นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 368 ฝัน
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 368 ฝัน
ทุกคนได้แต่พยักหน้าด้วยความงุนงง แล้วพากันเดินกลับไปยังห้องของตน
ก่อนที่จะจากไป พวกเขาก็ปล่อยมือเสี่ยวรุ่ยอานและเสี่ยวรุ่ยหนิง ปล่อยให้เจ้าหนูน้อยตัวเล็กทั้งสองคนได้แต่ยืนกำชายเสื้อของตนเองเอาไว้อย่างทำตัวมิถูก
โจวกุ้ยหลานหันกลับไปพูดกับสวีฉางหลินว่า “ปิดประตูเถอะ”
ชายหนุ่มรูปร่างกำยำที่ทำให้ผู้คนตกใจมิน้อยเมื่อครู่นี้พยักหน้าอย่างว่าง่ายแล้วหันหลังกลับไปปิดประตู
โจวกุ้ยหลานเดินเข้าไปช้าๆ แล้วจูงมือเสี่ยวรุ่ยหนิงเดินตรงไปข้างกายของเสี่ยวรุ่ยอาน นางจูงมือของเสี่ยวรุ่ยอานแล้วย่อตัวลง สบตากับเด็กทั้งสอง
“พวกเจ้าอยากเจอพ่อมิใช่หรือ?”
เด็กทั้งสองคนพยักหน้าอย่างงุนงง
โจวกุ้ยหลานฉีกยิ้มขึ้น “เขาคือพ่อของพวกเจ้า พวกเจ้าเรียกเขาว่าพ่อดีหรือไม่?”
เสี่ยวรุ่ยอานและเสี่ยวรุ่ยหนิงมองไปทางโจวกุ้ยหลานด้วยความงุนงง เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า พวกเขาก็รีบหลบไปอยู่ข้างหลังของโจวกุ้ยหลานแล้วเงยหน้าขึ้นมองชายรูปร่างสูงใหญ่ที่กำลังเดินตรงเข้ามา
โจวกุ้ยหลานมิรู้จะทำเช่นไร นางจึงลุกขึ้นยืนแล้วเงยหน้าขึ้น พบว่าสวีฉางหลินกำลังเดินตรงเข้ามาสายตาจับจ้องไปยังลูกทั้งสอง
“พวกเขายังมิเคยเจอเจ้ามาก่อน นี่เป็นครั้งแรก อาจดูมิคุ้นเคยนัก ให้เวลาพวกเขาหน่อยเถิด” โจวกุ้ยหลานก็กลัวว่าสวีฉางหลินจะรู้สึกอึดอัดใจจึงได้ปลอบเขา
สวีฉางหลินเดินตรงเข้ามาทีละก้าวทีละก้าวแล้วหยุดอยู่ข้างกายของโจวกุ้ยหลาน
เขาก้มหน้าลงมองดูเด็กทั้งสองคนที่มีใบหน้าคล้ายคลึงกับเขาซึ่งกำลังเงยหน้ามองดูต้น ชั่ววินาทีนี้ดูเหมือนมีบางอย่างที่อยู่ในใจระเบิดออกมา
ราวกับว่า……ราวกับว่าอารมณ์ที่แผ่ซ่านไปทั่วอันยากจะอธิบายนั้น ทำให้หัวใจของเขาดูอ่อนบางลง
วินาทีต่อมาเขาก็ยื่นมือออกไปดึงเด็กคนที่อยู่ใกล้กับเขา มือทั้งสองข้างออกแรงแล้วยกขึ้นมา เจ้าเด็กน้อยอุทานออกมาอย่างมิทันตั้งตัว วินาทีต่อไปก็นั่งอยู่บนไหล่ของเขาแล้ว
โจวกุ้ยหลานเห็นรุ่ยอานทำท่าทางตกตะลึงเช่นนั้นก็ตกใจเล็กน้อย
วินาทีต่อมา สวีฉางหลินก็ยื่นมือออกไปอีกครั้ง ในครั้งนี้เขาใช้มือเพียงข้างเดียวยกรุ่ยหนิงขึ้นมาวางไว้บนบ่าอีกข้างของตน
เด็กน้อยทั้งสองนั่งอยู่ที่ไหล่ของเขาคนละข้าง จากตอนแรกที่รู้สึกงุนงง ต่อมาพวกเขาก็สนุกสนานยิ่งนัก
พวกเขานั่งอยู่บนไหล่ของสวีฉางหลินแล้วแกว่งขาไปมาอย่างสนุกสนาน
โจวกุ้ยหลานรู้สึกว่าตนกังวลโดยเปล่าประโยชน์ นางมองพ่อลูกทั้งสามคนเล่นกัน ช่างสนิทสนมเข้ากันได้ดียิ่งนัก
เมื่อสี่คนพ่อแม่ลูกเข้าไปในบ้าน นางก็ให้สามคนพ่อลูกเล่นกันอยู่ข้างนอก ส่วนนางเข้าไปต้มน้ำร้อนในห้องครัว
