นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 372 ไป๋เซียนเซิงเป็นคนที่คิดการใหญ่จริง ๆ
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา ตอนที่ 372 ไป๋เซียนเซิงเป็นคนที่คิดการใหญ่จริง ๆ
แต่สุดท้าย ก็ยอมแพ้
“หากข้าใช้เงินซื้อร้านเจ้ามาล่ะ” ราวกับไป๋ยี่เฉินไม่สนใจความพูดอึก ๆ อัก ๆ ของนาง แล้วพูดต่อบท
นี่เป็นเรื่องที่เกินความคาดหมายของโจวกุ้ยหลาน
แต่หลังจากได้ใคร่ครวญ หากเขาคิดจะซื้อหุ้นของนางจริง ๆ ไป๋ยี่เซวียนได้รับเงินเท่าใด เขาก็ได้รับเงินเท่านั้น ไป๋ยี่เซวียนก็จะสู้เขาไม่ได้ตลอดไป
โจวกุ้ยหลานปรบมือให้เขาอย่างเงียบ ๆ จากก้นบึ้งของหัวใจ บุคคลที่ยอดเยี่ยมเยี่ยงนี้ ถึงจะเป็นนักธุรกิจตัวจริงที่สร้างรายได้ได้
“ข้าคิดไม่ถึงว่าไป๋เซียนเซิงจะพูดขวานผ่าซากเช่นนี้” โจวกุ้ยหลานตอบไม่ตรงกับคำถาม
ไป๋ยี่เฉินก็ไม่ได้สนใจ น้ำเสียงของเขายังคงเย่อหยิ่ง “ข้าคุยเรื่องการค้า จะมุ่งตรงไปที่ประเด็นเสมอ ไม่ชอบพูดอ้อมค้อม”
ยอดเยี่ยม คนผู้นี้ยอดเยี่ยมจริง ๆ เพียงแค่กล่าวออกมาก็ขึ้นคุมสถานการณ์
โจวกุ้ยหลานประเมินความสามารถเขาเพิ่มขึ้นอีกสองส่วน “ไป๋เซียนเซิงเป็นคนที่คิดการใหญ่จริง ๆ”
ไป๋ยี่เฉินก็ไม่ได้ต่อหัวข้อสนทนานี้กับนางต่อ แต่หยิบตั๋วเงินหนึ่งใบออกมาจากหน้าอกของตัวเอง วางลงบนโต๊ะ แล้วค่อยๆ ยื่นไปตรงหน้าโจวกุ้ยหลาน
“ไป๋เซียนเซิง ตั๋วเงินซื้อการค้าข้าไม่ได้” โจวกุ้ยหลานส่ายหน้า ไม่แม้แต่จะเหลือบตามองตั๋วเงินใบนั้น
“เจ้าทำการค้าไม่ใช่ว่าเพื่อหาเงินหรือ ตอนนี้ข้าให้เจ้าหนึ่งแสนตำลึง ซื้อหุ้นส่วนร้านเจ้าจากเจ้า เจ้าจะมีกินมีใช้ไปตลอดชีวิต ไม่ดีกว่าหรือ”
หนึ่งแสนตำลึง!
ใจโจวกุ้ยหลานกระตุกหลายครั้ง
ทั้งชีวิตนี้นางไม่เคยเห็นเงินมากมายขนาดนี้!
ไม่มีใครรู้ว่า นางต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหนในการบังคับตัวเองไม่ให้หันศีรษะไปมองตั๋วเงินใบนั้น
หากนี้อยู่ในสมัยปัจจุบัน นั้นคงจะเป็นหลายสิบล้าน!
