นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 383 การแข่งขัน 6
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 383 การแข่งขัน 6
ในสภาพแวดล้อมที่เอะอะโวยวายนี้ หลังจากพิธีกรและบรรดาอาจารย์ของสำนักบัณฑิตปรึกษาหารือกันแล้ว ก็ถูกอาจารย์ของแต่ละฝ่ายระงับเหตุการณ์เอาไว้
พวกเขาไม่ยินยอม คำถามเช่นนี้ ให้คำนวณออกมาในเวลาเพียงธูปครึ่งดอกถือว่ายากอย่างมากสำหรับพวกเขา พวกเขาไม่เชื่อว่าจะมีคนสามารถคำนวณออกมาได้รวดเร็วเช่นนี้!
“ข้อสอบจะต้องรั่วไหลอย่างแน่นอน! นางจะต้องรู้คำตอบมาก่อนหน้านี้แล้ว!”
เห้อเฟิงที่อยู่บนเวทีชี้ไปที่โจวกุ้ยหลาน แล้วกล่าวเปิดโปงกับพิธีกร
เพียงได้ฟังข้ออ้างนี้ของเขา คนอื่นๆ ก็เข้าใจในทันที มิน่าเล่า…….มิน่าเล่าผู้หญิงคนนี้ถึงได้คำตอบในคำถามทั้งสองข้อติดต่อกัน!
ทุกสิ่งทุกอย่างนี้มีเหตุผล!
โจวกุ้ยหลานพูดไม่ออก “ข้ารู้ที่ไหนกันว่าข้าจะมาแข่งขันกับพวกเจ้า? แล้วอีกอย่าง พวกเจ้ามีใครรู้จักข้าบ้าง แล้วใครจะเอาข้อสอบมาบอกข้าเล่า? ผู้ทรงคุณวุฒิเหล่านี้หรือ?”
โจวกุ้ยหลานพูดพลาง หันหน้าไปทางผู้ทรงคุณวุฒิทั้งห้า
เพียงพูดคำนี้ออกมา สีหน้าของผู้ทรงคุณวุฒิทั้งห้าก็ไม่น่าดู ความหมายนี้ คือบอกว่าพวกเขาทำให้ข้อสอบรั่วไหลเช่นนั้นหรือ?
เห้อเฟิงหุบปากไม่กล้าพูดจา ต่อให้พวกเขาจะกล้าสักแค่ไหน ก็ไม่กล้าไปท้าทายกับทั้งห้าคนนั้นที่อยู่บนเวทีหรอก……..
คนที่อยู่ข้างๆ ดึงเขาให้นั่งลง แล้วไปกล่าวปลอบใจเขาเบาๆ
พิธีกรกล่าวถามโจวกุ้ยหลานอย่างนิ่งๆ ว่า: “เอ่อ……คำถามนี้เข้าแก้โจทย์ออกมาได้อย่างไรกัน?”
“ก่อนหน้านี้ข้าเคยเลี้ยงไก่และหมูจำนวนไม่น้อย มักจะนับอยู่บ่อยๆ หมูกับกระต่ายมีหนึ่งหัวกับสี่ขาเหมือนกันไม่ใช่หรือ?”
ใบหน้าของโจวกุ้ยหลานเต็มไปด้วยความซื่อตรง เพียงแค่คำตอบนี้ ก็ทำให้ทุกคนในที่นี้ถึงกับพูดไม่ออก
คำตอบนี้ วางอยู่ภายในใจพวกเขา ทำให้พวกเขารู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทำให้รู้สึกอึดอัดไม่สบายใจ
ไม่เพียงแค่ลูกศิษย์เหล่านั้น บรรดาอาจารย์ที่เป็นตัวแทนของสำนักบัณฑิตเหล่านั้นบนใบหน้าก็แสดงถึงการเสียหน้า และอาจารย์ทั้งห้าท่านที่อยู่บนเวที ต่างก็มีสีหน้าที่สุดจะพรรณนา
“เช่นนั้น……เช่นนั้นก็ไปที่คำถามที่สาม…….”
