นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 374 ตลกบริโภค
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา ตอนที่374 ตลกบริโภค
โจวกุ้ยหลานถอนหายใจ สิ่งที่ควรทำก็ได้ทำไปแล้ว
เรื่องนี้ เป็นประเด็นที่ทุกคนพูดถึง เพราะเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก
จากปากคนเหล่านั้น ทำให้นางรู้ตื้นลึกหนาบางของเรื่อง
เดิมทีสามีเป็นเด็กที่ถูกเลี้ยงไว้เพื่อแต่งงาน แต่ครอบครัวนั้นปฏิบัติต่อนางเป็นอย่างดี นางถือว่าพ่อสามีและแม่สามีเป็นดั่งพ่อแม่ของตน แต่หลังจากบุรุษของนางตายไป ครอบครัวของพวกเขากลัวว่าใช้ชีวิตต่อไปไม่ได้ จึงให้อาเฟินพบบุรุษอีกคน
ครอบครัวนี้ใช้ชีวิตพอได้อยู่ มีบ้านหนึ่งหลังที่เป็นหลังมีสามทางเข้าสามทางออก แล้วกับร้านอีกร้านหนึ่ง หากบุรุษผู้นี้เป็นคนดี การใช้ชีวิตก็จะเจริญรุ่งเรือง
แต่ชายผู้นี้มีเจตนาชั่วร้าย และคิดในใจว่าตัวเองต้องไปเลี้ยงดูพ่อแม่และลูกของผู้ชายอื่น จึงคิดจะฆ่าพวกเขาทั้งหมด แล้วยึดครองทรัพย์สิน
แล้วก็ซื้อโค้กหนึ่งกระป๋องให้เด็กคนนั้น ใส่ยาเบื่อหนูเข้าไป เด็กคนนั้นดื่มแล้วสิ้นลมหายใจ ยังยุยงให้อาเฟินมาสร้างปัญหาให้กับโจวกุ้ยหลาน หวังค่าสินไหมทดแทนมาก ๆ
ผู้เฒ่าสองคนทนไม่ได้กับการสูญเสียหลานชายคนเดียวของตัวเอง ทั้งคู่ก็ล้มป่วยลง บุรุษผู้นั้นจึงให้ยาพิษเรื้อรังแก่ผู้เฒ่าทั้งสองทุกวัน
เพราะเหตุนี้ จึงทำให้ผู้เฒ่าทั้งสองตายไป
หากไม่ใช่เพราะมีมือปราบจับตามองเรื่องนี้อยู่ตลอด ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่าคนที่ลงมือเป็นเขา เพราะหมอที่รักษาผู้เฒ่าทั้งสองก็เป็นเขาที่เชิญมา
โจวกุ้ยหลานส่ายหน้า นางรู้สึกว่าเรื่องนี้มีบางอย่างซ่อนอยู่ ตอนนั้นนางรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าชายคนนั้นมาเพื่อสูตรโค้กของพวกเขา แต่ชายคนนั้นตายไปแล้ว จึงไม่มีข้อพิสูจน์
เรื่องนี้ถูกแพร่กระจายในเมืองหลวงมานานกว่าครึ่งเดือน ก่อนที่จะถูกแทนที่ด้วยเรื่องใหม่อื่น ๆ
ในระหว่างนั้นมีวันหนึ่งที่ไป๋ยี่เซวียนไม่ได้ออกไปข้างนอก และนั่งหารือกับโจวกุ้ยหลานไปหลายเรื่อง
โจวกุ้ยหลานเสนอเรื่องที่จะเปิดร้านสาขา หลายวันนี้พวกเขาเก็บออมเงินไว้ไม่น้อย
ไป๋ยี่เซวียนพยักหน้า รู้สึกว่าเรื่องนี้รอช้าไม่ได้
แล้วคนที่ต้องจ้างในร้านใหม่ โจวกุ้ยหลานให้ไป๋ยี่เซวียนไปจ้างคน จากนั้นทั้งสองคนจะรับผิดชอบกันคนละร้าน
ส่วนโค้ก บุกเบิกตลาดแล้ว ไม่จำเป็นต้องวุ่นเช่นนี้อีกต่อไป
ไป๋ยี่เซวียนเริ่มมองหาร้านที่ข้างนอกอีกครั้ง ต้องอยู่ห่างจากที่นี่สักหน่อย แต่ต้องมีคนพลุกพล่าน
ด้วยเหตุนี้ ความกดดันร้านนี้ยังอยู่บนบ่าโจวกุ้ยหลาน
ก่อนที่พวกเขาจะเปิดใหม่ร้านขึ้นมา พวกเขาก็ได้ยินว่ามีร้านไก่ทอดเปิดอยู่ใกล้ ๆ
และราคาถูกกว่าของพวกเขา ราวกับเป็นการขายตัดราคากัน
ชั่วขณะหนึ่ง ลูกค้าในร้านของพวกเขาลดลงไปไม่น้อย
ก่อนหน้านี้โจวกุ้ยหลานก็เคยคิดว่าจะต้องมีคนที่ทำไก่ทอดตาม แต่ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้
คนงานรับใช้ในร้านทุกคนต่างเศร้าหมอง รู้สึกว่าการค้าของพวกเขาถูกแย่งไปแล้ว
โจวกุ้ยหลานปลอบพวกเขา หากพวกเขามีอะไรก็ให้ไปทำ หากไม่มีก็ไปพักผ่อนให้เพียงพอ
“ช่วงนี้พวกเราทุกคนเหนื่อยกันมาก ถือโอกาสใช้เวลาสองสามวันนี้พักผ่อนกันดี ๆ ”
“เถ้าแก่โจว ท่านไม่กังวลว่าการค้าของเราจะถูกแย่งไปหรือ”
โจวกุ้ยหลานไม่สนใจ “หากมันง่ายขนาดที่จะแย่งชิงไปทั้งหมด งั้นเมืองหลวงแห่งนี้ก็ไม่อาจมีร้านอาหารมากมายขนาดนี้แล้ว”
การค้านี้ แย่งกันทำ เมื่อก่อนล้วนเป็นพวกเขาที่ทำโฆษณาเอง แต่ตอนนี้พวกที่อาชีพเดียวกันทำโฆษณาด้วย มันคงเป็นการส่งเสริมไก่ทอดนี้ได้ดีกว่าเดิม
พวกคนงานพูดไม่ออกกับทัศนคติของโจวกุ้ยหลาน แต่ในเมื่อเถ้าแก่ของพวกเขาพูดแบบนี้แล้ว พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก
เมื่อเห็นว่าลูกค้าในร้านน้อยกว่าเดิม โจวกุ้ยหลานก็ให้พวกเขาผลัดกันไปหยุดพักผ่อน แล้วให้เงินเดือนเช่นเดิม
บรรดาคนงานได้วันหยุดที่หาได้ยาก พากันกลับบ้านไป
ใช้เวลานี้ โจวกุ้ยหลานไปในห้องโค้ก หมกตัวอยู่ในห้องนั้นทั้งวัน
ในเมื่อการค้าไก่ทอดย่ำแย่ นางจึงมีเวลาพอที่จะทำโค้กพอดี
ขณะกำลังเคลื่อนย้ายถังใบใหญ่ ก็มีเสียงเคาะประตูจากด้านนอก โจวกุ้ยหลานวางงานในมือลง เปิดประตู ก็เห็นคนงานคนหนึ่งของร้านยืนรออยู่ข้างนอกอย่างกระวนกระวาย เมื่อเห็นนางแล้ว ก็รีบเปิดปากพูดว่า “เถ้าแก่โจว มีคนมาก่อเรื่องด้านนอกขอรับ!”
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น เจ้าว่าให้กระจ่างหน่อย” โจวกุ้ยหลานสาวเท้าออกมา ยื่นมือไปล็อคประตู
คนงานพูดอย่างฉุนเฉียว “ก็แค่ขอทานคนหนึ่ง ยืนกรานว่าต้องได้กินก่อนถึงจะจ่ายเงิน ยังพูดอีกว่าร้านอาหารทั้งใต้หล้าล้วนกินก่อนแล้วค่อยจ่ายทั้งนั้น ไม่มีกฎอย่างพวกเรา!”
“เจ้าไปทำงานก่อน” โจวกุ้ยหลานบอกกับเขาทันที
คนงานคนนั้นขานรับ แล้ววิ่งแจ้นจากไป
โจวกุ้ยหลานเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น เมื่อถึงโถงใหญ่ ก็เห็นชายอายุสามสิบกว่าถือไม้เท้าท่าทางเหมือนขอทานยืนอยู่ตรงจุดสั่งอาหารของพวกเขาแล้วตะโกนเสียงดัง “มีที่ใดเป็นเช่นนี้กัน ข้ายังไม่ได้กินแล้วยังต้องจ่ายเงินก่อน พวกเจ้าไปดูข้างนอกสิ มีร้านใดเป็นอย่างพวกเจ้าบ้าง”
คนงานที่รับสั่งอาหารอดไม่ได้ที่จะโต้เถียงกับเขาขึ้นมา “ร้านข้าไงที่เป็นเช่นนั้น!”
“นี่ พวกเจ้าเอาตามองไปไว้ที่ไหนกัน กลัวว่าลูกข้าอย่างพวกข้าไม่อาจจ่ายได้ใช่ไหมเล่า” เสียงของชายที่เหมือนขอทานดังขึ้นหลายส่วน
คนที่กำลังกินอยู่ด้านใน ก็ยื่นคอยาวออกมาดูทางนี้
คนงานคนนั้นก็ฉุนเฉียวแล้ว “เหตุใดเจ้าจึงไร้เหตุผลนัก หากมีเงินเจ้าก็เอาออกมาซื้อของกิน หากไม่มีเงินก็ไม่ได้กิน พวกข้าก็ไม่ได้บังคับเจ้า!”
“ข้าเพียงอยากกินก่อนแล้วค่อยจ่าย พวกเจ้าดูถูกข้าหรือไร วันนี้ข้าจะไม่ไปไหน พวกเจ้าต้องมีเหตุผลอธิบายให้ข้า!”
เด็กที่ต่อแถวอยู่ข้างหลังเขาอึดอัดใจมาก “ข้าอยากกินปีกไก่…”
น่าจะเป็นคุณย่าของเขา รีบลูบหัวเขา “เด็กดี ตอนนี้กำลังพันกันยุ่ง พวกเราไปซื้อจากอีกร้านหนึ่งก่อน ดีหรือไม่”
“ข้าอยากกินไก่ทอดร้านนี้!” เด็กคนนั้นก็ดื้อดึงเช่นกัน
คุณย่าของเขารีบปลอบเขา “เด็กดี ไก่ทอดที่ร้านอื่นก็มีปีกไก่ ถูกกว่าร้านนี้อีกด้วย พวกเราไปก็ซื้อได้เลย พวกเราไปร้านนั้นดีหรือไม่”
สุดท้ายเด็กคนนั้นก็พอใจ พยักหน้าเห็นด้วย ถูกคุณย่าของเขาพาจูงออกไปด้านนอก คนที่ต่อแถวอยู่ด้านหลังก็เกลี้ยกล่อมลูก หรือพวกผู้คนที่มาด้วยกัน ทยอยพากันจากไป
เมื่อเห็นผู้คนจากไป คนงานก็โมโหมาก
แต่ขอทานคนนั้นกลับดีใจ “เจ้าดูสิ พวกเจ้าขายแพงกว่าเจ้าอื่น ยังจะเก็บเงินก่อนอีก ลูกค้าหนีไปหมด!สมน้ำหน้า!”
คนงานคนนั้นทนไม่ไหวจึงคิดจะลงมือแล้ว การค้าดี ๆ อย่างนี้ กลับถูกคนคนนี้หน่วงเหนี่ยวหมด
เมื่อเห็นว่าคนงานร้านตนไม่สามารถเอาชนะขอทานคนนั้นได้ โจวกุ้ยหลานสาวเท้าเดินเข้าไป พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ลูกค้าท่านนี้อยากทานอะไรหรือ”
ขอทานหันมามองโจวกุ้ยหลาน ดวงตาเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม “เจ้าเป็นสตรีคนหนึ่งมายุ่งเรื่องของบุรุษหรือ ร้านพวกเจ้าไม่มีบุรุษหรือไร”
มองคนอย่างเจ้านั้น ตรงไหนที่เป็นบุรุษกัน ถึงอย่างไรนางก็ประสบเรื่องราวมาไม่น้อย ใบหน้าโจวกุ้ยหลานยังคงรอยยิ้มไว้ “ด้านหน้าเจ้าไม่ใช่ว่ามีบุรุษยืนอยู่หรือ”
คำพูดนี้กล่าวถึงคือคนงานผู้นั้น
ขอทานคนนั้นทนไม่ไหว “เอาล่ะ สตรีออกมาก็ยืดเยื้อยุ่งยาก รีบพาบุรุษออกมาคุยกับข้าได้แล้ว!”
(1) บ้านหนึ่งหลังมีสามทางเข้าสามทางออก คือ ลักษณะบ้านในจีนโบราณ มีลานสามแห่ง และมีเรือนหลัก เรือนด้านข้าง เรือนคนใช้เมื่อเข้าประตูใหญ่ก็จะเจอลาน ด้านในจะมีประตูที่สอง เมื่อเข้าไปก็จะเจอลานที่มีประตูที่สาม และเมื่อเข้าไปก็จะเจอลานอีกครั้ง