นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 355 ช่วยแนะนำท่านยายให้ท่านคนหนึ่ง
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 355 ช่วยแนะนำท่านยายให้ท่านคนหนึ่ง
อาจารย์อายุมากแล้ว และนางก็เคารพเขามาก จึงให้เขาไปนั่งบริเวณใต้เตาเพื่อก่อไฟรอ
“บัณฑิตผู้มีเกียรติเช่นข้า ถึงกับต้องมาทำงานหยาบพรรค์นี้! โบราณว่าไว้ : บัณฑิตอยู่ห่างจากห้องครัว!*” อาจารย์นั่งอยู่หน้าเตา สีหน้าไม่พอใจอย่างมาก (*ประโยคนี้เปรียบเปรยว่า บัณฑิตเป็นผู้มีความรู้ เป็นสุภาพบุรุษ มีจิตใจเมตตากรุณา ไม่สามารถทนเห็นการเข่นฆ่าได้ ดังนั้นจึงอยู่ห่างจากห้องครัว)
โจวกุ้ยหลานหยิบช้อนตักน้ำแกงมาคันหนึ่ง เทลูกชิ้นเนื้อวัวลงในน้ำร้อนในหม้อ แล้วเตือนเขาแบบไม่จริงจังนักว่า “แล้วมีคำที่โบราณกล่าวไว้ว่า อาหารเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของมนุษย์บ้างหรือไม่?”
“นี่เป็นการเถียงแบบข้าง ๆ คู ๆ!”
“นี่ข้าพูดตามความจริงต่างหาก เบาไฟลงหน่อย” โจวกุ้ยหลานเอ่ยเตือนไปพลาง มือก็เคลื่อนไหวเร็วขึ้นมาระดับหนึ่ง
อาจารย์ดึงฟืนท่อนหนึ่งออกจากเตาไฟด้วยสีหน้าไม่พอใจ พูดอย่างหงุดหงิดไม่สบอารมณ์ว่า: “ผู้หญิงไร้ความสามารถนับว่ามีคุณธรรม ผู้หญิงอย่างเจ้า จะทำให้ผู้ชายรักใคร่เอ็นดูได้อย่างไรกัน?” (*ความสามารถ ณ. ที่นี่คือ ความสามารถด้านการอ่าน การอักษร กาพย์กลอน หนังสือ ความสามารถในการบริหาร หรือว่าง่าย ๆ คือความสามารถในพื้นที่ของผู้ชาย สิ่งที่ผู้ชายถนัด ถ้าผู้หญิงมีความสามารถด้านนี้ถือว่าไม่ดี สามีจะคุมไม่อยู่)
โจวกุ้ยหลานชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง เอาช้อนตักน้ำแกงไปแช่ลงในชามที่อยู่ข้าง ๆ จากนั้นค่อยหันมาขูดลูกชิ้นใส่ลงในหม้อต่อ
“เพราะฉะนั้นข้าถึงได้ถูกผู้ชายทิ้งอย่างไรล่ะ นี่ไม่ใช่ว่าข้ากับลูกชายทั้งสองคนต่างก็ต้องพึ่งพาอาศัยลำแข้งของตัวเองกันแล้วหรอกรึ? แต่จะว่าไป ผู้ชายของข้าก็เป็นคนที่สอนให้ข้าอ่านหนังสือออกนะ มาตอนนี้ข้าถึงได้เข้าใจว่า เขาจะทำให้ข้าไร้คุณธรรมเสียก่อน แล้วค่อยทิ้งข้าไปนี่เอง”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกมา อาจารย์ก็เป่าเคราพลางถลึงตามองนิ่ง ๆ แต่ก็ไม่กล้าต่อบทสนทนาเรื่องนี้อีก
ถ้ายังทำให้นางหวนนึกถึงเรื่องเศร้าโศกเสียใจอีก นั่นคงเป็นเรื่องไม่เหมาะไม่ควรอย่างยิ่ง
ได้เห็นนางมีสภาพแบบนั้นเมื่อหลายวันก่อน เขาเองแค่มองผ่าน ๆ ก็ยังรู้สึกหวาดกลัวไปด้วย
ทางนี้เพิ่งจะเงียบเสียงลง จ้าวจงตี้ที่อยู่อีกด้านก็ยืนขึ้นแล้วตะโกนบอกโจวกุ้ยหลานว่า “ขูดเนื้อปลาเสร็จหมดแล้ว!”
