นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 357 การแข่งขันราชันย์นักกินจุ 2
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 357 การแข่งขันราชันย์นักกินจุ 2
“ได้ ข้าเข้าร่วม!” ขอทานคนนั้นก็ไม่มีท่าทีกลัวคนเหมือนกัน ปีนจากใต้พื้นเวทีขึ้นไปแล้วไปยืนเด่นหราอยู่บนเวที
จากนั้นเขาก็หันไปโบกไม้โบกมือให้คนกลุ่มหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล: “พี่น้องทั้งหลาย! ที่นี่มีอาหารให้กินเปล่า ๆ ไม่ต้องเสียเงิน รีบมาเร็วเข้า!”
โจวกุ้ยหลานมองตามสายตาของเขาไป ก็เห็นว่ามีขอทานนับสิบ ๆ คนนั่งรวมกลุ่มกันอยู่ข้างกำแพงซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลจากตรงนี้ เมื่อสิ้นเสียงเรียก บรรดาขอทานเหล่านั้นต่างก็ลุกขึ้น แล้ววิ่งตรงดิ่งมาทางนี้ทันที
คนที่เดิมทีมายืนออกันอยู่ใต้เวที ต่างรีบเบียดตัวหลบไปอีกด้านอย่างรวดเร็ว จนเป็นการเปิดทางเดินสายหนึ่ง ให้พวกขอทานเหล่านั้นวิ่งมาได้โดยสะดวก
กลุ่มขอทานเหล่านั้นก็ไม่มัวเกรงใจอะไรแล้ว ต่างพากันเดินจ้ำพรวด ๆ มาตามเส้นทางที่เปิดโล่งนั้น แล้วทยอยปีนขึ้นไปบนเวที เข้าไปยืนล้อมรอบโจวกุ้ยหลาน ก่อนจะถามนางด้วยสีหน้าตื่นเต้นยินดีว่า “พวกเราเข้าร่วมด้วยได้หรือไม่?”
“ร่วมแข่งได้หมดทุกคน ชั่วระยะเวลาหนึ่งก้านธูป พวกเจ้ากินได้มากเท่าไหร่ ก็กินได้มากเท่านั้น”
ทันทีที่โจวกุ้ยหลานพูดจบ ขอทานกว่าสิบคนนั้น ต่างก็ดีใจจนพากันกระโดดโลดเต้นไม่หยุด จนเวทีทำท่าว่าจะรับแรงกระแทกเหล่านี้ไม่ไหว เริ่มสั่นไหวโคลงเคลงไปตามแรงกระโดดเหล่านั้นหลายต่อหลายครั้ง
โจวกุ้ยหลานรีบหยุดพวกเขา ไม่ปล่อยให้พวกเขากระโดดโลดเต้นต่อ จากนั้นก็ให้พวกเขาไปที่โต๊ะเพื่อแจ้งลงทะเบียนชื่อของแต่ละคน แล้วให้ป้ายหมายเลขผู้เข้าแข่งขันกับพวกเขา เสร็จแล้วก็ให้ทุกคนไปนั่งหน้าโต๊ะแข่งขัน โดยหันหน้าไปทางคนที่อยู่ด้านล่าง
ขอทานสกปรกมอมแมมกลุ่มหนึ่ง มานั่งเรียงกันเป็นแถวหน้ากระดานอย่างพร้อมเพรียง ภาพฉากนั้นทำเอาผู้คนที่เห็น ถึงกับตกตะลึงอึ้งค้างไปเลยทีเดียว
ไป๋ยี่เซวียนเข้าไปดึงตัวโจวกุ้ยหลานเข้ามา ก่อนจะกระซิบบอกให้นางคิดดี ๆ ว่า: “ถ้าพวกเขามานั่งกันแบบนี้ คนชุดหลังก็จะไม่มีทางยอมเข้ามาร่วมการแข่งขันแล้วนะ เจ้าต้องคิดให้มันดี ๆ สิ!”
