นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 388 ถูกจับ
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 388 ถูกจับ
โจวกุ้ยหลานจ้องมองไปที่เสี่ยวจิ่ว นางไม่ละทิ้งการเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าเลย แต่น่าเสียดาย ดวงตาทั้งคู่ของเสี่ยวจิ่วปิดแน่น แล้วก็ไม่เอ่ยปากอะไร
ในความมืดมิด นางก็มองไม่ออกถึงการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ
โจวกุ้ยหลานรู้สึกกังวลใจ ในสมองหวนคิดขึ้นมา
ไม่มีเหตุผล เหตุใดสวีฉางหลินจะต้องส่งคนมาปกป้องนางด้วย?
แล้วทำไมตอนแรกเขาถึงจำนางไม่ได้ล่ะ?
ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้จะไม่ได้ถาม แต่ในเวลานี้ นางถูกขังเอาไว้ แต่เพื่อปกป้องนาง จึงได้รับบาดเจ็บสาหัส และที่สำคัญ เด็กทั้งสองของนางไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง……
“สวีฉางหลินผิดใจกับใครใช่หรือไม่?” โจวกุ้ยหลานหรี่ตาลง “หรือว่า เขาทำเรื่องอะไรที่อันตรายอยู่หรือเปล่า?”
ในใจของเสี่ยวจิ่วสั่นสะท้าน ในขณะนี้นางดีใจที่เมื่อครู่นี้ตนเองได้หลับตาลง
ไม่ได้รับการตอบรับ โจวกุ้ยหลานทำได้เพียงมองแค่มองผู้หญิงที่นอนอยู่บนพื้น
อยู่ในห้องขังนี้ ไม่รู้กลางวันกลางคืน เมื่อหน้าต่างบานเล็กบนประตูเหล็กเปิดขึ้นอีกครั้ง ข้าวถาดใหญ่ก็ถูกส่งออกมาจากด้านนอก
โจวกุ้ยหลานลุกขึ้น เดินเข้าไป และรับมันมา
เสียงดัง”ปัง” ประตูเหล็กนั้นถูกปิดลง
โจวกุ้ยหลานเดินกลับมาอย่างช้าๆ และเรียกเสี่ยวจิ่วที่อยู่บนพื้น : “กินข้าวได้แล้ว”
เสี่ยวจิ่วลืมตาขึ้น มองถ้วยข้าวนั้นบนถาดในมือของนาง และกล่าวด้วยเสียงแหบแห้งว่า : “ข้าไม่หิว ไม่อยากกิน”
“ไม่อยากกินก็ต้องกิน” โจวกุ้ยหลานถือถ้วยลงนั่ง นำข้าวป้อนใส่ปากเสี่ยวจิ่ว เสี่ยวจิ่วขยับปากเล็กน้อย แต่ยังคงอ้าปาก และกลืนข้าวในช้อนลงท้องไป
ตอนนี้โจวกุ้ยหลานไม่ได้พิถีพิถันมากนัก ป้อนให้นางหนึ่งคำ และกินเองหนึ่งคำ ทั้งสองคนกินข้าวจนหมดถ้วย และร่างกายก็มีเรี่ยวแรงมากขึ้น
หลังจากนั้น ทั้งสองคนก็เงียบลงไปอีกครั้งหนึ่ง โจวกุ้ยหลานหนาวจนทนไม่ไหว ลุกขึ้นกระโดดสักพักหนึ่ง เมื่อร่างกายอบอุ่นขึ้น จึงนั่งลง
เสี่ยวจิ่วต้องการคืนเสื้อให้นาง แต่ถูกนางปฏิเสธ
เสี่ยวจิ่วพยายามลุกขึ้นนั่งบนพื้น แต่แผลบนร่างกายกลับฉีกจนนางรู้สึกเจ็บปวด
นางลุกขึ้นยืน มองแสงที่ส่องผ่านตรงนั้น และเดินเข้าไปทางด้านนั้นทีละก้าวๆ
เมื่อถึงที่นั่น ก็ยื่นมือไป คลำกำแพงหนานั่น หัวใจของนางก็จมดิ่งลง
“ไม่ต้องหาแล้ว ไม่มีโอกาสออกไปจากที่นี่หรอก” โจวกุ้ยหลานพูดจบ ก็เข้ามาประคองนาง และช่วยนางนั่งพิงข้างๆ กำแพง
เมื่อนั่งลง เสี่ยวจิ่วหอบหายใจอยู่หลายรอบ
โจวกุ้ยหลานเดินเข้าไป หยิบเสื้อคลุมผ้าฝ้ายที่ตกบนพื้นนั้นขึ้นมา คลุมลงบนตัวเสี่ยวจิ่ว และถือโอกาส รวบรวมเสื้อผ้าของตนเอง มาคลุมนางให้มากขึ้น
“เจ้าไม่กังวลใจบ้างหรือ?” เสี่ยวจิ่วอดถามไม่ได้
นางมีนิสัยเย็นชามาตลอด แต่ในเวลานี้ก็อดไม่ได้ที่จะมีข้อสงสัยขึ้นมาในใจ
โจวกุ้ยหลานนั่งลงตามนาง : “กังวลสิ ทำไมจะไม่กังวล เด็กสองคนก็ถูกพวกเขาจับไปแล้วใช่ไหม? ตอนนี้พวกเขาจะไม่กำลังหวาดกลัวอยู่หรือ? จะไม่กินไม่ดื่มอะไรใช่ไหม?”