พิธีกรเพิ่งพูดจบ เห้อเฟิงก็ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง แล้วเสนอข้อเรียกร้องเสียงดังว่า: “ช้าก่อน ครั้งนี้ ไม่สามารถใช้สัตว์มาถามคำถามได้อีกแล้ว!”
เพียงพูดคำนี้ออกมา ลูกศิษย์โดยรอบที่ครึกครื้นก็พยักหน้าไปตามๆ กัน
พิธีกรลังเลใจเล็กน้อย แล้วหันไปมองผู้ทรงคุณวุฒิหลายท่านที่อยู่ด้านหลัง คนทั้งห้าปรึกษาหารือกัน แล้วตัดสินใจถามอีกคำถามชั่วคราว
เพียงคนอื่นๆ ได้ฟัง ภายในใจก็รู้สึกสบายใจ
ความโชคดีของผู้หญิงคนนี้หมดลงแล้ว คำถามต่อไป ก็คือตัดสินผู้แพ้ชนะ!
แน่นอนว่า โจวกุ้ยหลานไม่สนใจความคิดของพวกเขา ถึงอย่างไร คำถามคณิตศาสตร์เหล่านี้มีสมการก็คำนวณได้อย่างง่ายดาย
ทางด้านนี้กำลังปรึกษาหารือกันจ้อกแจ้กจอแจ เมิ่งเจียงและคนอื่นๆ เดินเข้ามาอย่างตัวเบา จ้าวจงตี้ยังคงแบกอาจารย์ที่วิงเวียนเล็กน้อย
สีหน้าของคนอื่นๆ อีกสองสามคนล้วนไม่สู้ดีนัก
ท้องเสียครั้งนี้ถ่ายท้องเสียพวกเขาไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่น้อย
“ปีนี้พวกเราคงไม่อาจเป็นผู้ชนะได้แล้ว……..”
ลูกศิษย์คนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังก้มหน้าอย่างเศร้าซึม ภายในใจรู้สึกเสียใจอย่างมาก
เดิมทีสีหน้าของอาจารย์ที่ไม่ดีอยู่แล้วเวลานี้ก็ยิ่งไม่น่าดูอย่างมาก: “เช่นนั้นก็ปีหน้าค่อยมาใหม่แล้วกัน!”
“ผ่านฉลองปีใหม่ไปสามเดือนก็เป็นการจัดสอบคัดเลือกช่วงสันต์(การสอบบรรจุขุนนางท้องพระโรงในช่วงราชวงศ์ถึงและซ่งโดยจะมีฮ่องเต้เสด็จมาคุมการสอบด้อยองค์เอง)แล้วไม่ใช่หรือ? ถึงเวลานั้นหากพวกเราต่างก็สอบได้ ชื่อเสียงก็จะกลับมา” เมิ่งเจียงกล่าวปลอบโยนทุกคนด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
เพียงคิดเช่นนี้ ทุกคนก็สบายใจขึ้นมาเล็กน้อย
ถึงอย่างไรการจัดสอบคัดเลือกช่วงสันต์ก็สำคัญที่สุด……..
การปลอบใจตนเองเช่นนี้ ทำให้เท้าของคนสองสามคนมีแรงขึ้นอย่างมาก
เพียงแต่เมื่อเห็นว่าทุกคนยังอยู่ พวกเขาก็สบตากัน ค่อนข้างไม่อยากจะเชื่อ
พวกเขานั่งอยู่ในห้องส้วมนานขนาดนี้ การแข่งขันก็น่าจะจบสิ้นแล้ว เพราะเหตุใดพวกเขาถึงยังอยู่ที่นี่ล่ะ? นี่กำลังดูอะไรอยู่หรือ?