“ประเด็นหลักของพวกเราคือต้องการสร้างชื่อเสียง ถ้าไม่ให้พวกเขาเข้าร่วม คนอื่นก็ไม่มีทางขึ้นมา ไม่สู้ปล่อยให้พวกเขากินไปเสียยังจะดีกว่า เพื่อไม่ให้พวกอาหารที่เราเตรียมไว้เน่าเสียจนต้องโยนทิ้งไปเปล่า ๆ ยังมีโค้กพวกนั้นอีก ถ้าเจ้ายังไม่ยอมให้ใครสักดื่ม อีกไม่ถึงสองวันมันก็จะหมดอายุแล้วนะ”
เมื่อเห็นว่าโจวกุ้ยหลานยืนยันหนักแน่น แม้ว่าในใจของไป๋ยี่เซวียนจะไม่ค่อยเห็นด้วยสักเท่าไหร่ แต่การหักหน้านางในเวลานี้ก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ดี จึงได้แต่ต้องยอมเออออห่อหมกไปด้วย
โจวกุ้ยหลานก้าวไปข้างหน้าเพื่อสั่งเตรียมอาหาร พ่อครัวหลายคนนำแฮมเบอร์เกอร์ กับโค้กอีกห้าขวดขึ้นไปวางลงตรงหน้าผู้เข้าแข่งขันแต่ละคน
ขอทานที่หิวโหยมานานเหล่านั้น พอได้เห็นอาหารแล้วต่างก็กลืนน้ำลายกันไม่หยุด สายตาจับจ้องไปที่แฮมเบอร์เกอร์ตรงหน้าเขม็ง
แต่เพราะเมื่อครู่นี้ได้ยินว่าพวกเขาต้องเริ่มพร้อมกัน เลยทำได้แค่ต้องอดทนไว้
โจวกุ้ยหลานสั่งให้คนจุดธูปดอกหนึ่ง แล้วตามด้วยการประกาศว่า “เริ่มได้” บรรดาขอทานที่อดทนกันอยู่นานแล้วกลุ่มนั้นก็ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นแล้ว แต่ละคน ๆ คว้าเบอร์เกอร์ด้วยมือทั้งสองข้าง แล้วยัดใส่ปากอย่างรวดเร็ว
หลังจากกัดไปแล้วคำหนึ่ง ก็พบว่าถึงกับมีเนื้อชิ้นใหญ่อยู่ข้างใน ดวงตาของพวกเขาทอประกายเจิดจ้า ระดับความเร็วในการกินยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก
ผู้คนที่มามุงดูเห็นฉากนี้เข้าไป ต่างก็พากันหัวเราะ
ไป๋ยี่เซวียนมองดูคนเหล่านั้น ในใจพลันเกิดความรู้สึกสับสนงงงันเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่านอกจากพวกเขาจะไม่เดินจากไปแล้ว ยังถึงกับเบียดเสียดกันเข้ามาชมดูด้วยความกระตือรือร้นมากขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ
หลังจากที่ขอทานกลุ่มนั้นกินแฮมเบอร์เกอร์ในมือหมดแล้ว ก็รู้สึกกระหายน้ำขึ้นมานิดหน่อย จึงเอื้อมมือไปหยิบขวดที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ แล้วใช้ความพยายามอย่างมากในการเปิดฝาขวดออก จากนั้นก็เทใส่ปากตัวเองจนเกิดเสียงดังเอื้อก ๆ
พวกเขาทางนี้กินอย่างมีความสุข ในกลุ่มของพวกเขาคนที่กินเก่งที่สุด พอกินแฮมเบอร์เกอร์ไปถึงชิ้นที่สี่ก็เริ่มอิ่มแล้ว แต่ละคน ๆ ต่างก็กุมท้องตัวเอง แนบตัวพิงเก้าอี้ไม่สามารถยืดตัวให้ตรงได้
“โย่ว! แค่นี้ก็กินอิ่มแล้วรึ? ข้าเห็นว่าบางคนยังกินไอ้เจ้าก้อน ๆ อะไรนั่นไปได้แค่สองอันเองนะ?”
“ข้าดูแล้วเหมือนจะมีอะไรไม่ถูกต้องนะ? คนพวกนี้ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ชายทั้งนั้น ต่อให้กินได้น้อยแค่ไหน ก็ไม่น่าจะกินได้นิดเดียวก็อิ่มจนจุกแบบนี้สิ?”
คนที่ยืนอยู่ด้านล่างต่างก็ชี้ไปที่พวกเขา แล้วพูดวิจารณ์กันอย่างออกรสออกชาติ
แถมขอทานเหล่านั้นก็ได้แต่เอนตัวพิงกับโต๊ะ ไม่มีใครขยับเขยื้อนไหวเลยซักคน
ในใจของพวกเขาต่างก็รู้สึกไม่พอใจ ทั้ง ๆ ที่มีอาหารอยู่ตรงหน้าแท้ ๆ อีกทั้งข้างในนั้นยังมีเนื้อตั้งเยอะเลยด้วย ทำไมพวกเขาถึงกินไม่ลงเสียแล้วล่ะ? เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าแฮมเบอร์เกอร์ชิ้นหนึ่ง มันมีขนาดแค่เท่าฝ่ามือของพวกเขาเองแท้ ๆ!