โจวกุ้ยหลานหันกลับไปมอง พบว่าปลาเฉ่าฮื้อสองตัวที่นางซื้อมาถูกทำความสะอาด พร้อมทั้งตัดครีบออกหมดเรียบร้อยแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าไปช่วยพวกเขาล้างผักอีกหน่อยแล้วกัน” โจวกุ้ยหลานสั่ง
จ้าวจงตี้ขานรับประโยคหนึ่ง จากนั้นก็เดินตรงไปช่วยคนอื่นต่อ
เมื่อเห็นดังนี้ ดวงตาของอาจารย์ก็เบิกกว้าง
นี่คือผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งแท้ ๆ จ้าวจงตี้ที่เป็นถึงซิ่วฉายผู้ทรงเกียรติ ถึงกับเชื่อฟังคำสั่งของผู้หญิงเชียวรึ!
“อย่ามัวแต่มองอยู่เลย ไฟใกล้จะมอดอยู่แล้ว รีบเติมฟืนเข้าไปอีกท่อนเร็วเข้า” โจวกุ้ยหลานเอ่ยเตือนอาจารย์
หลังจากเทลูกชิ้นเนื้อวัวใส่จนเต็มหม้อแล้ว นางก็ย่อตัวลงไปหยิบเนื้อปลาในกะละมัง
ครั้งนี้นางไม่เห็นว่ามีลูกชิ้นปลากับลูกชิ้นเนื้อวัวสำเร็จรูปขาย แต่ถ้ากินหม้อไฟแล้วไม่มีของพวกนี้ มันก็เป็นอะไรที่น่าเสียดายจริง ๆ
ในเมื่อเป็นแบบนี้ นางจึงทำได้แค่ต้องทำลูกชิ้นเองเท่านั้นแล้ว
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในหมู่บ้านต้าสือ ทันทีที่ถึงฤดูหนาว นางจะชอบทำหม้อไฟ แต่เพราะนาง กับสวีฉางหลิน แล้วก็เสี่ยวเทียนมีกันอยู่แค่สามคน จึงไม่สามารถกินอะไรได้มากมายขนาดนั้น ทุกครั้งจึงทำหม้อไฟแบบง่าย ๆ
แต่ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ เสี่ยวเทียนจะเป็นยังไงบ้างแล้ว….
เมื่อสามปีก่อน ตอนที่อยู่ชายแดนก็ต้องทนเผชิญกับความยากลำบากไม่น้อย มาตอนนี้ได้กลับวังแล้ว ฮองเฮาก็คงปฏิบัติกับเขาไม่เลวหรอกมั้ง? แต่ก็ไม่รู้ว่าการกลับไปของเขาครั้งนี้ มันจะเป็นเรื่องดีหรือเป็นเรื่องร้ายกันแน่
ก่อนหน้านี้นางเคยคิดว่าจะหาเงินไว้มาก ๆ เพื่อที่เสี่ยวเทียนจะได้มีชีวิตอยู่อย่างมีกินมีใช้ไม่ต้องอดอยากไปตลอดชีวิต แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่า กระทั่งหน้าตาก็ยังไม่มีโอกาสได้เห็นเลยด้วยซ้ำ
นางคิดถึงเขามากจริง ๆ
ทั้งไม่รู้ด้วยว่าหลังจากนี้ไป จะมีโอกาสได้เจอเขาอีกไหม….
โจวกุ้ยหลานยืนขึ้น หยิบไม้พายขึ้นมา คนของในหม้อเพื่อให้ลูกชิ้นเนื้อวัวเหล่านั้นกลิ้งไปมาจนสุกทั่วถึง
อาจารย์เติมฟืนใส่เตาไปนานพอสมควรแล้ว เปลวไฟที่ปะทุขึ้นทำให้เขารู้สึกอุ่นร้อนผะผ่าวขึ้นมาเลยทีเดียว
เขาเงยหน้าขึ้นมามองโจวกุ้ยหลานแวบหนึ่ง เห็นว่านางไม่คล่องแคล่วว่องไวเหมือนแต่ก่อน จึงคิดไปว่านางคงจะคิดถึงผู้ชายของตัวเองแน่ ๆ หลังจากสงบจิตสงบใจอยู่ครู่หนึ่ง ก็พูดขึ้นว่า “ผู้ชายชอบผู้หญิงที่งดงามอ่อนหวาน”
หลังจากหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง เขาค่อยพูดต่อขึ้นอีกว่า: “ถ้าเจ้าปฏิบัติตัวกับเขาดี ต้องมีวันหนึ่งที่เขาจะหันกลับมามองแน่”
โจวกุ้ยหลานถึงกับตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะรู้ตัวว่า เขากำลังสอนนางว่าจะทำยังไงถึงจะคว้าหัวใจผู้ชายคืนมาได้ ชั่วขณะนั้นนางถึงกับอดหลุดขำดัง “พรืด” ออกมาไม่ได้
เมื่อถูกหัวเราะเยาะแบบนี้ อาจารย์ก็โกรธจนไฟโทสะพวยพุ่ง ใบหน้าแดงก่ำไปทั้งหน้า
ผู้หญิงคนนี้! ช่างเป็นคนไม่รู้จักดีชั่วจริง ๆ ถึงกับกล้าหัวเราะเยาะเขาเชียวรึ!
“อาจารย์ เรื่องนี้น่ะท่านไม่ต้องกังวลไปหรอก ท่านควรคิดว่าท่านตัวคนเดียวแบบนี้ จะใช้ชีวิตอย่างไรต่อไปดีกว่า หรือไม่ ให้ข้าแนะนำท่านยายให้ท่านสักคนดีหรือไม่? จะได้มีคนช่วยดูแลการใช้ชีวิตของท่าน”
“หน้าไม่อาย! ช่างหน้าไม่อายสิ้นดี! คำพูดหยาบคายเช่นนี้ ทำไมถึงออกมาจากปากของผู้หญิงคนหนึ่งได้?”
อาจารย์โกรธมากจนจะหายใจเข้าออกก็ไม่ไหว จะกลืนไฟโทสะลงไปก็กลืนไม่ลง แทบจะอดใจไม่ไหวอยากก่นด่าโจวกุ้ยหลานแรง ๆ สักยก
โจวกุ้ยหลานส่ายหน้า: “อาจารย์ ท่านช่างไม่มีประสบการณ์ชีวิตเอาเสียเลย ถ้าท่านมาได้ยินคนในหมู่บ้านต้าสือของเรา พูดอะไรที่มันหยาบคายยิ่งกว่านี้เข้าล่ะก็ น่ากลัวว่าท่านอาจารย์คงได้โกรธตายไปก่อนแน่ เอาเถอะ ๆ ครั้งนี้ถือว่าข้าพูดจาเสียมารยาทเกินไป ข้าขอโทษท่านด้วย ท่านเป็นบัณฑิตผู้มากความรู้ ขออย่าได้คิดเล็กคิดน้อยกับผู้หญิงบ้านนอกคอกนาอย่างข้าเลยนะ?”
อาจารย์ถูกปิดกั้นทุกทางจนพูดอะไรไม่ออกไปเลย ถ้ายังด่าต่อ ก็เท่ากับว่าเขาคิดเล็กคิดน้อยกับสาวบ้านนอกคนหนึ่ง ถือเป็นเรื่องที่ไร้ศักดิ์ศรีตั้งเท่าไหร่? แถมจะว่าไป นางก็ขอโทษเขาแล้วด้วย เขายังจะพูดอะไรได้อีกล่ะ?
ติดแค่ว่าพอถูกทำให้โกรธแบบนี้ จู่ ๆ เขาก็พลันรู้สึกว่า ตัวเองออกจะยุ่งเรื่องคนอื่นมากเกินไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงรีบหุบปากทันที ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะไม่คุยกับโจวกุ้ยหลานอีก
เมื่อมองเขา แล้วเห็นว่าสีหน้าของเขาดูไม่ดีเลย โจวกุ้ยหลานก็ไม่พูดอะไรอีก ก่อนจะหันมาตั้งสมาธิกับงานในมือต่อ
มีบางครั้งที่นางก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมอาจารย์ถึงเข้ากับนางไม่ได้ พูดอะไรได้ไม่เกินสองประโยค ก็ทำให้เขาโกรธจนกระทืบเท้าเร่า ๆ ได้แล้ว
แต่สิ่งที่เขาพูดมาเมื่อครู่นี้ ก็เป็นเพราะเขาคิดเผื่อนาง แม้ว่าคำพูดพวกนี้จะฟังดูไม่ค่อยดีนักก็ตาม
แต่นี่กลับทำให้นางคิดถึงเหล่าไท่ไท่ ทั้งที่ก็เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าเป็นห่วงนางอยู่ตลอดเวลา แต่พออ้าปากทีไร เป็นต้องตำหนินางทุกคำทุกประโยคไม่ได้ขาด
ไม่รู้ว่าเหล่าไท่ไท่เป็นยังไงบ้างแล้ว จดหมายที่ส่งกลับไปเดือนนี้ก็ยังไม่เห็นตอบกลับมาเลย
แม้ว่าจะคิดนั่นคิดนี่ไปเรื่อยเปื่อย แต่การเคลื่อนไหวของมือของโจวกุ้ยหลาน กลับยังคงเร็วมากจนน่าทึ่ง
ทุกคนวิ่งเข้าวิ่งออกกันให้วุ่น นี่กลับทำให้ไม่มีใครรู้สึกหนาวแล้ว ถึงกับมีบางคนที่ร้อนจนเหงื่อออกเลยด้วยซ้ำ
รอจนโจวกุ้ยหลานโยนกระดูกลงในหม้อ เติมเครื่องปรุงรสต่าง ๆ เคี่ยวจนน้ำซุปเริ่มได้ที่ ก็ยกเตาต้มน้ำร้อนมาตัวหนึ่ง หลังจากก่อไฟเสร็จ ก็ยกไปที่ห้องโถงหลัก วางหม้อเหล็กขนาดใหญ่ลงไปบนนั้น ต้มจนน้ำเดือดดังปุด ๆ เอาพวกผักเครื่องเคียงไปวางไว้บนโต๊ะที่อยู่ข้าง ๆ จากนั้นทุกคนก็มานั่งล้อมวงรอบ ๆ เตา
พวกซิ่วฉายเหล่านี้ นับตั้งแต่อุณหภูมิลดต่ำลง แต่ละคน ๆ ก็ได้แต่ขดตัวจนกลมเป็นลูกบอลเพราะความเหน็บหนาว มาวันนี้ถึงพอจะเรียกได้ว่าอุ่นขึ้นบ้าง ยิ่งได้กินหม้อไฟ ก็ยิ่งทำให้มีความสุขขึ้นไปอีก
กระทั่งอาจารย์ที่ปกติจะคอยดุว่าตำหนิพวกเขาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ก็ยังจดจ่ออยู่กับการกินหม้อไฟเช่นกัน
อาหารที่ได้รับความนิยมที่สุด ก็คือลูกชิ้นเนื้อวัวกับลูกชิ้นปลา รอจนพวกเขากินจนหมดแล้ว ก็ยังรู้สึกไม่หนำใจนึกอยากจะกินอีก
ขณะที่ทุกคนกำลังกินอย่างมีความสุข จ้าวจงตี้ก็พูดด้วยสีหน้าแช่มชื่นว่า: “ป้ากุ้ยหลาน วันนี้ข้าได้รับรางวัลชนะเลิศในการเขียนบทกลอน ขอมอบกลอนบทนี้ให้ท่านดีหรือไม่?”
“พวกเจ้ายังมีการแข่งขันกันด้วยรึ? ไหนลองอ่านให้ข้าฟังหน่อยซิ” โจวกุ้ยหลานวางตะเกียบลง แล้วมองไปที่จ้าวจงตี้
เมื่อเห็นว่านางสนใจ คนอื่นที่เหลือจึงอ่านบทกลอนของตัวเองให้โจวกุ้ยหลานฟังทีละคนจนครบ ตอนนี้เองที่นางเพิ่งรู้ว่า พวกเขาแต่ละคนต่างก็มีความสามารถที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลยจริง ๆ
แต่พวกบัณฑิตเหล่านี้ซึ่งในเวลาปกติมักจะเข้มงวดจริงจังกับการเรียน ยังอุตสาห์มีเวลาว่างมาประชันขันแข่งอะไรแบบนี้กันด้วย ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่นางคิดไม่ถึงเลยจริง ๆ
“พอดีเลย ในนี้ยังมีเนื้อวัวชิ้นสุดท้ายเหลืออยู่ ข้าให้เจ้ากิน ถือเสียว่าเป็นรางวัลที่เจ้าชนะเลิศอันดับหนึ่งไปก็แล้วกัน!”
โจวกุ้ยหลานพูดพลางหยิบตะเกียบส่วนกลางขึ้นมา แล้วคีบเนื้อยื่นส่งให้จ้าวจงตี้
เมื่อเห็นดังนั้น จ้าวจงตี้ก็ยกชามไปรองไว้ใต้ตะเกียบของโจวกุ้ยหลาน รับเนื้อชิ้นนั้นมาจากนาง
เห็นเขากินอย่างมีความสุข โจวกุ้ยหลานก็มีความสุขด้วย เรื่องที่ทำให้คนทำอาหารมีความสุขที่สุด ก็คือการที่คนอื่นกินอาหารที่ตัวเองทำจนหมดเกลี้ยงนี่แหล่ะ
บางครั้งการแข่งขันประชันความสามารถแบบนี้กันสักตั้ง ก็ถือได้ว่าเป็นการปรับสมดุลชีวิตที่ดีมาก ๆ เลยทีเดียว…..
การแข่งขัน?
การแข่งขันงั้นเหรอ!
ดวงตาของโจวกุ้ยหลานเป็นประกาย นางยั้งใจไม่ไหวรีบวางตะเกียบลง ลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งออกไปข้างนอกทันที
“ป้ากุ้ยหลาน?”
ทุกคนต่างตะโกนร้องเรียกนาง แต่นางไม่มีแม้แต่เวลาจะหันหน้ากลับมามองด้วยซ้ำ แค่โบก ๆ มือไปด้านหลังแล้วตะโกนเสียงดังว่า: “ข้ายังมีเรื่องที่ต้องไปทำ พวกเจ้ากินเสร็จอย่าลืมเก็บกวาดทำความสะอาดให้เรียบร้อยนะ!”