ริมฝีปากของอาจารย์สั่นเล็กน้อย: “ไปดูเถิด”
เมิ่งเจียงและคนอื่นๆ ได้ฟังคำพูดนี้ จึงรีบเดินเข้าไปดู เดินคนด้านในมาคนหนึ่งแล้วถามว่าเกิดอะไรขึ้น
คนคนนั้นเมื่อเห็นพวกเขา น้ำเสียงก็แสดงความเหยียดหยาม: “คนรับใช้ที่คอยซักผ้าทำอาหารในสำนักบัณฑิตพวกเจ้าพาเด็กสองคนในสำนักบัณฑิตพวกเจ้ามาเป็นตัวแทนพวกเจ้าเข้าแข่งขัน!”
“คนรับใช้อะไรกัน?” เมิ่งเจียงไม่ตอบสนองไปชั่วขณะหนึ่ง
สำนักบัณฑิตของพวกเขามีคนรับใช้เสียที่ไหนกัน?
“เรื่องของสำนักบัณฑิตพวกเจ้า มาถามข้า แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไร?” ลูกศิษย์คนนั้นหันหน้ากลับมาด้วยความโมโห แล้วไม่มองเมิ่งเจียงอีกต่อไป
เมิ่งเจียงถูกความโกรธของเขาทำให้สับสนงุนงง จึงนำเรื่องนี้กลับไปเล่าให้คนอื่นๆ ฟัง
พวกเขาก็สับสนไม่เข้าใจ อาจารย์โบกมือ คนกลุ่มหนึ่งที่อยู่ตรงที่ว่างด้านข้างก็เดินเข้าไป เมื่อพวกเขามาถึงที่นั่งของตนเอง ก็เห็นว่าโจวกุ้ยหลานและเด็กสองคนนั่งอยู่บนนั้น พวกเขาจึงตกใจจนอ้าปากค้าง
“นางๆๆ!”
“กุ้ย……กุ้ย…..กุ้ย……”
แต่ละคนต่างก็กลายเป็นคนติดอ่าง ภายในใจสับสนอลหม่าน
การกระทำของทางด้านนี้ดึงดูดให้สองสามสำนักบัณฑิตที่อยู่ด้านข้างสังเกตเห็น ทุกคนจึงส่งเสียงดังเกรียวกราวขึ้นมาอีกครั้ง
เมื่อเห็นคนเหล่านี้ในสำนักบัณฑิตพวกเขา แต่ละคนก็แทบจะทรุด
“ปล่อยข้าลง” อาจารย์ตบเบาๆ ที่ไหล่ของจ้าวจงตี้ จ้าวจงตี้จึงได้สติกลับมา จึงรีบวางอาจารย์ลงนั่งบนเก้าอี้ และหันหน้าไปมองโจวกุ้ยหลานและคนอื่นๆ อีกครั้ง
ลูกศิษย์คนหนึ่งที่อยู่ด้านข้างพูดแขวะว่า: “สำนักบัณฑิตของพวกเจ้าช่างน่าขายหน้าเสียจริงๆ! คาดไม่ถึงว่าจะส่งคนสามคนมาแข่งขันเช่นนี้!”
อาจารย์ส่งสายตาอันคมกริบมองเข้าไป ลูกศิษย์คนนั้นตกใจจนเงียบปาก ทันใดก็ตอบสนองว่าตนเองเสียหน้าเช่นนี้ จึงทอดถอนใจ แล้วหันหน้ากลับไป
“สำนัก…..สำนักบัณฑิตของพวกเรากำลังจะพ่ายแพ้แล้ว……อับอายขายหน้าอย่างยิ่ง…….”
“พวกเจ้าดูสิ! คะแนนแข่งขันคือสองต่อสองนะ!”
ทุกคนที่คอตกมองไปตามสายตาของเมิ่งเจียง ก็เห็นป้ายคะแนนที่อยู่บนโต๊ะไม่ไกลนัก ทั้งสองฝั่งล้วนเป็นสองคะแนน
ทุกคนไม่อยากจะเชื่อ จึงหันไปมองโจวกุ้ยหลาน ก็เห็นว่าโจวกุ้ยหลานกำลังมองมาทางด้านนี้พอดี หลังจากนั้นก็แสยะยิ้มให้พวกเขา
ทุกคน: “…….”