คิดไป ๆ หนึ่งในนั้นยังถึงกับเรอออกมาเลยทีเดียว
ทุกคนเหลือบไปมองเวลา ธูปนั้นยังไหม้ไปไม่ถึงครึ่งดอกเลยด้วยซ้ำ
“ข้าว่านะ พวกเขารีบกินเร็วเกินไป เล่นยัดเสียขนาดนั้นแป๊บเดียวก็อิ่มแล้ว ถ้าเป็นข้าล่ะก็ ข้าจะกินแบบช้า ๆ รับรองเลยว่าข้าสามารถกินไอ้เจ้าก้อน ๆ อะไรนั่นของพวกเขาได้หมดอย่างแน่นอน!”
“เจ้าพูดเสียขนาดนี้ งั้นก็ขึ้นไปแข่งกับเขาสิ อย่างไรก็ไม่เสียเงินอยู่แล้วนี่!”
“แล้วทำไมเจ้าไม่ขึ้นไปล่ะ? อาหารนั่นพวกขอทานแตะต้องไปแล้ว ยังไงข้าก็ไม่ไปเด็ดขาด!”
ด้านล่างเอะอะเซ็งแซ่ไปหมด พวกขอทานที่เหลือซึ่งไม่ได้ขึ้นไปแข่งด้วยเฝ้ามองอยู่อีกฝากด้วยความร้อนใจ : “พวกเจ้ารีบกินเร็ว ๆ เข้าสิ ! มีของให้กินทำไมยังไม่รีบกินอีกเล่า?!”
“ข้า…..เอิ้ก….ข้ากินไม่ไหวแล้ว….” หนึ่งในผู้เข้าแข่งขันสิบกว่าคนที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะแข่งขัน ตอบกลับมาประโยคหนึ่ง
เมื่อครู่นี้เขายังคิดอยู่ว่าจะทั้งกินทั้งดื่มของพวกนี้ให้หมดไม่มีเหลือ แต่ใครจะรู้ล่ะว่า เพิ่งจะกินไอ้เจ้าก้อน ๆ อะไรนั่นไปได้แค่สามก้อน กับดื่มโค้กไปได้แค่สองขวด ก็จะอิ่มจนจุกขนาดนี้แล้ว?
“พวกเจ้านี่มันช่างไร้น้ำยาสิ้นดี!”
ขอทานที่อยู่ข้างนอกท้องร้องจ๊อก ๆ ดังลั่น ตาก็มองไปที่อาหารเหล่านั้น นึกแค้นใจที่เหล่าพี่น้องนับสิบที่นอนอืดอยู่บนเก้าอี้เหล่านั้น เป็นได้แค่เหล็กไร้ประสิทธิภาพที่หลอมเท่าไหร่ก็ไม่ยอมกลายเป็นเหล็กกล้า (*เป็นคำอุปมาว่าไม่สบอารมณ์ต่อความไม่เอาถ่านของผู้ที่ตนคาดหวังไว้)
โจวกุ้ยหลานอดหัวเราะออกมาไม่ได้ โค้กกับแฮมเบอร์เกอร์พวกนี้เรียกว่าเป็นของคู่กัน แน่นอนว่าพอกินคู่กัน ย่อมทำให้อิ่มง่าย
แต่พวกเขาเตรียมพวกวัตถุดิบที่ใช้ทำแฮมเบอร์เกอร์ไว้เยอะมาก มีอีกเยอะที่ยังไม่ถูกแตะต้อง รวมทั้งยังมีโค้กด้วย เก็บไว้ก็มีแต่จะเสียเปล่า….
