหว วิ่งไปถามโจวกุ้ยหลานว่าทำไมถึงไม่ให้พวกเขากินข้าวอย่างกะทันหัน
โจวกุ้ยหลานก็เล่าเรื่องที่อาจารย์บอกว่าคนทำนาเป็นเรื่องต่ำต้อยที่คนต่ำต้อยทำให้พวกเขาฟัง จากนั้นก็ให้ซิ่วฉายที่ผอมแห้งทั้งสองคนแทะหนังสือดีๆ ให้ตัวเองอิ่มท้อง
ซิ่วฉายทั้งสองคนถูกว่าจนหน้าดำหน้าแดง กลับไปก็ถูกทุกคนซักถาม พูดเรื่องนี้ไปแล้ว คนอื่นได้ยินก็สีหน้าสีสันหลากหลาย
ซิ่วฉายทั้งหลายที่หิวบางส่วนก็หลับแล้ว บางส่วนทนมาทั้งคืนก็นอนไม่หลับ เช้าวันรุ่งขึ้น ก็ตื่นมาพร้อมความหิว เริ่มการเรียนตอนเช้า
โจวกุ้ยหลานก็ทำอาหารเช้าหลากหลายมากมาย พาลูกทั้งสองคนกินอยู่ ให้พวกเขาอ่านหนังสือต่อ
อาจารย์สุดทน ครั้งนี้ส่งนักเรียนสามคนไปเขียนหนังสือหาเงิน
มองดูนักเรียนสามคนแบกข้าวของเดินออกไป โจวกุ้ยหลานยังใจดีให้น้ำชาคนละเหยือกกับพวกเขา ให้พวกเขาดื่มเวลาหิว
โจวกุ้ยหลานเดินกลับมา สบตาเข้ากับอาจารย์ที่มองออกมาจากหน้าต่างพอดี อาจารย์ทำเสียงเย็นชา หันหน้ากลับไปมองหนังสือในมือของตัวเองต่อ
ส่วนซิ่วฉายเหล่านั้น แต่ละคนหน้านิ่วคิ้วขมวด จับท้องของตัวเองไว้ อ่านหนังสือในมือของตัวเองอย่างไร้เรี่ยวแรง
โจวกุ้ยหลานหัวเราะเสียงเบา “จากประหยัดไปฟุ่มเฟือยง่าย จากฟุ่มเฟือยไปประหยัดมันยาก”
พูดจบ ก็ไปในสวนต่อ สอนช่างไม้ให้ทำสิ่งของเหล่านี้ยังไง
ช่างไม้คนนี้ก็หัวไวมือคล่อง หลายวันมานี้ ก็ทำถาดและป้ายเสร็จไม่น้อยแล้ว
โจวกุ้ยหลานถามเขาอีกว่า สามารถช่วยทำตุ๊กตาไม้รูปร่างต่างๆนานาอีกสักหน่อยได้หรือไม่ ช่างไม้คนนั้นมองดูภาพสิ่งของรูปร่างประหลาดที่โจวกุ้ยหลานวาด ก็พูดอย่างเกรงใจว่าจะพยายาม
เที่ยงวันนั้นนักเรียนสามคนนั้นกลับมาแล้ว ยังนำข้าวสารกลับมาสามพันชั่ง ทุกคนรีบหุงต้ม ดื่มข้าวต้มไปคนละถ้วย ในที่สุดก็สายขึ้นมาหน่อย
แต่ชีวิตแบบนี้ต่อเนื่องกันไม่ถึงสองวัน นักเรียนคนหนึ่งก็ล้มป่วยแล้ว ยังเป็นไข้ด้วย
อาจารย์ให้เขานอนพักในห้องของพวกเขา ให้คนอื่นเรียนหนังสือต่อ
โจวกุ้ยหลานก็เอือมระอา ไปซื้อไก่ตัวหนึ่ง ต้มข้าวต้มไก่ ป้อนให้เขาแล้ว นักเรียนคนนั้นกินข้าวต้มไก่ รู้สึกเพียงว่ารสชาติอร่อยเลิศ
เมื่อโจวกุ้ยหลานไปแล้ว เขาก็ปาดน้ำตาอันเศร้าใจ
หิวเป็นระยะเวลานาน เดี๋ยวก็มีคนล้มป่วย แม้กระทั่งอาจารย์ ก็รู้สึกหน้ามืดตามัวบ้างแล้ว
ผ่านไปไม่กี่วัน ทางด้านร้านใหม่ของโจวกุ้ยหลานก็เตรียมเสร็จแล้ว โจวกุ้ยหลานก็เปิดกิจการอย่างเป็นทางการแล้ว
วันแรก โจวกุ้ยหลานกับไป๋ยี่เซวียนวางโต๊ะอยู่ด้านนอก ขอเพียงเป็นเด็ก ก็สามารถทดลองกินไม่เสียค่าใช้จ่าย
เด็กพวกนั้นเห็นมีของแปลกใหม่ ก็ดึงตัวพ่อแม่ตัวเองไปกิน พ่อแม่เหล่านั้นก็รู้สึกว่าไม่เสียเงิน ก็ให้ลูกไปกิน ใครจะไปรู้ว่าเด็กพวกนี้พอกินแล้วก็หยุดไม่ได้ พูดว่าจะกินอีก
อย่างไรเสียก็เป็นการทดลองกิน ไม่สามารถกินได้เยอะกว่านี้อีก?
