นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 393 เจ้าคิดว่าข้าจะตอบตกลงหรือไม่
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 393 เจ้าคิดว่าข้าจะตอบตกลงหรือไม่?
สวีฉางหลินเชิดคางพยักหน้าให้กับผู้ชายคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้าง ผู้ชายคนนั้นรีบพยักหน้า เพื่อแสดงออกให้รู้ว่าทราบแล้ว
คนอื่นปีนกำแพงเข้าไปกับสวีฉางหลิน และผู้ชายคนเมื่อกี้ พาโจวกุ้ยหลานไปหลบซ่อนอยู่ที่มืดอำพรางตัว ฟังเสียงบริเวณโดยรอบอย่างละเอียด
โจวกุ้ยหลานกำมือแน่น แม้ว่านี่จะเป็นอากาศหนาวเหน็บ นางก็รู้สึกว่าทั้งตัวร้อนระอุ
สวีฉางหลินที่เข้าไปด้านในเรือน เขาให้สัญญาณมือกับทุกคน คนพวกนั้นเข้าใจ เลยทยอยแยกย้ายกัน แต่ละคนไปหาในห้องที่ใกล้เคียง
เขามองบริเวณโดยรอบหนึ่งหน เห็นห้องหนึ่งอยู่ไม่ไกล เลยแฉลบเอียงตัว ลอยขึ้นไป จากนั้นเปิดกระเบื้องออก แล้วส่องดูด้านใน
ด้านในห้องยังมีแสงไฟ ตรงด้านล่าง มีโต๊ะหนึ่งตัว ด้านบนโต๊ะมีของกินเต็มไปหมด เด็กน้อยสองคนนั่งอยู่ที่โต๊ะ เอาอาหารยัดเข้าไปในปากทีละนิดๆ
สวีฉางหลินมองไปบริเวณโดยรอบ เห็นไม่มีคน เลยเคลื่อนย้ายกระเบื้องวางไว้ด้านข้าง หลังจากที่ดูว่าคนสามารถเข้าออกได้แล้ว เขาเลยกระโดดลงไป
เขาลงมาที่พื้นอย่างนิ่มนวล เงยหน้าขึ้นก็เห็นเด็กทั้งสองคนมองเขาอยู่
นิ้วมือปิดอยู่ที่ปาก เพื่อบอกให้เด็กทั้งสองคนรู้ว่าอย่าส่งเสียง ในปากของเด็กทั้งสองคนยังมีอาหารอยู่ เลยพากันพยักหน้า
สวีฉางหลินเดินไปหาเบาๆ แล้วอุ้มเด็กทั้งสองขึ้น
เด็กทั้งสองคนฉลาดหลักแหลมใช้มือข้างหนึ่งเกาะแขนของสวีฉางหลินไว้แน่น ส่วนมืออีกข้างหนึ่งยังถือซาลาเปา
สวีฉางหลินเงยหน้ามองหลังคาบ้าน เขย่งปลายเท้าออกแรง กำลังจะกระโดด ประตูก็มีเสียงดัง“เอี๊ยด”ขึ้นมา
เขาหันไปมองดู ก็ได้เห็นผู้ชายสวมหน้ากากยืนอยู่ ด้านหลังของเขา มีคนใส่ชุดดำยืนอยู่กลุ่มหนึ่ง ล้อมรอบพวกเขาไว้ ปรากฏให้เห็นเพียงดวงตา ในมือทุกคนถือกระบี่ไว้ กลิ่นอายความต้องการสังหารแผ่ซ่านออกมา และพุ่งหันมาทางเขา
“นายพลสวี ในเมื่อมาแล้ว เหตุใดไม่นั่งดื่มเหล้าก่อนค่อยไปล่ะ?”ผู้ชายสวมหน้ากากฉีกยิ้มขึ้น น้ำเสียงแหบพร่า ฟังท่วงทำนองเสียงเมื่อก่อนไม่ออกเลย
“เป็นเขา! คนชั่วจับข้ากับท่านพี่มา!”เสี่ยวรุ่ยหนิง เห็นคนมา แก้มป่องบอกกับสวีฉางหลินด้วยความไม่พอใจ
คนชั่วผู้นี้ ไม่ให้พวกเขาเจอท่านแม่!
สวีฉางหลินเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ตามด้วยหันไปกล่าวกับผู้ชายสวมหน้ากากว่า“ไม่ต้องแล้ว”
ผู้ชายสวมหน้ากากคนนั้นยิ้มร้าย กล่าวว่า“นายพลสวี คนเหล่านี้ของข้าอยากจะรั้งท่านไว้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ท่านอยากพาเด็กทั้งสองคนนี้ออกไปโดยที่ไม่ได้รับบาดเจ็บนั้น เกรงว่าก็ไม่ง่ายเช่นกัน”
คำกล่าวพูดนี้คือการข่มขู่อย่างชัดเจน
สวีฉางหลินหรี่ตา กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า“พวกเจ้าก็มาลองดูกัน”
เมื่อกล่าวคำนี้จบ กลิ่นอายความเยือกเย็นบนตัวได้เพิ่มมากขึ้น
เด็กน้อยทั้งสองคนที่ถูกเขาอุ้มอยู่ ตอนนี้ภายในใจรู้สึกขนลุก เสี่ยวรุ่ยอานกอดแขนแน่น ส่วนเสี่ยวรุ่ยหนิงกลืนน้ำลาย เลยกัดซาลาเปาที่อยู่ในมือไปหนึ่งคำ พยายามออกแรงเคี้ยว
เมื่อหวาดกลัว กินเข้าไปก็ไม่กลัวแล้ว…..
รอยยิ้มมุมปากของผู้ชายสวมหน้ากากลดน้อยลง หลังจากนั้นชั่วประเดี๋ยวเดียว เขาก็ยิ้มเหมือนก่อน กล่าวพูดน้ำเสียงเหมือนที่ผ่านมาว่า“ไม่ทราบว่านายพลสวีสนใจขอทานที่หามาพวกนั้นหรือไม่? แล้วก็ องครักษ์ลับของท่านก็ไม่เอาไว้แล้วใช่หรือไม่?”
สวีฉางหลินหรี่ตามอง น้ำเสียงเย็นชากล่าวว่า“เจ้าข่มขู่ข้าหรือ?”
ผู้ชายสวมหน้ากากกล่าวว่า“มิกล้า ข้าเพียงแค่อยากจะทำการค้าหนึ่งกับนายพลสวีเอง”
“อะไร?”
ผู้ชายสวมหน้ากากหุบยิ้ม กล่าวว่า“เอาชีวิตของนายพลสวี มาแลกกับชีวิตคนเหล่านี้”
“เจ้าคิดว่าข้าจะตอบตกลงหรือไม่?”สวีฉางหลินย้อนถาม
ผู้ชายสวมหน้ากากส่ายหน้า กล่าวว่า“ข้าหวังอย่างนี้ แต่น่าเสียดายลิขิตครั้งนี้ไม่สามารถประสบความสำเร็จดังหวังแล้ว…..”
กล่าวพูดจบ ก็ทอดถอนหายใจออกมาอย่างจนปัญญา
ตามด้วยกล่าวอย่างต่อเนื่องว่า“แต่การทำให้ลูกของนายพลสวีสองคนนั้นตาย มันถือว่าเป็นเรื่องง่าย ไม่เชื่อ นายพลสวีเงยหน้าขึ้นดูก็ได้นะ”
เดินบนหลังคามีเสียงฝีเท้าเดินเป็นระยะ สวีฉางหลินเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นรูที่เพิ่งจะทำช่องไว้เมื่อครู่นี้ มีคนยืนอยู่เต็มไปหมด
และเวลานี้ พวกเขาต่างถือธนู เล็งมาตรงที่เขายืนอยู่
เพียงแค่เขาขยับ ชั่วประเดี๋ยวเดียวลูกธนูก็สามารถยิงเขาจนเป็นตะแกรงได้
สวีฉางหลินหันหน้ามองไปทางชายสวมหน้ากากอีกครั้ง แล้วถามว่า “ชีวิตของข้า คนอย่างเจ้ากล้าต้องการหรือ?”
“ข้าไม่ได้ต้องการ แต่มีคนต้องการ”ผู้ชายสวมหน้ากากตอบอย่างไม่หวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย
“อย่างนั้นคนที่อยู่เบื้องหลังเจ้าคือใครกัน? ตวนอ๋อง? องค์ชายรอง? หรือว่า หวั่นกุ้ยเฟย?”
