นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 344 พระราชทานงานแต่งงาน?
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา ตอนที่ 344 พระราชทานงานแต่งงาน?
เมื่อสักครู่ที่ผ่านมาชายชรายังพึงพอใจที่โจวกุ้ยหลาน เป็นห่วงสุขภาพของเขา แล้วนึกถึงสิ่งดีๆ ที่นางทำให้พวกเขาขึ้นมา แต่ตอนนี้พอได้ยินนางสาปแช่งเขา เขาก็ยิ่งไม่พอใจเป็นธรรมดา
แต่น่าเสียดาย ที่โจวกุ้ยหลานไม่ให้โอกาสเขาพูดต่อ นางในห้อง แล้วเข้าไปอาบน้ำ ก่อนจะนอนลงบนเตียง ทั้งสองหลับไปพร้อมกับลูกชายทั้งสอง
แต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงตื่นมากลางดึก นางหันไปมอง แล้วเห็นกระเบื้องสองสามแผ่นบนหลังคาหายไปอีกครั้ง เงาดำรีบกระโดดเข้ามา? ชายชุดดำเดินเข้ามาหยุดตรงหน้าโจวกุ้ยหลาน
ดูเหมือนว่าจะเป็นสวีฉางหลิน
โจวกุ้ยหลานอ้าปากหาว ยกมือข้างหนึ่งประคองศีรษะ และนอนตะแคงอยู่บนเตียง
แสงจันทร์ส่องสว่างผ่านกระเบื้องบนหลังคาเข้ามา จนสว่างไปทั้งห้อง
โจวกุ้ยหลานยื่นมืออีกข้างออกมาจากเตียง แล้วกระดิกนิ้วเรียก
พอเห็นว่าไม่มีการตอบสนอง โจวกุ้ยหลานก็เลิกคิ้วขึ้น
ผู้ชายคนนี้ยังคงนิ่งเงียบ อุตส่าห์อดกลั้นมานาน ตอนนี้ยังอดกลั้นได้อีก?
นางชำเลืองมองไปทางลูกชายทั้งสองที่นอนอยู่ข้างหลัง แล้วเห็นว่าพวกเขายังคงหลับสนิท และคงจะไม่ตื่นขึ้นมาง่ายๆ
พอคิดได้แบบนี้ วายร้ายในใจก็เริ่มอาละวาด แล้วตะโกนพูด รังแกเขา! รังแกเขา!
มุมปากของโจวกุ้ยหลานยกยิ้ม ใช้มือข้างที่ว่างของนางดึงสายรัดผ้าที่ผูกเสื้อผ้าชั้นในของนางออก
ตั้งแต่หัวไหล่ หน้าอก จนถึงเอว
นางไม่รีบร้อน ค่อยๆ ถอยออกมาช้าๆ หลังจากดึงสายรัดเส้นสุดท้ายออก นางก็ใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ค่อยๆ กางเสื้อออก เผยให้เห็นช่องว่าง และผิวขาวเนียนก็เปิดเผยออกมาจากด้านในดูน่าหลงใหลเป็นพิเศษเมื่ออยู่ภายใต้แสงจันทร์
กระเบื้องบนหลังคาถูกกระแทกทันที
โจวกุ้ยหลานอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ “อุ๊บส์” จากนั้นก็นึกขึ้นได้ นางรีบปิดปาก แล้วหันกลับไปมอง และเห็นว่าเด็กทั้งสองยังคงนอนหลับสนิท นางจึงลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมา
ก่อนจะหันไปมองอีกครั้ง นางมองไปที่รูบนหลังคา และเห็นว่ามันยังอยู่ จึงรู้ว่าสวีฉางหลินยังไม่ได้จากไป
เมื่อก่อนเขาแทบจะรังแกนางทุกคืน แต่ตอนนี้เขากลับทนได้
แต่แม้ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาก็ยังอดทนได้ มันไม่ง่ายเลย…
โจวกุ้ยหลานอ้าปากหาวอย่างอดไม่ได้ พอคิดว่าพรุ่งนี้นางต้องไปที่ร้าน ดังนั้น นางจึงผูกเสื้อผ้าให้เรียบร้อย จากนั้นพลิกตัว หันหลังให้รูบนหลังคา แล้วหลับตานอนต่อ
ในเมื่อนางมองไม่เห็นสวีฉางหลิน ก็ให้เขาดูไปเถอะ นางจะนอนดึกเป็นเพื่อนเขาไม่ได้
พอสวีฉางหลินที่อยู่บนหลังคาเห็นว่าสะใภ้ตัวน้อยในห้องผล็อยหลับไปอีกครั้ง ในใจเหมือนมีไฟแผดเผาจนรุ่มร้อน จนเขารู้สึกไม่สบายตัว
เขาขมวดคิ้ว นั่งบนกระเบื้อง สายตาจ้องมองไปที่เตียง
นอนไม่หลับทั้งคืน…
เช้าวันต่อมา โจวกุ้ยหลานตื่นนอน ล้างหน้า ทำอาหารเช้า และรีบไปที่ร้าน
วุ่นอยู่กับการช่วยพวกแม่ครัวฆ่าไก่ เตรียมของต่างๆ ทำความสะอาดร้าน รอต้อนรับแขกที่ประตู
ในตอนเช้าก็ไม่แตกต่างจากที่ผ่านมามากนัก พอถึงช่วงบ่าย ในร้านเห็นได้ชัดว่ามีลูกค้ามากกว่าที่ผ่านมา แต่ละคนยุ่งจนแทบไม่มีเวลาพัก ยังมีลูกค้าหลายคนที่ชี้ไปที่พวกซิ่วฉายแล้วกระซิบกัน..