พ่อแม่ของเด็กพวกนั้นก็พาลูก เข้าไปในร้าน ดูราคาแล้ว ดูเหมือนไม่ได้แพงมาก ก็สั่งปีกไก่ทอดหรือมันฝรั่งทอดอะไรพวกนี้ที่ถูกว่า
ทุกคนที่มาสั่งอาหารเกินสองอย่าง โจวกุ้ยหลานล้วนแถมโค้กให้ครึ่งแก้ว
พ่อแม่เหล่านั้นพาลูกเอาของกินแล้วก็กลับไปที่นั่งของตัวเอง กินอาหาร
สิ่งของอย่างโค้กนี้ สำหรับเด็กแล้วเป็นแรงดึงดูดอย่างสุดยอด เด็กพวกนั้นกินแล้ว ต่างก็พูดกันว่าจะกินอีก
พ่อแม่บางส่วนที่ไม่ขาดเงินก็ซื้ออีกหนึ่งชุด เด็กๆนั่งกินอย่างสนุกอยู่ตรงนั้น ต่างก็ไม่ยอมกลับ
บางคนที่กินเยอะ โจวกุ้ยหลานยังเอาตุ๊กตาไม้เล็กๆ ที่ไม้ช่างทำให้พวกเขาตัวหนึ่ง
พอถึงตอนเที่ยง เมิ่งเจียงส่งเด็กทั้งสองคนมา ท่ามกลางความยั่วยวนจากพู่กันแท่งนั้นของโจวกุ้ยหลาน บางทีเขาก็ช่วยเก็บโต๊ะบ้าง ระหว่างนั้นห้องครัวยังช่วยทำกับข้าว ให้เมิ่งเจียงกับเด็กๆหลายคนกิน
เมิ่งเจียงที่หิวนานแล้วความเร็วในการกินข้าวนั้นไม่ช้าเลย โจวกุ้ยหลานที่เดินผ่านมองเห็นแล้ว หัวเราะเบาๆบอกให้เขากินช้าๆหน่อย
เมิ่งเจียงพยักหน้า พยายามคิ้วกับข้าวในปากตัวเองจนหมดแล้ว ถึงกลืนลงไปแล้วพูดว่า “ข้าไม่ได้กินอาหารมาหลายวันแล้ว ยิ่งกินไม่อิ่ม”
คิดถึงข้าวต้มเปล่าทุกวัน แล้วมองดูข้าวสวยในถ้วยและกับข้าวบนโต๊ะ เมิ่งเจียงรู้สึกว่าตัวเองเกือบจะร้องไห้แล้ว
โจวกุ้ยหลานใช้ผ้าเช็ดมือของตัวเอง พูดอย่างยิ้มแย้ม “ตอนเย็นเจ้าส่งพวกเขามากินข้าวอีกสองคน ข้าทำอาหารอร่อยๆให้พวกเขากินเสียหน่อย”
เมิ่งเจียงมองถ้วยในมือของตัวเอง คิดถึงพู่กันในมือแท่งนั้นของโจวกุ้ยหลาน พยักหน้าอย่างลังเล
เสี่ยวรุ่ยอานและเสี่ยวรุ่ยหนิงกินกับข้าวอยู่ กินเสร็จแล้ววางถ้วยลง มองเห็นโจวกุ้ยหลานยังคงยุ่งหน้ายุ่งหลังอยู่ พวกเขาเลื่อนตัวลงมานำถ้วยของตัวเองส่งเข้าไปในครัว โดยประตูไม้บานหนึ่ง
ทางด้านนี้ เมิ่งเจียงยังคงกินอย่างมีความสุข เมื่อเขากินข้าวหมดสองถ้วย ยังกวาดกับข้าวบนโต๊ะจนหมดเกลี้ยง นี่ถึงมีความรู้สึกแน่นท้อง
กินอิ่มดื่มเต็มที่แล้ว ถึงอยากเดินเสียหน่อย มองดูเด็กสองคนยังช่วยยกถาดอยู่ เขารับถาดบนมือของเด็กทั้งสองคน ส่งเข้าไปในครัว
เดินไปเดินมาสักพัก ถึงได้รู้สึกว่าท้องตัวเองไม่ได้แน่นขนาดนั้นแล้ว ถึงได้พาเด็กสองคนเดินกลับไป
กลับไปถึงบ้าน ก็มองเห็นทุกคนยกถ้วยข้าวต้มเปล่าดื่มอยู่ แต่ละคนเพราะว่ากินไม่อิ่มกินไม่ดี สีหน้าซีดเหลือง มองดูแล้วน่ากลัวเล็กน้อย
เขาจับหน้าท้องของตัวเอง รู้สึกใจฝ่อเล็กน้อย
วันแรกของการเปิดร้าน โจวกุ้ยหลานและไป๋ยี่เซวียนทั้งสองคนยุ่งกันมาก เมื่อข้างนอกไม่ค่อยมีคนแล้ว พวกเขาถึงได้กินข้าวเที่ยวพร้อมกัน
รวมถึงห้องครัวและห้องบัญชีต่างก็หยุดลงเริ่มกินข้าวกัน
“พวกเราหลายคนนี้ก็ยังไม่พอ ข้าดูแล้วยังต้องจ้างคนอีก” ไป๋ยี่เซวียนพูด