นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 396 เขาสามารถสังหารคนได้!
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 396 เขาสามารถสังหารคนได้!
เสี่ยวรุ่ยหนิงเม้มริมฝีปากเล็ก น้ำเสียงมีความสั่นเครือแฝงมาด้วย
เสี่ยวรุ่ยอานที่อยู่ด้านข้างพอเข้าใจแบบสับสนมึนงงกับคำพูดของผู้ชายตรงหน้า แต่ยังไม่เข้าใจอะไรมากว่าสรุปแล้วหมายความว่ายังไง
“ข้าต้องการท่านแม่!”
เสี่ยวรุ่ยหนิงตะโกนก็ร้องไห้“ฮือ”ขึ้นมา ส่วนเสี่ยวรุ่ยอานก็ทำจมูกฟุดฟิด อยากจะร้องไห้ออกมาเหมือนกัน
เขาอยากอยู่ด้วยกันกับท่านแม่ ผู้ชายคนนี้น่ากลัวมาก เขาสามารถสังหารคนได้!
เขาเงยหน้ามองสวีฉางหลิน เห็นผู้ชายตรงหน้าไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองอะไรกับพวกเขาเลย ความหวาดกลัวช่วงไม่กี่วันนี้ กับความสะเทือนใจของวันนี้ ก็ทำให้เขาไม่สามารถอดทนได้แล้ว จึงร้องไห้เสียงดังขึ้นมาพร้อมกับเสี่ยวรุ่ยหนิง
โจวกุ้ยหลานที่นั่งอยู่ข้างเตียงได้ยินเสียงร้องไห้ด้านนอก รู้สึกเจ็บแปลบหัวใจอย่างมาก นางอยากจะไปปลอบโยนลูกทั้งสองคน แต่เมื่อมองเสี่ยวจิ่วที่มีใบหน้าซีดเผือดนอนอยู่บนเตียง ฝีเท้าของนางหยุดชะงักลงทันที
นางสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วกลับไปนั่งลง
สวีฉางหลินอยู่ด้านนอก เขาไม่มีทางปล่อยให้ลูกสองคนเป็นอะไรไปหรอก นางเชื่อใจเขา
เมื่อตั้งสติแล้ว โจวกุ้ยหลานได้ถอดชุดด้านนอกของเสี่ยวจิ่วที่เปื้อนสกปรกออก แล้วทิ้งลงบนพื้น จากนั้นดึงพาห่มมาปกปิดเรือนร่างให้
เมื่อทำสิ่งเหล่านี้เรียบร้อยแล้ว นางได้ตะโกนถามด้านบนหลังคาว่า“มีคนอยู่หรือไม่?”
ด้านบนหลังคามีเสียงกระแทกดังมาเล็กน้อย นางเลยรู้ว่าตนเองเดาไม่ผิดแล้ว
“พวกเจ้าใครสะดวกเอาน้ำร้อนอ่างหนึ้งมาให้ข้าบ้าง แล้วก็เชิญหมอมาดูอาการด้วย”
เมื่อกล่าวพูดจบ ด้านบนมีเสียงดังขึ้นอีกเหมือนกับเสียงนิ้วเคาะกับกระเบื้อง
นางเอื้อมมือไปสัมผัสมือของเสี่ยวจิ่ว มันเย็นเฉียบเลย
นางมองไปบริเวณโดยรอบ ก็ได้เห็นด้านข้างมีกระถางเผาถ่านอยู่อันหนึ่ง
นางสาวเท้าเดินไป หยิบเทียนไขที่อยู่บนโต๊ะมา หยดขี้ผึ้งแล้วค่อยจุดไฟ จากนั้นเอากระถางเผาถ่านมาไว้ใกล้ๆกับเสี่ยวจิ่ว
นางช่วยเสี่ยวจิ่วเช็ดมือเช็ดเท้า เพราะอยากจะให้นางรู้สึกอุ่น
เสียงร้องไห้ด้านนอกค่อยๆลดลง และนางเหมือนได้ยินเสียงสะอึกของเด็กน้อยสองคน น่าจะร้องไห้เหนื่อยแล้ว
สวีฉางหลินเห็นเด็กน้อยสองคนร้องไห้สะอึกสะอื้น แต่สีหน้าท่าทางยังคงเย็นชาเหมือนที่ผ่านมา
“ยังกลัวอยู่หรือไม่?”
