นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 359 ประสบความสำเร็จครั้งใหญ่
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 359 ประสบความสำเร็จครั้งใหญ่
“เจ้านี่ข้ารับไว้ไม่ได้! พวกเราล้วนได้กินจนอิ่มทุกคนแล้ว!” เสี่ยวเก๋อไม่มีท่าทีลังเลเลยแม้แต่น้อย ผลักเงินรางวัลนั้นกลับคืนไปทันที
ผู้คนที่อยู่ด้านล่างก็วุ่นวายโกลาหลขึ้นมาเช่นกัน พวกเขาคิดไม่ถึงเด็ดขาด ว่าเงินรางวัลที่ว่านี้จะเป็นของจริง ในโลกใบนี้มันมีเรื่องดี ๆ อย่างได้กินของคนอื่นเปล่า ๆ ไม่พอ ยังได้เงินก้อนโตมาเปล่า ๆ อยู่จริง ๆ ด้วย
ชั่วขณะหนึ่ง ทุกคนล้วนตกอยู่ในความโกลาหลอีกครั้ง
ไป๋ยี่เซวียนถึงกับตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็รีบกลับมายิ้มแย้มตามปกติ: “ให้เจ้า เจ้าก็รับไว้เถอะ นี่เป็นสิ่งที่เจ้าสมควรได้รับอยู่แล้ว เพราะถึงอย่างไร เจ้าก็เป็นถึงราชันย์นักกินคนแรกของร้านร้านไก่ทอดผิ่นเว่ยของเราเชียวนะ”
ขณะที่พูด เขาก็อดยิ้มแย้มออกมาไม่ได้
เหตุการณ์ในวันนี้เกินความคาดหมายของเขาไปมาก พอก้มมองไปที่ผู้คนด้านล่าง ถ้ามองแค่แวบเดียวเขาไม่เห็นจุดสิ้นสุดของปลายแถวเลยด้วยซ้ำ
เสี่ยวเก๋อยังคิดจะปฏิเสธ แต่ไป๋ยี่เซวียนโน้มตัวเข้าไปใกล้หูของเขาแล้วเรียบร้อย กระซิบเสียงเบาว่า: “เจ้าคงไม่คิดจะทำให้ข้าเสียหน้าต่อหน้าผู้คนมากมายขนาดนี้หรอกใช่ไหม?”
เสี่ยวเก๋อชะงักไปชั่วครู่ สุดท้ายก็ยอมรับไป
ไม่รู้ว่าใครเป็นคนแรกที่ปรบมือ คนอื่นที่เหลือจึงปรบมือตามพลางร้องชมว่าดีไม่ขาดปาก ภาพฉากตรงหน้าสนุกสนานครึกครื้นอย่างยิ่ง
“ทุกท่าน นี่ก็เที่ยงแล้ว คิดว่าทุกท่านคงจะหิวแล้วแน่ ๆ ทุกท่านเข้าไปหาอะไรกินในโรงเตี๊ยมสักหน่อยดีหรือไม่?” ไป๋ยี่เซวียนพูดจาโน้มน้าว พลางทำท่าเชื้อเชิญคนที่ยืนเบียดกันอยู่ข้างนอก
มือที่เชื้อเชิญนั้น หันเข้าหาโรงเตี๊ยมที่อยู่ด้านหลังพวกเขา
หลังจากได้เห็นคนอื่นกินมาตลอดทั้งเช้า ตอนนี้พวกเขาจึงรู้สึกหิวมากจริง ๆ พวกคนที่อยู่ข้างหน้าจึงเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยม
ผ่านไปไม่นาน โรงเตี๊ยมที่ว่างเปล่าก็มีคนนั่งจนเต็มทุกโต๊ะ เถ้าแก่โรงเตี๊ยมแห่งนั้นรีบตัดสินใจอย่างว่องไวเฉียบขาด โดยสั่งให้จัดโต๊ะเพิ่มที่สวนหลังโรงเตี๊ยมอีกหลายโต๊ะ ถึงขั้นใช้ห้องว่างของตัวเองจัดเป็นที่นั่งพิเศษให้แขกนั่งกินข้าวอีกด้วย
แต่ถึงแม้ว่าเขาจะทำถึงขนาดนี้แล้ว ก็ยังยัดคนเข้าไปได้ไม่เท่าไหร่
ส่วนพวกคนที่เข้าไปไม่ได้ก็ร้องด่าโวยวายอยู่ข้างหลัง มีบางคนที่ไม่อยากรอโต๊ะแล้ว จึงไปยังร้านอาหารและโรงเตี๊ยมอื่นที่อยู่ใกล้ ๆ แทน
พวกโจวกุ้ยหลานรีบเก็บกวาดข้าวของบนเวทีอย่างรวดเร็ว พวกขอทานที่ได้กินจนอิ่มแปล้เหล่านั้นต่างก็ไม่อยู่เฉย รีบช่วยพวกเขาคนละไม้คนละมือทันที