พอเห็นฉากนี้ โจวกุ้ยหลานก็รู้ว่าไป๋อี้ซวนกระจายข่าว
ตอนนี้ โจวกุ้ยหลานชื่นชมประสิทธิภาพการทำงานของไป๋ยี่เซวียน มาก
พอถึงวันที่สาม ช่วงเช้ามีคนเข้ามาเป็นอันมาก ยังมีบิดามารดาบางคนพาบุตรมาด้วย แล้วเดินไปสนทนากับซิ่วฉาย เหล่านั้น.
เรื่องราวแพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงอย่างช้าๆ ว่าเสี่ยวเอ้อร์ของร้านไก่ทอดล้วนเป็นนักเรียนของ สำนักบัณฑิตหนานซาน และพวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นซิ่วฉาย
เรื่องนี้สร้างความแปลกใจให้ทุกคนเป็นอย่างมาก จึงพากันมาดู
พอมีคนถามว่าข่าวนี้แพร่ออกไปได้อย่างไร ก็มีคนพูดถึงความขัดแย้งระหว่างนักเรียนของสำนักบัณฑิตหนานซานกับสำนักบัณฑิตไป๋ลู่
คนส่วนใหญ่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสำนักบัณฑิตหนานซานมากนัก ในตอนแรกจึงมีคนพูดถึงเรื่องนี้ไม่มากนัก
แต่พอพวกเขาได้ยินว่านักเรียนของสำนักบัณฑิตไป๋ลู่มาหาเรื่องรังแกสำนักบัณฑิตหนานซาน ทุกคนก็เริ่มดุว่านักเรียนของสำนักบัณฑิตไป๋ลู่ที่ดูไม่เหมือนคนมีการศึกษา และมีคนที่รู้ข้อมูลเกี่ยวกับสถาบันการศึกษาในเวลานี้ก็พูดขึ้นมาว่าในการแข่งขันประจำปีสำนักบัณฑิตหนานซานชนะสำนักบัณฑิตไป๋ลู่ทุกปี
ในขณะนี้คนที่ได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็แทบช็อก
สำนักบัณฑิตไป๋ลู่แห่งนี้ เป็นสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงมากในเมืองหลวง ทุกคนต่างก็พยายามส่งลูกหลานของพวกเขาไปเรียนที่สถาบันแห่งนี้ ทุกๆ ปีนักเรียนจากสำนักบัณฑิตไป๋ลู่สอบเข้ารับราชการได้ ใครจะคิดว่าการศึกษาจะด้อยกว่าสำนักบัณฑิตหนานซาน? ?