ความประทับใจกะทันหันนี้มันเกิดอะไรขึ้น?
ป้ากุ้ยหลานของพวกเขา!
ดวงตาทั้งคู่ของอาจารย์เป็นประกาย ลมหายใจแรงขึ้นอย่างมาก
พวกเขา……..ยังไม่พ่ายแพ้!
โจวกุ้ยหลานดึงสายตากลับมา แล้วรอคำถามต่อไป
ความรวดเร็วในการออกโจทย์คำถามของอาจารย์เหล่านี้ช้าอย่างมาก เป็นเวลานานขนาดนี้แล้ว ก็ยังไม่ออกคำถามใหม่เสียที…..
พอคิดเสร็จ พิธีกรคนนั้นก็หยิบใบรายการแผ่นหนึ่งขึ้นมา เดินไปตรงกลาง ยืนนิ่ง แล้วกระแอมเบาๆ : “คนคนหนึ่งเดินไปตามถนน ถือกาไปซื้อเหล้า พบร้านก็เพิ่มหนึ่งเท่า เห็นดอกไม้ก็ดื่มหนึ่งช้อน เมื่อพบร้านและดอกไม้สามครั้ง ก็ดื่มเหล้าในกาหมด สอบถามถึงเหล้าที่อยู่ในกา ว่าเดิมทีมีเหล้าอยู่เท่าไร?”
เพียงคำถามนี้ออกมา ในสถานที่ก็สงบลงอีกครั้ง
ทุกคนต่างก็ก้มหน้าครุ่นคิดวิธีการแก้ปัญหานี้ตามๆ กัน เมิ่งเจียงและคนอื่นๆ ได้ฟังคำถามนี้ ภายในใจก็จมดิ่ง
คำถามนี้ไม่ง่ายเลย พวกเขาจะคิดคำนวณออกมาได้ก็ไม่ง่ายเหมือนกัน…….
เห้อเฟิงยิ้มเยาะ “ดูซิว่าครั้งนี้เจ้าจะทำอย่างไร!”
พูดจบ ก็ไปปรึกษาหารือกับคนอื่นอีกครั้ง
โจวกุ้ยหลานหยิบพู่กันมาเคาะที่ริมฝีปากสองที และก้มมองไปยังเด็กทั้งสอง เสี่ยวรุ่ยหนิงคว่ำลงบนโต๊ะแล้วขีดเขียน ส่วนเสี่ยวรุ่ยอานก็ยังคงเขี่ยนิ้วอยู่
นางวางพู่กันลง แล้วไปถามเสี่ยวรุ่ยอานเบาๆ ว่า: “ทำไมถึงไม่คำนวณหรือ?”
เสี่ยวรุ่ยอานเบ้ปาก แล้วกล่าวอย่างน้อยใจว่า: “ข้าคำนวณออกมาไม่ได้……..”
“ยังไม่ได้คำนวณเลย แล้วรู้ได้อย่างไรว่าคำนวณออกมาไม่ได้ล่ะ? เจ้าดูน้องชายของเจ้าสิยังคำนวณอยู่เลย”
เสี่ยวรุ่ยอานหันหน้ากลับไปมอง ก็เห็นว่ารุ่ยหนิงกำลังขีดเขียนอย่างไม่หยุดหย่อน
เขาทำจมูกฟุดฟิด ไม่พูดจา
เฮ้อ เด็กที่ฉลาดเกินไปมักจะเปราะบางและไม่สามารถรับความพ่ายแพ้ได้จริงๆ ดูสิเสี่ยวรุ่ยหนิงที่ค่อนข้างเขลากว่าพี่ชายเล็กน้อยตั้งแต่เด็ก เวลานี้ยังไม่คิดมากอะไรเลย