พอมีคนเยอะเข้า ช่วยกันทำงานก็ยิ่งเสร็จเร็วขึ้นมาก
ตอนที่คนยังแยกย้ายกันไปไม่หมด ก็จัดการเก็บกวาดของเหล่านี้เสร็จหมดแล้ว หลายคนทำได้แค่นั่งรอบนเวที จนพื้นที่ทางนี้เริ่มเปิดโล่งบ้างแล้ว ทุกคนค่อยเอาข้าวของใส่เข้าไปในรถม้า แล้วให้คนส่งของเหล่านี้กลับไปก่อน ส่วนนางกับไป๋ยี่เซวียนรออยู่ที่นี่
เจ้าของโรงเตี๊ยมรีบวิ่งกระหืดกระหอบออกมา ยกนิ้วแสดงความชื่นชมไปให้ไป๋ยี่เซวียน: “ยี่เซวียนอ่า ยังไงก็ต้องชมเจ้าที่เก่งกาจสามารถเหลือเกินแล้วจริง ๆ ใช้ลูกไม้ชักชวนแบบนี้ ถึงกับมีคนมาเยอะซะจนร้านของข้านั่งได้ไม่หมดเลยเชียวนะ!”
แม้ว่าธุรกิจที่โรงเตี๊ยมนี้ของเขาจะนับว่าไม่เลว แต่ที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีลูกค้ามากมายขนาดนี้มาก่อน!
“สถานที่นี้ของเจ้าให้ข้ายืมใช้ครั้งหนึ่ง คุ้มเกินคุ้มเลยใช่หรือไม่ล่ะ?” ไป๋ยี่เซวียนตอบรับด้วยรอยยิ้ม
เถ้าแก่ร้านคนนั้นพยักหน้ารับถี่ ๆ ยิ้มจนตายิบหยีแล้วพูดว่า: “จากนี้ไปขอเพียงเจ้าต้องการ บอกข้าได้ตลอดเวลาเลยนะ ลานตรงนี้ข้ายินดีสงวนไว้ให้เจ้าใช้ได้เสมอ!”
“อย่าเลย ถ้ามีครั้งที่สองอีกล่ะก็ ข้าคงได้ขายสมบัติเก่ากินจนหมดแน่แล้ว” ไป๋ยี่เซวียนตอบรับด้วยรอยยิ้มกว้างจนตายิบหยีไม่แพ้กัน
มองดูสองคนที่กำลังคุยกันอย่างออกรส โจวกุ้ยหลานก็ยกยิ้มพลางส่ายหน้า
ไป๋ยี่เซวียนคนนี้นี่นะ สมกับเป็นมือดีเรื่องทำการค้าการขายจริง ๆ ถึงกับชี้นำให้คนที่มามุงดูเข้าไปในโรงเตี๊ยมแบบนี้ นับได้ว่าเป็นการคืนหนี้น้ำใจให้กับเถ้าแก่โรงเตี๊ยมคนนี้ได้อย่างหมดจดแล้ว
หลังจากที่ทั้งสองคุยกันได้สักพัก เถ้าแก่คนนั้นก็เข้าไปในโรงเตี๊ยมของตัวเองเพื่อทักทายลูกค้าต่อ
พวกเขาใช้เวลาไปจนหมดช่วงบ่าย ก็สามารถส่งข้าวของทั้งหมดที่พวกเขานำมา กลับไปที่ร้านของตัวเองได้เสร็จสิ้นเรียบร้อย
รอจนไม่มีใครแล้ว เสี่ยวเก๋อก็แอบยัดเงินในมือของเขาใส่เข้าไปในมือของไป๋ยี่เซวียนอีกครั้ง ส่วนไป๋ยี่เซวียนก็ผลักเงินนั้นกลับไปเช่นกัน
โจวกุ้ยหลานตบมือแล้วเดินเข้าไปหา เมื่อเห็นว่าเสี่ยวเก๋อจะเป็นจะตายก็ไม่ยอมรับเงินรางวัลไป นางก็เม้มปากแล้วพูดว่า “เจ้ารับไปเถอะ ถ้าเป็นคนอื่นที่ชนะ เงินรางวัลนี้ก็ต้องให้คนอื่นอยู่ดี”
“พวกเราจะกินเปล่า ๆ รับเงินเปล่า ๆ ไม่ได้ ถ้าข่าวนี้กระจายออกไปมันจะไม่ดีกับพวกเรา!” เสี่ยวเก๋อยังคงยืนกราน
วันนี้พวกขอทานทุกคนที่อยู่ในละแวกนี้ต่างก็ได้กินจนอิ่ม ชนิดที่ว่าถึงพรุ่งนี้ก็คงจะยังไม่หิวเลยด้วยซ้ำ นี่เป็นอะไรที่นับว่าไม่เลวแล้ว
โจวกุ้ยหลานยิ้มพลางส่ายหน้า “ถ้าอย่างนั้นเอาแบบนี้นะ พวกเจ้าแค่ไปบอกเล่ากระจายข่าวการแข่งขันครั้งนี้ รวมถึงร้านค้าของพวกเราออกไปให้มาก ๆ ช่วยพูดดึงดูดลูกค้ามาให้พวกเราเยอะ ๆ พอถึงตอนนั้น พวกเราก็จะหาเงินคืนมาได้แล้วไม่ใช่รึ?”
