นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 338 ร่วงลงสู่โลกมนุษย์ 2
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 338 ร่วงลงสู่โลกมนุษย์ 2
อาจารย์ “…….”
ซิ่วฉายคนอื่นๆต่างก็ก้มหัวอันยโสของพวกเขาลง ลุกขึ้นยืน คนเก็บถ้วยชามตะเกียบก็เก็บไป คนกวาดพื้นก็ไปกวาดพื้น ทันใดนั้น ทุกคนต่างก็ขยับตัวขึ้นมา
แม้กระทั่งเสี่ยวรุ่ยอานและเสี่ยวรุ่ยหนิง ก็ถูกโจวกุ้ยหลานเรียกไปช่วยทำงานแล้ว
บนโต๊ะ ก็เหลือเพียงโจวกุ้ยหลานและอาจารย์
ทั้งสองคนนั่งดูพวกเขายุ่งหน้ายุ่งหลัง
เมื่อพวกเขาทำงานเสร็จแล้ว แต่ละคนก็มายืนเรียงกันเป็นแถวอยู่หน้าโต๊ะ
โจวกุ้ยหลานยืนขึ้น พูดต่อคนตรงหน้า “จากนี้ไป เวลาอาหารกลางวันและอาหารเย็น พวกเจ้าทุกคนล้วนไปช่วยงานที่ร้านไก่ทอดของข้า วันละสองชั่วยาม พวกเจ้ากินข้าวที่ร้าน”
“ไม่ได้! ทำงานหยาบคายวันละสองชั่วยามทุกวัน พวกเขายังจะเรียนหนังสืออย่างไร?” อาจารย์ลุกขึ้นยืนจากที่นั่งทันที คัดค้านอย่างเด็ดขาด
โจวกุ้ยหลานส่ายหน้า “กินข้าวอิ่มแล้วถึงสามารถเรียนหนังสือดีๆ พวกเจ้าพูดเอง คือกินอิ่มแล้วท่องจำได้เร็ว หรือว่าท้องหิวท่องจำได้เร็ว?”
หัวของซิ่วฉายเหล่านั้นยิ่งไม่กล้ายกขึ้น หากพูดความจริง นั่นก็คือไม่ให้เกียรติอาจารย์ หากไม่พูดความจริง นั่นไม่ใช่พูดโกหกหรือ?
รุ่ยหนิงรีบยกมือขึ้น พูดเสียงกึกก้อง “กินอิ่มแล้วท่องจำได้เร็ว!”
คนอื่น “…….”
อาจารย์ “…….”
โจวกุ้ยหลานให้สายตามั่นใจกับเขาอย่างยิ้มแย้ม จากนั้นก็พูดกับอาจารย์ “ท่านให้พวกเขาไปเขียนหนังสือทุกวัน นี่เสียเวลาก็คือหนึ่งวัน? พวกเขาก็ไม่ได้เรียนดีๆ? แล้วอีกอย่าง พวกเขากำลังอยู่ในเวลาเติบโต ทำงานมากไม่มีอะไรเสียต่อพวกเขา”
ซิ่วฉายทั้งกลุ่มที่ผอมเหลือหนังหุ้มกระดูก ยังไม่รีบขยับตัว หรือว่าอยากป่วยจนตายหรือ?
ไม่เหมือนสวีฉางหลินเลยสักนิด เขาไม่เคยป่วยเลย ร่างกายแข็งแรง ฉลาดกว่าคนพวกนี้อีก
แน่นอน คำพูดที่สร้างความโกรธแค้นพวกนี้นางไม่พูด
นักเรียนคนอื่นได้ยินว่าสามารถกินข้าวอิ่ม ก็โล่งใจแล้ว ทำงานก็ทำงาน พวกเขาสามารถนอนดึกหน่อย อ่านทดแทนวิชาที่ล่าช้าในเวลากลางวัน
อาจารย์อ้าปากแล้วอ้าปากอีก คิดอยากคัดค้าน แต่ครึ่งค่อนวันก็หาคำพูดไม่ได้
ไม่ได้ยินเสียงคัดค้าน โจวกุ้ยหลานพูดต่อ “พวกเจ้าไปทำงาน ข้าสามารถซื้อหนังสือสองเล่มให้กับโรงเรียนของพวกเจ้า พู่กันหมึกกระดาษข้าล้วนเหมาหมด เป็นอย่างไร?”