ดังนั้นทุกคนจึงพูดถึงสำนักบัณฑิตหนานซานที่ลึกลับกันอย่างเมามัน แล้วยังมีนักเล่าเรื่องพูดถึงความรุ่งเรืองในอดีตของสำนักบัณฑิตหนานซานในโรงน้ำชาและสถานที่อื่นๆ รวมถึงอาจารย์ของพวกเขาที่เป็นผู้มากความรู้ และมีลูกศิษย์ที่มีชื่อเสียงจำนนมาก
แน่นอน หนึ่งในนั้นก็คือบัณฑิตอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงอย่างหลิวห้าวหรานด้วย
หลิวห้าวหรานคนนี้คือใคร? จะมีใครในเมืองหลวงที่ไม่รู้จักเขาบ้าง
ทุกคนอุทานออกมา และพอทุกคนรู้ว่าในสำนักบัณฑิตหนานซานมีนักเรียนเพียงแปด และทั้งหมดก็เป็นซิ่วฉายที่มีอายุต่ำกว่ายี่สิบปี พวกเขาก็อุทานออกมาอีกครั้ง
เพราะอย่างนี้ สำนักบัณฑิตหนานซานจึงถูกเปิดเผยอีกมุมหนึ่งที่ไม่มีใครรู้ออกมา
มีหลายคนพาลูกไปกินไก่ทอด ไปพบกับบัณฑิตของสำนักบัณฑิตหนานซานกลุ่มนั้น
ไม่นาน “ร้านไก่ทอด” แห่งนี้ก็โด่งดังอย่างรวดเร็ว
โจวกุ้ยหลานรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าธุรกิจของร้านนางดีขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากรู้ว่าเสี่ยวเอ้อร์ในร้านเป็นซิ่วฉาย คนที่ไปพบพวกเขา ยิ่งมองยิ่งรู้สึกว่าพวกเขาเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน สุภาพ มีมารยาทและทำงานได้ดี
บางคนพอกลับถึงบ้าน ก็เริ่มมีความคิดที่จะส่งลูกหลานไปร่ำเรียนที่สำนักบัณฑิตหนานซานแล้ว
ไม่นาน ก็มีบัณฑิตหลายคนเข้ามาขอสนทนาความรู้ด้วย แต่มีบางคนฐานะยากจนไม่มีเงินซื้ออาหารในร้าน ดังนั้นโจวกุ้ยหลานจึงบอกพวกเขาว่าพวกเขาสามารถนั่งที่นี่ได้ฟรีโดยไม่ต้องเสียเงิน
ไม่นาน พวกเขาก็รวมตัวกันเพื่อสนทนาความรู้ด้วยกัน
ในชั่วขณะหนึ่ง นี่ก็ถือได้ว่าเป็นมุมเด่นมุมหนึ่งของร้านพวกเขา
ในเมืองหลวงแห่งนี้ไม่ขาดแคลนข่าวใหม่ๆ ดังนั้นเรื่องของสำนักบัณฑิตหนานซานก็ถูกบดบังด้วยข่าวที่ใหญ่กว่าอีกข่าวหนึ่ง
ตอนที่ โจวกุ้ยหลานได้ยินข่าวนี้ นางก็ตกตะลึงไปทันที
“เจ้าพูดว่าอะไรนะ?”
ไป๋ยี่เซวียนทนไม่ได้ แต่เขาไม่อยากปิดบังนาง “วันนี้ฮ่องเต้ได้พระราชทานงานแต่งงานให้องค์หญิงอานผิงกับสวีฉางหลินแล้ว”
“เขา… เขาตอบตกลงแล้วหรือ?” น้ำเสียงของโจวกุ้ยหลานแหบแห้งเล็กน้อย
ไป๋ยี่เซวียนส่ายหน้า “ฮ่องเต้พระราชทานงานแต่งงาน ใครจะกล้าปฏิเสธ”
โจวกุ้ยหลานทิ้งทุกอย่างในมือแล้ววิ่งออกไป
นางวิ่งพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว สายลมพัดผ่านใบหน้าของนาง พัดจนเสียงที่เข้าหูของนางมีแต่เสียงก่อนหน้านี้
นางจะไปถามสวีฉางหลินให้ชัดเจน ว่าเขาจะผิดคำสัญญาที่ให้ไว้กับนางใช่หรือไม่? หรือว่า เขาเองก็จะทอดทิ้งนางและลูกทั้งสองแล้ว?
ไม่รู้ว่าวิ่งมานานแค่ไหน ตอนนี้ขาของนางเริ่มหมดแรงและไม่สามารถวิ่งต่อไปได้อีก นางยกมือพยุงผนังและเดินไปข้างหน้าทีละก้าว
แต่เมืองหลวงมันกว้างใหญ่เกินไป สองขาของนางก็อ่อนแรงแล้ว แต่ก็ยังห่างไกลจากจวนหู้กั๋วกงมาก… ไกลมาก