ไป๋ยี่เซวียนก็พยักหน้าเห็นด้วย: “ถูกต้อง พวกเจ้าช่วยกระจายข่าวเรื่องร้านของเราออกไปเยอะ ๆ ให้ข่าวนี้มันแพร่ออกไปจนกระฉ่อนทั่วทุกซอกทุกมุมของเมืองหลวงเลยนะ”
“เรื่องนี้ไม่มีปัญหา! พวกเราถึงแม้จะไม่มีอะไร แต่มีดีก็ตรงที่คนเยอะนี่แหล่ะ!” ขอทานคนหนึ่งที่อยู่ข้างหลังเสี่ยวเก๋อตบหน้าอกตัวเองผาง ๆ ด้วยท่าทางยินดี
เสี่ยวเก๋อมีท่าทีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่ยืนกรานอะไรต่อ พูดขึ้นทันทีว่า: “ได้ ข้ารับรองเลยว่าทุกคนจะต้องรู้จักร้านไก่ทอดของพวกเจ้า ได้รู้ว่าโค้กของพวกเจ้าอร่อยแค่ไหน กับเจ้าสิ่งที่เรียกว่าแฮมเบอร์เกอร์นั่นก็อร่อยมากไม่แพ้กันด้วย!”
เมื่อสรุปเรื่องนี้ได้แล้ว พวกขอทานเหล่านั้นต่างก็ค่อย ๆ แยกย้ายกันไป
ไป๋ยี่เซวียนช่วยประคองโจวกุ้ยหลานเข้าไปในรถม้า ระหว่างที่นางเหยียบเก้าอี้วางขา เขาก็ช่วยจับมือของนางไว้ให้มั่น
โจวกุ้ยหลานหันหน้ามายิ้มให้เขา แล้วขึ้นรถม้าไป
ภาพฉากนี้ ล้วนตกอยู่ในสายตาของชายคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่บนชั้นสองของร้านอาหารฝั่งตรงข้าม เขาบีบแก้วเหล้าที่ยกขึ้นมาถือไว้ในมือจนแน่น
เสียง “เพล้ง” ดังขึ้นเสียงหนึ่ง แก้วเหล้าใบนั้นก็แตกออกเป็นหลายต่อหลายเสี่ยง
เขาวางแก้วเหล้าลงกับพื้นแรง ๆ แล้วลุกขึ้นเดินออกไปอย่างรวดเร็ว เมื่อลงมาถึงชั้นล่าง เถ้าแก่ร้านคนนั้นเห็นว่าเขาลงมาแล้ว จึงรีบเข้าไปทักทายทันที
สวีฉางหลินล้วงมือเข้าไปหยิบแท่งเงินชิ้นหนึ่งออกมาส่งให้เขา ไม่สนใจเถ้าแก่ร้านผู้เข้ามาต้อนรับอย่างกระตือรือร้นสักนิด ก้าวขาเดินออกไปเอง ก็เห็นว่ารถม้าคันนั้นได้แล่นออกไปไกลในระดับหนึ่งแล้ว
เขากำหมัดแน่น ไฟโทสะในใจพวยพุ่งแผดเผา แทบจะกลืนกินสติที่รู้เหตุรู้ผลของเขาไปจนหมด
หลังจากลสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ หลายครั้ง เขาก็ค่อย ๆ สงบสติอารมณ์ที่นึกอยากจะพุ่งไปข้างหน้าเอาไว้ได้ หันหลังกลับ แล้วมุ่งหน้าไปยังทิศทางอื่น
จากนั้นในอีกไม่กี่วันต่อมา เมื่อเขาได้ยินข่าวลือหนึ่งที่ลือกันจนกระฉ่อนทั่วทุกตรอกซอกซอยในเมืองหลวงว่า คู่สามีภรรยาแห่งร้าน “ร้านไก่ทอดผิ่นเว่ย” จัดการแข่งขันราชันย์นักกินจุ เขาก็แทบจะอดใจไม่ไหว อยากเอากำปั้นยัดปิดปากทุกคนที่พูดเรื่องนี้ให้มันสงบปากสงบคำสักที
นั่นคือภรรยาของเขา! ภรรยาของเขา!