“เช่นนั้น……”
“แต่ข้ารู้ว่า อย่างน้อยตอนนี้พวกเขาก็ปลอดภัย ในเมื่อเราถูกขังอยู่ที่นี่ แน่นอนว่าต้องมีจุดประสงค์ จึงไม่สามารถเพิกเฉยต่อความเป็นความตายของเราได้”
โจวกุ้ยหลินพูดจบ ก็หันไปยิ้มให้เสี่ยวจิ่ว : “วางใจเถอะ ไม่มีปัญหาอะไรหรอก”
เสี่ยวจิ่วก้มหน้าลง กลัวว่าจะถูกรอยยิ้มของนางทำให้ตาพร่ามัว
“เจ้ากับผู้หญิงที่ข้ารู้จัก ช่างแตกต่างกัน”
โจวกุ้ยหลานตกตะลึงไปครู่หนึ่ง เมื่อมีการตอบสนองกลับมา จึงนำศีรษะพิงกำแพง เงยหน้าขึ้น : “เช่นนั้นจะทำอย่างไรดีล่ะ มันมาถึงขั้นนี้แล้ว”
“ทำได้เพียงคิดว่า ใครเป็นคนลงมือ และจุดประสงค์คืออะไร”
เสี่ยวจิ่วรู้สึกเจ็บแปลบที่บาดแผล นางเอ่ยถามโจวกุ้ยหลานว่า : “เจ้าคิดออกหรือไม่ล่ะ?”
โจวกุ้ยหลานส่ายหัว : “คิดไม่ออก ปกติแล้วข้าก็ทำให้คนไม่พอใจอยู่ไม่น้อย อีกอย่างหนึ่ง เมื่อไม่นานมานี้ก็ทำให้หลายสำนักบัณฑิตต้องเสียหน้า บางทีพวกเขาอาจจะรับไม่ได้ จนลงมือกับข้าก็เป็นไปได้นะ?”
ถึงแม้ว่าจะพูดเช่นนี้ แต่ในใจของนางกลับรู้สึกเสมอว่า ครั้งนี้คนที่ลงมือกับพวกเขา จะต้องมีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดา
“เช่นนั้นเจ้าคิดว่าจะทำอย่างไรดี?”
“ในเมื่อคิดไม่ออก เช่นนั้นก็ถามคนที่ลักพาตัวเรามาก็แล้วกัน”
ทันทีที่โจวกุ้ยหลานตอบกลับ ก็ลุกขึ้น เดินไปทางทิศเหนือ ลงมือ เคาะประตูเหล็ก แล้วตะโกนบอกคนข้างนอกว่า : “เรียกหัวหน้าของพวกเจ้ามาเถอะ ข้าต้องการความเข้าใจสักเล็กน้อย”
เสี่ยวจิ่วคาดไม่ถึงว่า นางจะทำแบบนี้
เพียงแต่เมื่อคิดดูอีกที ในอดีตทุกเรื่องที่นางทำดูเหมือนว่าล้วนมีความคิดเป็นของตนเองทั้งสิ้น ก็เลยปล่อยวาง
หลังจากนั้นไม่นาน ประตูก็ถูกเปิดออก มีแสงสว่างแยงเข้ามา ดวงตาของโจวกุ้ยหลานไม่สามารถรับได้ นางจึงรีบปิดตาทั้งคู่
เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ชายสวมหน้ากากคนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตู
ชายสวมหน้ากากคนนั้น พูดกับนางด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่า : “มากับข้า”
โจวกุ้ยหลานหันไปมองเสี่ยวจิ่วที่กำลังเคร่งเครียดอยู่ และส่ายหัวให้นาง เพื่อบ่งบอกนางว่าไม่ต้องตื่นเต้น และตนเองก็ก้าวเท้า เดินออกไป
เมื่อนางออกจากห้องขัง ก็พบว่าด้านนอกเป็นห้องที่ค่อนข้างประณีตงดงาม
มีโต๊ะสี่เหลี่ยมแกะสลักฉลุลาย และเก้าอี้ที่เข้าชุดกัน ฉากกั้นห้องเป็นน้ำที่ไหลจากภูเขาสูง ขวางกั้นสายตาเอาไว้
โจวกุ้ยหลานเดินตามชายสวมหน้ากากคนนั้นไปนั่งด้านหน้าโต๊ะ และนั่งขัดสมาธิ
ชายคนนั้นยื่นมือออกไป รินน้ำชายให้นาง และส่งไปตรงหน้านาง
โจวกุ้ยหลานรู้สึกว่าท่าทางของผู้ชายคนนี้ดูสุภาพมีมารยาทอย่างบอกไม่ถูก ราวกับคุณชายที่ถ่อมตน
“เชิญดื่มก่อน”
“ขอบคุณ” โจวกุ้ยหลานตอบรับ และเอื้อมไปหยิบถ้วยชาเล็กๆ ตรงหน้า กลิ่นหอมสดชื่นโชยเข้ามา จิบหนึ่งอึก กลิ่นหอมสดชื่นตลบอบอวลไปทั่วทั้งปาก
ชาชั้นดี!