ผ่านไปสักครู่เมื่อกลับมาในห้องก็พบว่าสวีฉางหลินกำลังอุ้มเสี่ยวรุ่ยหนิงหมุนตัวอยู่ท่ามกลางอากาศ ภายในห้องเต็มไปด้วยน้ำเสียงหัวเราะของเสี่ยวรุ่ยหนิง
รุ่ยอานที่นั่งอยู่บนพื้นมองดูพวกเขาแล้วหัวเราะออกมาอย่างสนุกสนานเช่นกัน
เมื่อเห็นเด็กทั้งสองที่นิสัยมิค่อยสนิทสนมกับใครง่ายๆ นัก กลับเล่นกับสวีฉางหลินอย่างสนุกสนานในช่วงเวลาเพียงสั้นๆ ที่รู้จักกัน นางก็สัมผัสได้ว่าเลือดนั้นเข้มกว่าน้ำจริงๆ
“รุ่ยอาน แม่จะพาเจ้าไปอาบน้ำ” โจวกุ้ยหลานเดินตรงเข้ามาแล้วจับตัวรุ่ยอานเอาไว้
เสี่ยวรุ่ยอานยังสนุกสนานกับการเล่นเขาตอบอย่างมิเต็มใจนัก “ท่านแม่ ประเดี๋ยวข้าค่อยไปอาบ”
โจวกุ้ยหลานเหลือบตามองดูสวีฉางหลิน จึงเข้าใจได้ว่ารุ่ยอานอยากจะเล่นกับพ่อของตนอีกสักพัก ด้วยเหตุนี้จึงมิได้บังคับ ตัวนางหยิบเสื้อผ้าไปอาบน้ำก่อน
ตอนที่นางออกมานั้นนางพบว่ารุ่ยหนิงยืนอยู่บนพื้น ส่วนรุ่ยอานถูกสวีฉางหลินอุ้มหมุนไปท่ามกลางอากาศ
โจวกุ้ยหลานอ้าปากหาวแล้วเข้าไปดึงรุ่ยอานเอาไว้ ถามว่าจะไปอาบน้ำได้หรือยัง เสี่ยวรุ่ยอานก็ยังคงส่ายหน้า
“สวีฉางหลิน ประเดี๋ยวเจ้าอาบน้ำให้พวกเขาทั้งสองด้วย นำเสื้อผ้าใส่ไว้ในตะกร้า พรุ่งนี้เช้าข้าจะซักเอง”
โจวกุ้ยหลานกล่าวจบก็เดินไปที่เตียง
นางง่วงจนทนมิไหวแล้ว อยากจะรีบเข้านอนสักที มิเช่นนั้นเกรงว่าพรุ่งนี้เช้าคงจะลุกมิไหว
สวีฉางหลินตอบรับเบาๆ โจวกุ้ยหลานจึงวางใจลง
เมื่อขึ้นเตียงไป นางก็ปิดประตูห้องนอนใหญ่ เสียงหัวเราะจากข้างนอกยังคงดังสนั่น นางนอนอยู่บนเตียงใหญ่นั้นแล้วหลับตา เพียงครู่เดียวก็หลับไป
ตอนที่นางตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็พบว่าตนกลับไปถึงหมู่บ้านต้าสือแล้ว
เหล่าไท่ไท่ยืนอยู่ที่ประตูบ้านของนาง ในมือถือตะกร้า “นี่คือดอกผู่กงอิงที่ข้าเก็บมาจากบนภูเขา เจ้าอย่าลืมต้มน้ำให้พวกเขาดื่ม”
โจวกุ้ยหลานเอื้อมมือไปรับแล้วพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้วท่านแม่ เชิญเข้ามานั่งก่อนเถอะ”
“นั่งอะไรกัน! เหตุใดเจ้าจึงมิกลับมาดูข้าบ้าง เมื่อเจ้ามีสามีก็ลืมแม่ไปเลยเชียว!” น้ำเสียงของเหล่าไท่ไท่ดูมิเป็นมิตรนัก แววตานั้นเบิกกว้าง
โจวกุ้ยหลานกำลังจะเกลี้ยกล่อมเหล่าไท่ไท่ แต่ก็ได้ยินนำเสียงการต่อสู้ดังมาจากในที่มิไกล นางรีบเข้าไปคว้ามือของเหล่าไท่ไท่เอาไว้แล้วเข้าไปหลบในเรือน
จู่ๆ ก็มีใช้ร่างกายสูงใหญ่ขี่ม้าปรากฏตัวขึ้นตรงหน้านาง ถือดาบยาวเอาไว้ในมือ เขาเข้ามาแย่งตัวเหล่าไท่ไท่ไปแล้ววิ่งหนี
โจวกุ้ยหลานตกใจอุทานออกมา นางวิ่งไปข้างพยายามคว้ามารดาเอาไว้ แต่ขาของนางขยับมิได้แม้แต่น้อย ทำได้เพียงวิ่งอยู่กับที่ นางเป็นกังวลยิ่งนัก นางพยายามก้าวขาให้กว้าง แต่ประตูนั้นก็ค่อยๆ ปิดลงทีละน้อย……
“ท่านแม่!”