แม้กระทั่งอาจารย์ที่คัดค้านอย่างรุนแรงมาตลอด ตอนที่ได้ยินข่าวนี้ ตาก็สว่างขึ้นมา
พู่กันหมึกกระดาษพวกเขาขาดแคลนมาตลอด ไม่กล้าสิ้นเปลืองเลย หากมีคนสามารถให้ได้ นั่น……นั่นมันช่างดีเหลือเกินแล้ว!
“ดี!” ในที่สุดอาจารย์ก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ เปิดปากตอบรับแล้ว
โจวกุ้ยหลานก็ดีใจ ให้พวกเขากลับไปเรียนหนังสือกัน อีกสักพักพระอาทิตย์ใกล้ตกดินค่อยไปที่ร้าน
เมื่อนางสั่งเสียเรียบร้อยแล้ว ก็รีบไปที่ร้าน
เมื่อถึงร้าน ก็พบว่าในร้านเต็มไปด้วยคน นางก็รีบเข้าไปช่วย และเล่าเรื่องที่ซิ่วฉายเหล่านั้นและข้อเสนอให้ไป๋ยี่เซวียนฟังทั้งหมด
ไป๋ยี่เซวียนก็โล่งอก ทำงานของตัวเองต่อ
เมื่อถึงเวลาพระอาทิตย์ใกล้ตกดิน อาจารย์พานักเรียนเหล่านั้นมาปรากฏตัวอยู่หน้าประตูร้าน โจวกุ้ยหลานให้ห้องครัวทำกับข้าวให้พวกเขากิน ก็เริ่มให้พวกเขาทำงาน
ซิ่วฉายผอมแห้งแรงน้อยพวกนี้ ยกถาดเดินไปสักครู่ก็หอบแล้ว แต่ยังดีที่พวกเขามีแปดคน บวกกับโจวกุ้ยหลานและไป๋ยี่เซวียน ถึงแม้ว่าจะยุ่งอยู่ แต่ก็ยังถือว่าเก็บกวาดได้ตามเวลา
แขกพวกนั้นสั่งอาหารแล้ว ก็นำป้ายของตัวเองวางอยู่บนโต๊ะ เมื่ออาหารทำเสร็จแล้ว วางอยู่บนถาด ด้านบนวางป้ายหมายเลขเดียวกัน พวกเขายกถาดส่งไปถึงมือลูกค้า ก็จะไม่ทำผิด
อาจารย์นั่งอยู่บนที่นั่งของตัวเอง มองดูนักเรียนเหล่านั้นของตัวเองเก็บโต๊ะไปๆมาๆ ให้ลูกค้าเหล่านั้นส่งอาหาร ในใจก็รู้สึกอึดอัด อยากลุกขึ้นไปห้ามพวกเขา ในสมองก็จะคิดถึงโจวกุ้ยหลาน เขาก็ตัวหดตัดความคิดนี้ทิ้งไป
เวลาแบบนี้ก็ผ่านไปอย่างราบรื่น เกินความคาดหมาย นักเรียนเหล่านี้ไม่ได้ทำให้การเรียนล่าช้าเพราะไปทำงาน
เพื่อแบ่งเวลาออกมาไปทำงาน ความเร็วในการท่องหนังสือของพวกเขาก็เร็วขึ้นกว่าเดิม คนก็มีชีวิตชีวากว่าเมื่อก่อน
ผ่านไปครึ่งเดือน แก้มของพวกเขาก็มีเนื้อขึ้นมา ทำงานก็ว่องไวขึ้นไม่น้อย แม้กระทั่งเสียงในการอ่านหนังสือก็ดังขึ้นกว่าเดิมไม่น้อย
เพื่อเป็นรางวัลให้พวกเขา โจวกุ้ยหลานไปซื้อเสื้อผ้าที่ร้านขายเสื้อผ้าให้พวกเขาคนละหนึ่งชุด
การค้าขายในร้านก็ยิ่งอยู่ยิ่งดี ถึงแม้จะไม่ใช่เวลากินข้าว ในร้านก็มีคนไม่น้อย ลำพังพึ่งนางกับไป๋ยี่เซวียนไม่ทันแน่นอน
โจวกุ้ยหลานและไป๋ยี่เซวียนเจรจากัน จะจ้างคนเพิ่มให้กับร้านอีกสองคน
แค่พริบตา ก็ถึงวันไหว้พระจันทร์แล้ว
ร้านปิดแต่เช้า โจวกุ้ยหลานซื้อกับข้าวมาไม่น้อย แล้วก็ขนมไหว้พระจันทร์ กลับบ้านแต่เช้า ทำอาหารเต็มโต๊ะให้ทุกคนอย่างตั้งอกตั้งใจ คืนนี้กินดีๆสักมื้อ
เมื่อทุกคนเก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว โจวกุ้ยหลานก็นั่งในสวนกับพวกเขา กินขนมไหว้พระจันทร์
อาจารย์ก็ทดสอบความรู้ของพวกเขาทันที จากนั้นก็กลายเป็นงานแต่งกลอนไปแล้ว
โจวกุ้ยหลานฟังพวกเขาแต่งกลอน ในใจอดอุทานอย่างซึ้งใจไม่ได้ ถึงแม้ว่าคนเหล่านี้จะสภาพผอมแห้งแรงน้อยอาจล้มไปได้ตลอดเวลา แต่หากพูดถึงความรู้ นั่นก็ไม่ธรรมดาเลย
จนสุดท้าย อาจารย์ก็วิเคราะห์วิจารณ์ บอกว่าเมิ่งเจียงโดดเด่นที่สุด
โจวกุ้ยหลานกลับไปห้องของตัวเอง หยิบกล่องมาหนึ่งกล่องยื่นให้เมิ่งเจียง
มองดูกล่องในมือ เมิ่งเจียงตะลึงไปทั้งคน
เขามองโจวกุ้ยหลานอย่างไม่กล้าเชื่อ “นี่…….นี่ให้ข้าหรือ?”
“ได้อันดับหนึ่ง ก็ต้องมีรางวัลไงล่ะ?”
โจวกุ้ยหลานพูดอย่างยิ้มแย้ม
เมิ่งเจียงสูดหายใจลึกๆ เปิดกล่องออกอย่างระมัดระวัง สิ่งที่เข้าสู่สายตา คือพู่กันแท่งนั้นที่เขาพร่ำเพ้ออยากได้จริงๆ
คนอื่นต่างก็เข้ามา อยากจะดูบ้าง
เมิ่งเจียงผลักมือของพวกเขาออกทีละคน “อย่าจับ! นี่คือพู่กันของหลิวห้าวหรานอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงใช้เขียนหนังสือ! อย่าจับจนพังล่ะ!”
พอได้ยินชื่อของหลิวห้าวหราน ทุกคนต่างก็สูดหายใจเข้าอย่างแรง
คนพวกนั้นเหมือนดั่งผู้มีจิตศรัทธาอันเลื่อมใสที่สุด สายตาที่มองไปบนพู่กันก็ยิ่งเร่าร้อน ไม่ต่างอะไรกับเมิ่งเจียงเลย
“กลับเป็นหลิวห้าวหราน!”
“เขาเขียนอะไร?”
ทุกคนต่างก็จ้องพู่กันนั้นไว้ กลับไม่มีคนยื่นมือไปจับ
เห็นสภาพอันตื่นเต้นของพวกเขา โจวกุ้ยหลานส่ายหน้า
นี่เป็นประโยคที่เขาเขียนเท่านั้น หากหลิวห้าวหรานคนนี้ปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขา พวกเขาจะไม่พุ่งเข้าไปหรือ?
เห็นได้ชัดว่า อาจารย์ก็ไม่ดีใจที่เห็นสภาพของพวกเขา หน้าบึ้งตึง ยื่นมือไปหยิบพู่กันแท่งนั้นมา ต่อว่านักเรียนเหล่านี้ของตัวเอง “พวกเจ้ายังมีศักดิ์ศรีอยู่ไหม?”
พวกนักเรียนไม่กล้าพูดแล้ว
อาจารย์ยังไม่หายโมโห เหล่ตามองพู่กันแท่งนั้น นำฝาปิดไว้ ไม่ให้พวกเขาดู
จากนั้นก็พูดเสียงเย็นชา “หากการแข่งขันระหว่างโรงเรียนในเดือนสิบสองพวกเจ้าไม่ได้อันดับหนึ่ง พู่กันนี้พวกเจ้าก็อย่างได้เห็นอีก!”
ทุกคนต่างก็หันไปมองเมิ่งเจียง เห็นเพียงเขามองพู่กันนั้นอย่างเสียดาย พวกเขาเศร้าใจ
ตอนนี้โจวกุ้ยหลานถึงรู้ว่าที่แท้โรงเรียนของพวกเขายังมีการแข่งขัน ส่วนการแข่งขันนี้หากโรงเรียนชนะ พวกเขานอกจากจะอกผายไหล่ผึ่ง ยังได้รางวัลเงินหนึ่งร้อยตำลึง