ถึงแม้ว่านางจะไม่เข้าใจ ก็รู้สึกได้ว่าชานี้แตกต่างจากชาที่นางดื่มเป็นประจำ
“ชาดีขนาดนี้ เอามาบริการนักโทษอย่างข้า จะไม่เป็นการเสียเปล่าหรอกหรือ?” โจวกุ้ยหลานฉีกยิ้มบนใบหน้า มองไปยังชายที่สวมหน้ากากตรงหน้านาง
ถึงแม้ว่าจะมองไม่เห็นมบหน้าของเขา แต่ก็สามารถมองเห็นการชื่นชมในดวงตาของเขาได้
“หากได้พบฮูหยินท่านนายพล เช่นนั้นก็ไม่เสียเปล่าแล้ว”
น้ำเสียงแหบพร่าของชายคนนั้น ราวกับก้อนหินที่ขัดถูอยู่บนกระดาษทราย ทำให้คนรู้สึกขนลุกขนพอง
โจวกุ้ยหลานหยุดการกระทำไปชั่วขณะ จากนั้นก็หัวเราะออกมาทันที : “เช่นนั้นเกรงว่าเจ้าจะจับผิดคนเสียแล้ว ข้าเป็นเพียงคนทำการค้าตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ใช่ฮูหยินท่านนายพลอะไรที่ไหนกัน?”
ชายสวมหน้ากากยกถ้วยชาขึ้นมา ค่อยๆ หมุนมันในมือและกล่าวว่า : “ฮูหยินของนายพลสวีที่แต่งงานกันเมื่อห้าปีก่อน ยังถูกปกปิดเก็บซ่อนไว้เป็นอย่างดีจริงๆ”
พูดถึงตรงนี้ โจวกุ้ยหลานก็รู้ว่าชายคนนี้กำลังบอกนางให้ชัดเจน ว่าเขารู้ทุกสิ่งทุกอย่าง
โจวกุ้ยหลานวางถ้วยชาลงโดยตรง “ในเมื่อเจ้าตรวจสอบได้ถึงตรงนี้ เช่นนั้นก็น่าจะเข้าใจว่า ข้าเป็นเพียงแค่คนที่นายพลสวีใช้หัวหมูป่าแลกมาหนึ่งหัวเท่านั้น และเขาก็จากพวกเราแม่ลูกไปนานแล้ว หากเจ้ามาที่นี่เพื่อเขา เกรงว่าจะมาหาผิดคนแล้ว”
“สวีฮูหยินเฉลียวฉลาดจริงๆ ในเวลานี้ยังสามารถรับมือได้อย่างไม่สะทกสะท้าน ข้าน้อยรู้สึกนับถือสวีฮูหยินจริงๆ”
หัวใจของโจวกุ้ยหลานรู้สึกตื่นตระหนก
“นายพลสวีคนนี้ทุ่มเทกับความรักจริงๆ เพื่อที่จะปกป้องพวกเจ้า ก็ทำเหมือนไม่เคยรู้จักพวกเจ้ามาก่อน”
“เช่นนั้นเจ้ารู้ได้อย่างไรล่ะ?”
โจวกุ้ยหลานย้อนถาม
พูดตามความจริงแล้ว คนที่ทราบเรื่องนี้มีไม่มาก แม้แต่สวีฉางหลินยังไปรอนางที่ร้าน หลังจากที่ไม่มีใครอยู่ในร้านแล้วเลย ยิ่งไปกว่านั้น ก็มีเพียงแค่สองครั้งเท่านั้น