ริมฝีปากของผู้ชายสวมหน้ากากหุบลง ทว่านัยน์ตากลับมีความอึมครึม กล่าวว่า“เช่นนั้นนายพลสวีก็น่าจะรู้ว่าสิ่งที่ข้าต้องการคืออะไร”
สวีฉางหลินกล่าวว่า “บางที เจ้าควรดูว่าคนที่เจ้าควบคุมได้ ตอนนี้มีอยู่เท่าไหร่”
คำพูดนี้กล่าวออกมา ภายในใจของผู้ชายสวมหน้ากากก็เกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ดีขึ้นมา
ชั่วประเดี๋ยวเดียว ก็ได้ยินเสียงร้องโหดังขึ้น
และด้านหลังของเขา มีคนพุ่งเข้ามาสังหารแล้ว เพราะเขาขวางอยู่ตรงประตู คนอื่นไม่สามารถดำเนินการอะไรได้
เขารีบเข้ามาด้านใน คนชุดดำกลุ่มนั้นที่อยู่ด้านหลังเขาได้หันกลับไปต่อสู้กับคนอื่นแล้ว
สวีฉางหลินเห็นโอกาสเหมาะสม เลยรีบหลบด้านข้าง อุ้มเด็กทั้งสองคนออกจากตำแหน่งก่อนหน้านี้ หลังจากนั้นบนพื้นก็มีลูกธนูปักอยู่หลายดอก
ช่วงเวลานี้ผ่านไป ด้านบนหลังคาก็มีเสียงร้องโหยหวนวุ่นวายดังขึ้นอีก
สวีฉางหลินพาเด็กน้อยสองคนมาหลบอยู่ตรงข้างผนัง คนชุดดำที่อยู่ในห้องจำนวนหนึ่งได้ยกธนูเล็งมาทางเขา สวีฉางหลินใช้เท้ายกเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้างขึ้น ฟาดไปทางคนหนึ่งในนั้น
คนคนนั้นหลบออกด้านข้าง สวีฉางหลินยกเก้าอี้อีกหนึ่งตัวฟาดไป ทำให้คนอื่นถอยไป
เด็กทั้งสองคนตะลึงกับฉากที่อยู่ตรงหน้า พวกเขามองฉากตรงหน้าด้วยความมึนงง โดยเฉพาะเสี่ยวรุ่ยหนิงที่งงจนลืมกินซาลาเปาแล้ว
ภายใต้สถานการณ์วุ่นวาย เสี่ยวเอ้อร์กระโจนเข้ามาอยู่ใกล้สวีฉางหลิน จากนั้นขวางอยู่ตรงหน้าเขา
สวีฉางหลบอิงแอบอยู่ตรงผนังห้องเงียบๆ ไม่ได้ลงมืออีกแล้ว
“หลับตา”
เด็กทั้งสองได้ยินเลยหลับตา แต่หูยังคงได้ยินเสียงร้องโหยหวนต่างๆ
เห็นองครักษ์ค่อยๆล้มลงทีละคน มุมปากของผู้ชายสวมหน้ากากก็คว่ำลงเช่นกัน เขายกมือขึ้น จากนั้นปรบมือ ส่งสัญญาณให้คนชุดดำทยอยถอยหลัง ล้อมรอบเขาไว้
คนที่อยู่ทางฝั่งของสวีฉางหลินหยุดลง ถอยหลังมาไม่กี่ก้าว เพื่อมาปกป้องอยู่ข้างสวีฉางหลิน
“นายพลสวี คนของท่านเป็นผู้มากฝีมือจริงๆ แต่มีบางคน ไม่รู้ว่าท่านสนใจชีวิตพวกเขาหรือไม่”
ผู้ชายสวมหน้ากากกล่าวพูดจบ ประตูที่เงียบสงบได้ถูกกลุ่มองครักษ์ล้อมอีกครั้ง และบนมือของพวกเขาที่บีบบังคับอยู่ นอกเหนือจากเสี่ยวจิ่วที่บาดเจ็บสาหัสแล้ว ยังมีเสี่ยวเก๋อพวกขอทานกลุ่มหนึ่งด้วย
เสี่ยวจิ่วเห็นสวีฉางหลิน เลยขมวดคิ้ว ก้มศีรษะลง กัดริมฝีปากแน่นไม่พูดจา
องครักษ์ลับคนหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าจะถูกคนจับมาข่มขู่ผู้เป็นนาย มันช่างเป็นความอับอายของนางเสียเหลือเกิน
และพวกเสี่ยวเก๋อ ตอนนี้ตกใจจนขาอ่อนหมดแล้ว
แค่มาช่วยหาสถานที่ ใครจะรู้ว่าพวกเขาจะถูกจับล่ะ? เมื่อเห็นคนตายในห้อง พวกเขาต่างไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ คนทั้งคนตัวสั่นระริก
เวลานี้ คนที่สามารถช่วยพวกเขาได้มีแค่นายพลสวีที่อยู่ข้างกายเด็กสองคนแล้ว
“จุดมุ่งหมายของเจ้า”สวีฉางหลินดึงสายตากลับมา น้ำเสียงเหมือนกับไม่มีการเปลี่ยนแปลง
ผู้ชายสวมหน้ากากก้มหน้าเล็กน้อย แล้วเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง น้ำเสียงกล่าวด้วยความเคารพว่า“ถ้าหากว่านายพลสวีเอาสมุดที่อยู่ในมือนั้นมา ก็สามารถเอาคนเหล่านี้กลับออกไปได้อย่างปลอดภัย”
นี่ก็คือจุดประสงค์ของเขา