โจวกุ้ยหลานร้องออกมาเสียงดังแล้วลืมตาขึ้น นางมองเห็นเพดานในห้องนอน พร้อมกับหายใจเหนื่อยหอบ
ผ่านไปสักพักนานจึงได้สติกลับคืนมาแล้วรู้ว่าเมื่อครู่ตนเพียงฝันไป
นางหายใจหอบหนัก ร่างของนางเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ
บัดนี้ท้องฟ้าด้านนอกก็เริ่มสว่างขึ้นแล้ว
นางหันศีรษะกลับไปมองพบว่าสวีฉางหลินมิได้อยู่บนเตียง
นางกอดลูกน้อยทั้งสองที่นอนหลับอยู่ เพื่อทำให้ตนเองสงบสติลง
มิได้การละ นางจะต้องไปช่วยแม่และพี่ชายรวมถึงลุงให้ได้
โจวกุ้ยหลานตัดสินใจแล้วนอนพักอยู่สักครู่ นางลุกขึ้นสวมใส่เสื้อผ้า ออกไปล้างหน้าล้างตาเตรียมทำอาหารเช้า ก่อนจะพบว่าในหม้อนั้นมีข้าวต้มต้มเอาไว้เต็ม และยังมีหมั่นโถวกับซาลาเปาที่ห่อไว้ด้วยกระดาษน้ำมันวางอยู่ด้านข้าง
เนิ่นนานเท่าไรแล้วที่มิมีใครเตรียมอาหารเช้าให้นาง ความรู้สึกนี้……ช่างดียิ่งนัก……
โจวกุ้ยหลานรู้สึกเบิกบานใจ นางตักข้าวต้มใส่ชาม มือหนึ่งถือซาลาเปา อีกมือหนึ่งก็หันไปกินข้าวต้ม หลังจากกินอาหารเช้าแล้วนางก็เดินไปยังห้องน้ำพบว่ามิมีเสื้อผ้าสกปรกในตะกร้าแม้แต่ชิ้นเดียว
“เขาซักผ้าให้ข้าด้วยงั้นหรือ?”
โจวกุ้ยหลานก็รีบเดินตรงออกไป จึงพบว่าราวตากผ้าข้างนอกนั้นมีเสื้อผ้าตากไว้เต็มไปหมด เป็นเสื้อผ้าของพวกเขาสี่คน
นางจึงวางใจลง แต่ความรู้สึกนี้ทำให้นางราวกับได้กลับไปยังหมู่บ้านต้าสืออีกครั้ง
บางทีชีวิตก็ควรเป็นสิ่งที่เรียบง่ายแบบนี้
“ป้ากุ้ยหลาน อรุณสวัสดิ์!”
โจวกุ้ยหลานหันศีรษะไปมองดูพบว่าเมิ่งเจียงเดินหาวออกมาข้างนอก
นางจึงพยายามรวบรวมสติของตนเองแล้วกำชับให้เมิ่งเจียงช่วยดูแลอาบน้ำให้เด็กทั้งสองคนด้วย ก่อนที่ตัวนางจะรีบก้าวขาเดินจากไป
เมิ่งเจียงยกมือขยี้ศีรษะแล้วไปล้างหน้าล้างตา
โจวกุ้ยหลานรีบเดินตรงไปที่ร้านค้า บัดนี้คนในร้านกำลังยุ่งอยู่กับงาน แม้แต่ไป๋ยี่เซวียนเองก็ไปแล้ว
ส่วนไปที่ใดนั้นพวกเขาก็มิมีใครรู้
นางจึงจัดการกับความคิดตนเองแล้วเดินไปที่ห้องครัวอย่างมุ่งมั่น เมื่อเริ่มลงมือทำงานก็ทำอยู่จนกระทั่งตอนกลางวัน
จนกระทั่งตอนที่ยังได้เวลากินอาหารกลางวันแล้ว สวีฉางหลินก็ยังมิกลับมา
โจวกุ้ยหลานเดาว่าเขาคงจะออกไปเจรจาการค้าอีกแล้ว ดังนั้นจึงมิได้ใส่ใจอะไร นางจัดการทำเรื่องของตนต่อ
จวบจนกระทั่งช่วงเย็น สวีฉางหลินก็เดินทางมาด้วย แต่ไป๋ยี่เซวียนกลับยังมิได้กลับมา โจวกุ้ยหลานจึงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไป