นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 379 การแข่งขัน 2
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา ตอนที่ 379 การแข่งขัน 2
ท่านเจิ่งกำลังจะนั่งลง หลิวห้าวหรานที่อยู่ไม่ไกลก็ประสานมือคำนับเขา “ท่านอาจารย์”
“เหอะ ขานเรียกว่าอาจารย์ข้ารับไว้ไม่ไหวหรอก!”
น้ำเสียงหยิ่งยโส ลักษณะท่าทีโอหัง ทางนี้เคยมีเรื่องกันมาก่อนรึ
โจวกุ้ยหลานจับจ้องอาจารย์เขม่ง
ตามปกติแล้วต้องเบือนหน้าไม่มอง อาจารย์หันหน้ามา ก็เห็นโจวกุ้ยหลานกำลังจ้องมองเขาด้วยดวงตาประกาย
อาจารย์ “…”
หลิวห้าวหรานไม่ได้ถูกเขาโจมตีเลยสักนิด การแสดงออกยังคงสง่างาม “แม้ว่าอาจารย์จะไม่ยอมที่จะจดจำศิษย์ แต่ศิษย์กลับไม่อาจที่จะไม่จดจำอาจารย์ เป็นอาจารย์หนึ่งวัน นับว่าเป็นอาจารย์ตลอดชีวิต”
“ข้าเจิ่งซานยี่ไม่อาจสอนอัจฉริยะอันดับหนึ่งของเมืองหลวงได้หรอก!”
อาจารย์เปร่งเสียงเหอะออกมา และไม่เห็นคนตรงหน้าอยู่ในสายตา ทั้งยังไม่มีจิตไมตรีระหว่างศิษย์อาจารย์เลยสักนิด
ส่วนศิษย์คนอื่นๆ ของสำนักบัณฑิตหนานซาน นั่งก้มหน้า เงียบเป็นเป่าสาก
โจวกุ้ยหลานมองดูทางนั้น มองดูทางนี้ บรรยากาศสื่อให้นางรู้ได้อย่างหนึ่ง นั้นก็คือ เคยมีเรื่องระหว่างพวกเขามาก่อน
หลิวห้าวหรานคำนับเขาอีกครั้ง แล้วพยักหน้าให้โจวกุ้ยหลานที่กำลังมองเขาอยู่ จากนั้นหันกายเดินช้าๆ จากไป
แค่ท่วงท่านี้อย่างเดียว ก็คู่ควรกับฉายาคนงามนี้แล้ว
พอหลิวห้าวหรานเดินไปไกลแล้ว ไอเย็นรอบกายอาจารย์ถึงได้จางหายไปหลายส่วน
เมิ่งเจียงถอนหายใจ ลอบมองไปทางหลิวห้าวหราน ก็ได้ยินอาจารย์ไอออกมา เขาตกใจตัวสั่น จู่ๆ ก็รู้สึกเริ่มไม่สบายท้อง
เขากัดฟัน อยากจะอดกลั้น แต่มนุษย์มีสามฉุกเฉิน1 จะมาพูดว่าอดทนแล้วจะอดทนไหวได้อย่างไร
“ทะ…ท่านอาจารย์ ศิษย์อยากเข้าห้องน้ำ” เมิ่งเจียงกระซิบเสียงเบา
อาจารย์พยักหน้า แสดงออกว่าเขาไปได้
เมิ่งเจียงถอนหายใจ รีบลุกขึ้นยืน แล้วถามคนข้างๆ ว่าห้องน้ำอยู่ที่ไหน
ทันทีที่เขาไป คนอื่นๆ ก็นั่งไม่ติด ทยอยบอกว่าตนเองอยากเข้าห้องน้ำ สุดท้าย แม้แต่อาจารย์เองก็รู้สึกไม่สบายท้องมาก จึงตามพวกเขาไปที่ห้องส้วมด้วย
ชั่วขณะนั้น ที่นี่เหลือเพียงโจวกุ้ยหลานกับลูกชายสองคนของตนเองนั่งอยู่ด้านนอก
โจวกุ้ยหลานมองไปที่อื่นๆ พบว่าทุกคนล้วนนั่งอยู่กับที่ รอพวกเขาเข้ามา
ผ่านไปไม่นาน อาจารย์เหล่านั้นก็นั่งลงบนโต๊ะตัดสิน จากนั้นการแข่งขันก็เริ่มขึ้น
ในรอบแรก ทั้งสองสำนักบัณฑิตนั่งร่วมกันตอบคำถาม เกือบทั้งหมดเป็นพวกสี่หนังสือห้าคัมภีร์ หรือพวกบทกวีต่างๆ