มือโจวกุ้ยหลานวางไว้ใต้โต๊ะ จับต้นขาของตัวเองอย่างดุดัน ใช้ความเจ็บปวดทำให้นางได้สติ
ไม่ว่าคนยากจนในวัยกลางคนผู้ใดล้วนไม่อาจควบคุมตัวเองเมื่ออยู่ต่อหน้าเงินจำนวนมากขนาดนี้ได้ ใช่ไหม
เพราะงั้น…หากนางขายร้านไปจริง ๆ คงไม่นับว่าไม่ได้ประสบความสำเร็จใช่ไหม
“เถ้าแก่โจว มันไม่ง่ายเลยที่จะได้เงินหนึ่งแสนตำลึงจากการทำการค้า หากเจ้ารับไปแล้ว ทั้งชีวิตจะมีกินมีใช้ไปตลอด ทำไมไม่ปล่อยใจตัวเองให้สบายบ้างล่ะ”
ไป๋ยี่เฉินเก็บมือกลับมา เอนกายไปด้านหลัง สีหน้าซ่อนร่องรอยดูหมิ่นเอาไว้
แรงกดบนมือของโจวกุ้ยหลานหนักขึ้น ความเจ็บปวดทำให้นางได้สติมากขึ้น หากไป๋ยี่เฉินไม่ได้อยู่ด้านข้าง นางคงลุกขึ้นมาดูว่าต้นขาตัวเองถูกนางหยิกจนช้ำม่วงไปแล้วใช่หรือไม่เป็นแน่
ผลของการโหดร้ายต่อตัวเองนั้น เป็นปกติเพื่อที่จะทำให้นางไม่ได้มีกิริยาที่ไม่เหมาะสมต่อหน้าคนภายนอก
“แต่ข้าชอบวิถีที่ต่อสู้ดิ้นรนยิ่งกว่า ทรัพย์สินเริ่มต้นจากศูนย์จนมีได้ ค่อย ๆ ต่อสู้ ค่อย ๆ สั่งสม ความสุขเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่ได้มาโดยโชคลาภ”
ขณะโจวกุ้ยหลานพูด ก็พยักหน้าให้เขาทีหนึ่ง
ไป๋ยี่เฉินประหลาดใจ ก้มหน้าเหลือบมองตั๋วเงินที่วางอยู่บนโต๊ะใบนั้น จากนั้นมองโจวกุ้ยหลานที่ไม่ได้รับผลกระทบจากภายนอกสักนิด
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็หยิบตั๋วเงินออกมาจากกระเป๋าอีกครั้ง โจวกุ้ยหลานเพิ่มแรงหยิกตัวเองขึ้นอีก
เห็นนางยังไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ เขากัดฟัน หยิบตั๋วเงินหนึ่งแสนตำลึงออกมาจากหน้าอกตัวเองอีกครั้ง
ปัดเลขให้กลม ๆ ก็เป็นหนึ่งร้อยล้าน!
โจวกุ้ยหลานรู้สึกว่าเนื้อของตนคงถูกตัวเองดึงออกมาแล้ว
ทั้งชาติก่อนและชีวิตนี้ นางไม่เคยเห็นเงินมากมายขนาดนี้มาก่อน!
ไป๋ยี่เฉินเห็นสีหน้านางไม่เปลี่ยนแปลงสักนิด จึงมีความโกรธพลุ่งพล่านในใจ “เถ้าแก่โจว เงินเหล่านี้ เพียงพอที่จะซื้อร้านของพวกเจ้าเช่นนี้สิบร้านแล้ว”
เพราะงั้นอย่าคิดได้คืบจะเอาศอก!
โจวกุ้ยหลานอยากพยักหน้าพูดว่าใช่แล้ว การค้าเช่นนี้ข้าไม่ทำก็เสียหายแย่แล้ว!
ใครมาจะเข้าใจ ความเจ็บปวดในก้นบึ้งหัวใจนางเล่า
ในใจสบถด่า แต่ใบหน้ายังคงรอยยิ้มไว้เสมอ “เมื่อเทียบกับทรัพย์สินของตระกูลไป๋แล้ว สามแสนตำลึงก็ไม่อาจเทียบอะไรได้เลย”
ดวงตาไป๋ยี่เฉินฉายแววความดุร้าย น้ำเสียงเย็นชาขึ้นหลายส่วน “เจ้าว่าอะไรนะ”
“เรื่องนี้พูดรอบที่สองคงไม่ดีกระมั้ง ถูกคนได้ยินเขาจะทำอย่างไร ไป๋เซียนเซิง ท่านมีร้านค้ามากมาย รายได้มหาศาล แล้วเหตุใดถึงสนใจร้านค้าของพวกเราเพียงร้านเดียวเล่า”
โจวกุ้ยหลานพยายามคุมเสียงตัวเองให้นิ่ง กล่าวอย่างราบเรียบ
“คิดไม่ถึงว่าเขาจะบอกเรื่องทั้งหมดแก่เจ้า ดูเหมือนความสัมพันธ์พวกเจ้าใกล้ชิดสินะ”
“ก็เป็นแค่ความสัมพันธ์ที่ร่วมมือกัน ตอนที่เขาเมาจึงพูดโดยไม่ได้ตั้งใจ” โจวกุ้ยหลานลดสายตาลง ไร้ความเกี่ยวข้องใด ๆ ทั้งสิ้น
นี่เป็นเรื่องภายในครอบครัวของคนอื่น หากให้เขารู้ว่านางรู้มาตั้งนานแล้ว จะไม่เป็นการตบหน้าเขาหรือไร
อย่างนี้ไม่ดีเป็นแน่ จะสร้างศัตรูให้ตัวเองไม่ได้ นางออกมาก็เพื่อหาเงินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
อย่างไรไป๋ยี่เฉินเป็นคนที่การค้ามากประสบการณ์ ผ่านไปชั่วครู่ ก็ข่มอารมณ์ตัวเอง กลับมาหยิ่งในศักดิ์ศรีดั่งตอนแรก
“เจ้าเป็นคนที่ฉลาด ทำไมเจ้าไม่มาช่วยข้าดูแลการค้าล่ะ เจ้าจะได้รับปันส่วนหนึ่งส่วน”
หนึ่งส่วน…หากเขามีรายได้สองแสนตำลึงต่อเดือน งั้นในหนึ่งเดือนนางจะได้สองหมื่นตำลึง!
นางคำนวณแล้ว นั่นเป็นเงินห้าถึงหกล้าน!
ต่อเดือน!
หากไม่ใช่เพราะความเจ็บปวดที่ขา เกรงว่านางล้มเลิกความตั้งใจไปนานแล้ว
จากนั้นไม่นาน นางก็อดทนต่อความเจ็บปวดในใจ พูดยิ้ม ๆ ว่า “ขอบคุณสำหรับความหวังดีของไป๋เซียนเซิง แต่ข้าก็ยังชอบจะเปิดร้านเล็ก ๆ ด้วยตัวเอง ช่วยงานในครัว เดือนหนึ่งได้เงินเล็กน้อยมาใช้ชีวิต ส่วนเรื่องอื่น ๆ นั้น ไม่กล้าคิดถึงหรอก”
“ไป๋ยี่เซวียนหาผู้ช่วยได้ไม่เลว แม้แต่เงินก็ไม่อาจโน้มน้าว แถมยังเฉยเมยได้เช่นนี้อีก”
โจวกุ้ยหลานเผยรอยยิ้มบนใบหน้า “ขอบคุณสำหรับคำชม ไป๋เซียนเซิงก็เป็นคนใจกว้างที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบมา”
พูดจาประจบสอพลอเช่นนี้แล้ว เขาคงไม่ถือโทษโกรธนางหรอกใช่ไหม
แน่นอนว่า คนอย่างไป๋ยี่เฉินที่ทำงานคลุกคลีกับกลุ่มคนมาเป็นเวลานานไม่มีทางให้ใครเข้าใจความในใจของเขาได้ง่าย ๆ
คนงานเข้ามาจากข้างนอก ยกชามาบริการพวกเขาแล้วรีบออกไป
โจวกุ้ยหลานยืนขึ้น บอกเขาอย่างนุ่มนวลว่าร้านไม่อาจขาดนางได้ แล้วรีบจากไป
กลับมาที่ร้าน นางก็ยุ่งวุ่นวายขึ้นมาอีกครั้ง
พอยุ่งวุ่นวายขึ้นมาแล้ว ก็ยาวจนถึงตอนเย็นถึงค่อย ๆ ซาลง
โจวกุ้ยหลานให้ทุกคนเก็บกวาด จากนั้นไปคำนวณบัญชีกับนักบัญชี
หลังอาหารเย็นวันนี้ โจวกุ้ยหลานก็ให้สวีฉางหลินพาเด็กทั้งสองกลับไปก่อน ส่วนนางยังต้องไป๋ยี่เซวียนอยู่ที่นี่
หลังจากทำบัญชีกับนักบัญชีเสร็จ นางก็ให้นักบัญชีไปพักผ่อนก่อน แล้วนางปิดร้านด้วยตัวเอง นอนพักผ่อนบนโซฟาอย่างตามอารมณ์
อาจเพราะเหนื่อยมาก นางจึงเผลอหลับไปทั้งอย่างนี้
จนกระทั่งมีคนมาเคาะประตูข้างนอก นางถึงได้ตื่นขึ้นมา
เธอคิดว่าใช่ไป๋ยี่เซวียนกลับมาแล้วหรือไม่ เดินไปเปิดประตู แล้วพบว่าคนที่ยืนอยู่ด้านนอก กลับเป็นสวีฉางหลิน
“เจ้ามาได้อย่างไร”
โจวกุ้ยหลานเบี่ยงกาย ให้เขาเข้ามาในห้อง
สวีฉางหลินเดินเข้าไป น้ำเสียงทุ้มต่ำเล็กน้อย “กลัวเจ้าอยากได้ความช่วยเหลือ ดังนั้นจึงมาดู”
“ข้าจะมีเรื่องอะไรได้กัน” เพียงแค่พลาดหนึ่งร้อยล้าน…
คิดถึงเรื่องนี้ นางก็เจ็บปวดใจ
ทันทีที่เข้าไป สวีฉางหลินก็โอบกอดโจวกุ้ยหลานเอาไว้ พูดด้วยน้ำเสียงอาลัยอาวรณ์ “พรุ่งนี้กองกำลังทหารที่จะปราบปรามมณฑลหยวนเหอจะออกเดินทางแล้ว ข้าก็ต้องไปด้วย…”
ขณะพูด เขาก็ลูบไหล่ของนาง
“เจ้าเป็นนายพลรึ”
“ไม่ใช่ ข้าเป็นผู้บัญชาการทัพ เมื่อเช้าฮ่องเต้เปลี่ยนตำแหน่งชั่วคราว” สวีฉางหลินวางคางของเขาบนไหล่ของนาง