“ไม่งั้น รออีกเดี๋ยวพวกเราค่อยจัดการแข่งขันรอบที่สองต่อกันดีไหม ? วันนี้เราเอาอาหารพวกนี้ให้พวกเขากินให้หมดเลยเถอะนะ?” โจวกุ้ยหลานโน้มตัวไปกระซิบใกล้ ๆ หูของไป๋ยี่เซวียน
ไป๋ยี่เซวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้า ตามด้วยสั่งให้ลูกจ้างคนหนึ่งที่อยู่ข้าง ๆ ไปหาขอทานที่ยืนอยู่ข้างเวที บอกให้เขาเรียกคนอื่นมา วันนี้จะเอาอาหารพวกนี้ให้ทุกคนกินให้หมด
ขอทานคนนั้นดีใจจนเนื้อเต้น รีบไปเรียกขอทานคนอื่น ๆ ที่อยู่ด้านล่างเวทีให้เข้ามารวมตัวกัน
ผู้คนที่สัญจรไปมาตรงบริเวณสี่แยกนี้ ต่างพากันมองไปที่ขอทานบนเวที ทุกคนล้วนหยุดเพื่อมาร่วมชมดูความสนุกคึกคัก ปากก็เอ่ยถามคนที่อยู่ข้าง ๆ แบบไม่จริงจังนักไปประโยคหนึ่ง คนเหล่านั้นต่างก็รู้สึกว่ามันน่าพิศวงมากเหมือนกัน จึงบอกเล่าเรื่องราวอันสุดจะแปลกประหลาดนี้ให้พวกเขาฟังโดยละเอียด
“เจ้าว่าพวกเขาโง่ไหมล่ะ? ให้คนมากินมาดื่มอาหารของตัวเองเปล่า ๆ ไม่พอ ยังมีเงินให้อีก!”
“ข้าว่านะ ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาคงได้ยากจนสิ้นเนื้อประดาตัวแน่!”
ผู้คนรอบข้างต่างพูดวิพากษ์วิจารณ์ถึงเรื่องนี้ บรรดาผู้ที่มาใหม่เหล่านั้นรู้สึกไม่ค่อยอยากจะเชื่อนัก
“พวกเขาให้คนมากินเปล่า ๆ เลยจริงรึ?”
“ก็ใช่น่ะสิ แถมขอทานพวกนี้ยังมีเงินในกระเป๋าหรือ?”
“ในเมืองหลวงแห่งนี้มีขอทานอยู่ไม่ใช่น้อย ๆ เลยนะ พวกเขาทำแบบนี้ น่ากลัวว่าร้านอะไรนั่นของพวกเขาคงได้ขาดทุนป่นปี้แน่!”
ยิ่งมีคนพูดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเสียงดังมากขึ้นเท่านั้น ผู้คนที่เข้ามาดูก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ
รอจนขอทานกลุ่มที่สองมาถึง ก็ไม่ใช่แค่สิบคนแล้ว แต่มากันเป็นหลายสิบคนเลยทีเดียว
ตลอดทางที่พวกเขาวิ่งมา ผู้คนที่เดิมทียืนอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุด ก็ทยอยสละตำแหน่งที่ยืนของตัวเองให้พวกขอทานไปทีละคนสองคน ด้วยเพราะกลัวว่าจะไปเปื้อนโดนพวกฝุ่นผงดินโคลนอะไรพวกนั้นเข้า
รอจนธูปดอกแรกไหม้หมดแล้ว คนกลุ่มแรกก็ถูกคนช่วยพยุงลงไปจากเวที จากนั้นคนกลุ่มที่สองก็ขึ้นไปนั่งหน้าโต๊ะแข่งขันต่อ
ยึดตามกติกาการแข่งขันเดิม แต่ละคนจะมีแฮมเบอร์เกอร์สิบชิ้น กับโค้กคนละห้าขวด รอจนธูปถูกจุดขึ้นแล้ว พวกเขาต่างก็ยัดอาหารเข้าปากอย่างไม่คิดชีวิต แต่หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็อิ่ม มีบางคนที่รออีกครู่หนึ่ง แล้วค่อยยัดแฮมเบอร์เกอร์เข้าปากอย่างช้า ๆ แต่สุดท้ายก็ยังกินไม่หมดชิ้น ฝืนกินไปได้แค่ครึ่งเดียว
คนที่ยังไม่ได้กินซึ่งอยู่ด้านล่าง ต่างก็ร้อนใจกันจนอยู่ไม่สุข ชี้แนะสอนสั่งพวกเขาว่าต้องกินอย่างนั้นสิต้องกินอย่างนี้สิ แต่กลับไม่มีประโยชน์อะไรเลยแม้แต่น้อย
ตอนนี้มีแต่เสียงดังเอะอะอื้ออึงไปหมดแล้ว นักบัญชีที่อยู่ข้าง ๆ หยิบพู่กันขึ้นมา จับคู่อาหารที่พวกเขากินกับชื่อของพวกเขา แล้วจดบันทึกลงไปทีละคน ๆ