รอบนี้ เป็นการใช้คำถามสิบข้อเป็นเกณฑ์ ให้แต่ละสำนักบัณฑิตแย่งกันตอบ ใครที่มีคะแนนสูงในตอนท้าย ก็จะได้เข้ารอบ
กฎเกณฑ์ง่ายมาก พวกเขาแย่งตอบอย่างฉับไว เวลาจึงผ่านไปเร็วมาก
ไม่นาน การแข่งขันรอบแรกก็จบลง พิธีกรชายเดินเข้ามา เรียกชื่อสำนักบัณฑิตที่แข่งขันในรอบที่สอง เมื่อเรียกชื่อลำดับที่สาม ก็คือสำนักบัณฑิตหนานซาน
โจวกุ้ยหลานมองความโหรงเหรงรอบตัวเอง อยากจะก่ายหน้าผากถอนหายใจ พิธีกรชายเรียกชื่อ ก็เรียกชื่อลำดับที่สี่แล้ว
ตัวแทนศิษย์ของสามสำนักบัณฑิตที่เหลือทยอยยืนขึ้นมา เดินไปที่โต๊ะของตัวเอง
โจวกุ้ยหลานกำชับให้เด็กทั้งสองนั่งครู่หนึ่งก่อน ตนเองจะเดินไป
นางเพิ่งเดินไป รอบข้างพิพาทกันเซ็งแซ่ เหตุใดสตรีผู้หนึ่งถึงออกมาได้ ไร้มารยาทจริงๆ
โจวกุ้ยหลานทำเป็นหูทวนลม พอถึงข้างกายพิธีกรถามเขาเสียงเบาว่าสามารถย้ายชื่อสำนักบัณฑิตหนานซานไปรอบหลังได้หรือไม่
พิธีกรคนนั้นส่ายหน้าไปมา “เรื่องพวกนี้ล้วนจัดไว้แล้ว จะเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร”
“เจ้าช่วยหน่อยได้ไหม พวกสำนักบัณฑิตหนานซานคงกินของแสลงไป จะไม่ท้องเสียกันหมดหรือไร หากพวกเขาไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขันของพวกเจ้าเพราะท้องเสีย แล้วผลชนะเลิศของพวกเจ้าออกมา คงจะเป็นเรื่องไม่น่าฟังไม่ใช่หรือไร”
โจวกุ้ยหลานขอร้องอย่างละมุนละม่อม
ในใจนึกเกลียดความไม่ซื่อสัตย์ของตัวเอง
พิธีกรคนนั้นก็พยักหน้าเช่นกัน วิ่งไปทางแท่นเวทีแล้วพูดอะไรบางอย่าง
โจวกุ้ยหลานมองอย่างใจจดใจจ่อ หวังว่าจะถ่วงเวลาให้พวกเขาได้อีกสักเล็กน้อย ถึงอย่างไรพวกเขาเตรียมการสำหรับวันนี้มาเนิ่นนาน
พิธีกรคนนั้นหยัดกายอีกครั้ง เดินมาที่กลางลานโล่ง โจวกุ้ยหลานกลัวว่าจะขวางเขา จึงรีบกลับไปที่นั่งของตนเอง มองพิธีกรคนนั้นอย่างเงียบๆ
ยังดีที่ พิธีกรคนนั้นอธิบายสั้นๆ สองสามคำ จากนั้นเปลี่ยนสำนักบัณฑิตหนานซานให้ลงมา แล้วเรียกชื่ออื่น
โจวกุ้ยหลานถอนหายใจ มองดูพวกเขาแย่งกันตอบอย่างเงียบๆ
คำถามเหล่านี้ค่อนข้างง่าย ส่วนใหญ่จะพูดประโยคก่อนหน้าแล้วต่อประโยคถัดไป หรือพูดประโยคถัดไปเพื่อตอบประโยคก่อนหน้า บางทีเป็นการให้มาอธิบาย สิ่งสำคัญคืออ่านตำรามามากแค่ไหน และสมองจดจำได้มากเพียงใด
การแข่งขันดำเนินไปทีละเล็กทีละน้อย พวกเขาก็ไม่กลับมาอีก โจวกุ้ยหลานรู้สึกกังวลในใจเล็กน้อย
“นี่เป็นรายชื่อสำนักบัณฑิตกลุ่มสุดท้ายที่จะแข่งขัน…” พิธีกรยืนอยู่ตรงกลาง ส่งเสียงกึกก้อง บอกทุกคน
โจวกุ้ยหลานก็ประหม่า หากพวกเขายังไม่กลับมา งั้นสำนักบัณฑิตไม่ใช่ว่าต้องสละสิทธิ์หรอกรึ
“สำนักบัณฑิตสุดท้าย สำนักบัณฑิตหนานซาน!”