โจวกุ้ยหลานเป็นภรรยาของเขาสวีฉางหลินคนนี้ต่างหาก!
แค่คำคำนี้เขาทำได้แค่กู่ร้องก้องตะโกนอยู่ภายในใจ นี่ยิ่งทำให้เขาอึดอัดขัดข้องใจมากขึ้นไปอีก
ดังนั้น บรรดาคนที่ได้พบกับนายพลสวีตัวเป็น ๆ ในช่วงหลายวันมานี้ จึงสามารถสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันเย็นเฉียบที่แพร่กระจายมาจากนายพลสวีไม่ได้ขาด แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทุกคนทำได้แค่เดินอ้อม ๆ เขาไป
แน่นอนว่า คำพูดเหล่านี้ก็เป็นอะไรที่พูดกันเวลาอยู่ลับหลังด้วย
โจวกุ้ยหลานตามไป๋ยี่เซวียนกลับไปที่ร้าน นับจำนวนสินค้าที่ยังเหลือค้างในคืนนั้น พบว่าพวกโค้กที่กำลังจะหมดอายุได้ถูกดื่มไปจนหมดเกลี้ยงแล้ว เรียกได้ว่าไม่มีเสียเปล่าเลย รวมถึงเบอร์เกอร์เหล่านั้นที่เตรียมไว้ ก็เหมือนว่าจะถูกกินไปจนเกือบหมดเลยทีเดียว
บรรดาลูกจ้างในร้านต่างก็มีความสุขกันจนล้นปรี่ ของที่พวกเขาเตรียมไว้ถูกกินจนหมด
รอจนถึงตอนที่พวกเขาจัดการทุกอย่างเรียบร้อย ท้องฟ้าก็มืดสนิทแล้ว
วันต่อมาเมื่อโจวกุ้ยหลานลุกขึ้นจากที่นอน อาบน้ำอาบท่าเสร็จ ก็ตรงดิ่งไปที่ร้านท่ามกลางท้องฟ้าอันสว่างสดใส
ระหว่างที่เดินอยู่บนท้องถนน ก็พบว่ามีคนเยอะกว่าวันก่อน ๆ มาก
นางยังรู้สึกแปลกใจอยู่เล็กน้อย ทั้งคิดไม่ออกด้วยว่ามีเทศกาลอะไร
รอจนไปถึงที่ร้าน นางก็ยิ่งแปลกใจขึ้นกว่าเดิมแล้ว
ในร้านนี้ ถึงกับมีคนนั่งอยู่จนเต็มร้าน!
นางใช้หลังมือขยี้ ๆ ตา จนเห็นชัดว่าเป็นคนที่นั่งอยู่จนเต็มร้านจริง ๆ!
อีกทั้งบรรดาลูกจ้างต่างก็ยุ่งกันจนมือไม้เป็นระวิง ส่วนคนที่นั่งอยู่ในร้านก็พูดคุยสนทนากันไปเรื่อย ๆ เรียกได้ว่ากิจการดีกว่าเมื่อก่อน ในตอนที่กิจการของพวกเขาดีที่สุดเสียอีก!
นางก็ไม่รอช้าแล้ว รีบตรงดิ่งไปที่ครัว ก็เห็นว่าพ่อครัวทั้งสองต่างก็ทำงานยุ่งวุ่นวายเป็นพัลวันจนเริ่มเวียนหัวตาลายไปตาม ๆ กันแล้ว
หลังจากล้างมือแล้ว นางก็สวมผ้ากันเปื้อนแล้วเข้าไปช่วยทันที ตอนนี้ที่ร้านของนางยังไม่ได้มีรสชาติอาหารที่หลากหลายนัก มีเพียงอาหารพื้น ๆ ไม่กี่อย่าง
ยุ่งวุ่นวายกันแบบนี้ไปจนถึงเที่ยง รอจนพวกเมิ่งเจียงได้มาเห็นภาพฉากนี้ พวกเขาก็แทบจะตกตะลึงจนตาค้างกันไปเลย