พิธีกรเรียกเสร็จ ดวงตาโจวกุ้ยหลานมองไปทางเก้าอี้ที่ว่างเปล่า สุดท้าย ก็ย้ายสายตาไปยังร่างเด็กทั้งสอง
เมื่อเห็นแขนขาเล็กๆ ของเด็กทั้งสอง นางแทบอยากจะทุบตัวเองสักที พวกเขายังเป็นเด็กอยู่!
เห็นทีคงได้แต่สละสิทธิ์แล้ว…
เมื่อคิดถึงการแสดงออกตอนพวกสำนักบัณฑิตหนานซานเหล่านั้นกลับมา ดวงตานางก็ดำดิ่ง
“ท่านแม่ เหมือนพวกเขากำลังเรียกพวกเราอยู่เลย” เสี่ยวรุ่ยอานเงยหน้าขึ้น ถามโจวกุ้ยหลาน
โจวกุ้ยหลานส่ายหน้า “ไม่ได้เรียกพวกเรา แต่กำลังเรียกคนที่ยังอยู่ในห้องน้ำตอนนี้”
“แต่ข้าก็เป็นศิษย์ของสำนักบัณฑิตหนานซาน” เสี่ยวรุ่ยอานแหงนหน้า มองโจวกุ้ยหลาน
เสี่ยวรุ่ยหนิงที่อยู่ข้างๆ ก็ไม่น้อยหน้า “ข้าด้วยๆ !”
“แต่พวกเจ้ายังเด็ก เข้าร่วมการแข่งขันนี้ไม่ไหว…” โจวกุ้ยหลานพยายามเอาใจพวกเขา
หากยังไม่เข้าร่วมในตอนนี้ อาจกล่าวในภายหลังได้ว่าเป็นเพราะอุบัติเหตุ แต่หากลูกทั้งสองของนางขึ้นไปจริงๆ ย่อมเป็นการแพ้แน่นอน พอถึงตอนนั้นคงถูกผู้คนกล่าวว่าสำนักบัณฑิตหนานซานพ่ายแพ้
“พวกเรายังต้องรักษาชื่อเสียงที่อาจารย์พวกเจ้าพูดอยู่ตลอดทั้งวัน รอไม่กี่ปี จนพวกเจ้าโตอีกหน่อย แม่ค่อยพาพวกเจ้าเข้าร่วมการแข่งขันดีหรือไม่”
“สำนักบัณฑิตหนานซานเป็นอะไรไป หนีไปแล้วหรือ”
จู่ๆ ก็มีเสียงมาจากด้านข้าง โจวกุ้ยหลานหันหน้าไปมอง ก็เห็นว่าเป็นศิษย์ของสำนักบัณฑิตไป๋ลู่ที่นั่งอยู่ไม่ไกล
“สำนักบัณฑิตหนานซานเป็นอะไรไป ยังไม่พร้อมรึ”
“ข้าว่าคงกลัวแพ้พวกเรา ถึงได้จงใจหลบซ่อน”
“นั่นมันขี้ขลาดเกินไปแล้วมั้ง”
พวกศิษย์สำนักบัณฑิตไป๋ลู่เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย อีกทั้งในหมู่พวกเขา ปรากฏว่าเป็นเห้อเฟิงผู้ที่เคยขัดแย้งกับพวกเขาเมื่อครั้งที่แล้ว
คนอื่นที่เหลือที่พูด ล้วนนั่งล้อมรอบเขา และอยู่ฝ่ายเดียวกันกับเขา
โจวกุ้ยหลานยืนขึ้น ยิ้มเยาะ “คิดไม่ถึงว่าศิษย์ของสำนักบัณฑิตไป๋ลู่จะเป็นพวกปากหอยปากปูพล่ามนินทาอยู่ที่นี่ด้วย”
ทันทีที่พูดออกมา ศิษย์ของหลายสำนักบัณฑิตโดยรอบระเบิดหัวเราะออกมา
สีหน้าอาจารย์ของสำนักบัณฑิตไป๋ลู่ก็ไม่น่าดูมาก หันหน้าไปจ้องพวกเห้อเฟิงอย่างดุดัน
(1) สามฉุกเฉิน ประกอบไปด้วย การปัสสาวะ อุจจาระ และผายลม