เด็กทั้งสองคนมองเขาอย่างระมัดระวัง แล้วมองสบตากัน เคลื่อนไหวนิ้วหัวแม่มือของตัวเอง จากนั้นพยักหน้าหงึกๆ
กลัวมาโดยตลอด
สวีฉางหลินลุกขึ้นยืน เดินไปด้านหน้าโต๊ะ เทน้ำร้อนลงไปในจอกสองจอก แล้วยื่นให้กับเด็กน้อยทั้งสอง
เสี่ยวรุ่ยหนิงเงยหน้ามองเสี่ยวรุ่ยอาน เสี่ยวรุ่ยอานมองน้ำอุ่นที่มีกลิ่นอายความร้อนลอยออกมา จึงเงยหน้ามองสวีฉางหลินอีกครั้ง
ไม่รู้ว่าทำไม เขารู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ไม่มีทางทำร้ายพวกเขา
เขากัดเม้มริมฝีปาก ยื่นมือไปรับจอกน้ำมา และไม่สนใจน้ำหูน้ำตาของตนเองที่ไหลอยู่ ยกจอกน้ำขึ้นยกดื่ม
เพิ่งจะร้องไห้เสร็จร่างกายเย็นเฉียบอ่อนแอกันเลยทีเดียว เวลานี้เพิ่งจะรู้สึกดีขึ้น เหมือนกับว่ามีเรี่ยวแรงขึ้นมาแล้วเล็กน้อย
เมื่อเห็นว่าพี่ชายดื่ม เสี่ยวรุ่ยหนิงก็รับจอกน้ำมาจากมือของสวีฉางหลิน ดื่มน้ำเข้าไปเพียงน้อยนิด มือเท้าน้อยๆก็อุ่นขึ้น ไม่ได้รู้สึกทรมานเหมือนเมื่อครู่นี้แล้ว
เขาเงยหน้ามอง มองไปทางผู้ชายที่ก้มหน้ามองเขา สะอึกสะอื้นถามว่า”คนเหล่านั้น ตายหมดแล้วหรือขอรับ?”
“อืม ตายแล้ว”สวีฉางหลินตอบโดยไม่มีการปิดบังเลยแม้แต่น้อย
“ตายก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้แล้วใช่หรือไม่? และก็พูดไม่ได้แล้วใช่ไหม?”เสี่ยวรุ่ยหนิงนึกถึงคนที่ตายห้องนั้น เลยถามอย่างต่อเนื่อง
สวีฉางหลินแววตาอ่อนโยนลง กล่าวว่า“ตายแล้ว ก็หายไปจากโลกใบนี้ ต่อไป จะไม่เจอคนแบบนี้อีกแล้ว”
เด็กทั้งสองคนยังไม่เข้าใจว่าตายคืออะไร แต่ก็รู้สึกกลัวคำนี้เข้ากระดูกเลย
นึกถึงศพที่นิ่งไม่เคลื่อนไหว แล้วยังมีเลือดอาบแดงฉาน พวกเขาก็รู้สึกหวาดกลัวจนตัวสั่น
เมื่อดื่มน้ำที่อยู่ในจอกหมดแล้ว พวกเขามือสั่นระริกเอาจอกวางบนโต๊ะ
สวีฉางหลินเทน้ำชาให้พวกเขาอีก ตอนนี้เด็กทั้งสองคนไม่ต้องให้สวีฉางหลินยกจอกให้แล้ว พวกเขายกขึ้นดื่มเอง
น่ากลัว น่ากลัวมาก…..
นัยน์ตาของสวีฉางหลินมีอารมณ์ที่สับสนซับซ้อนแฉลบผ่าน ชั่วประเดี๋ยวเดียว มันก็หายวับไปไม่มีใครเห็น
เขายืนอยู่ตรงหน้าเด็กน้อยสองคน ช่วยเทน้ำให้พวกเขา เด็กน้อยทั้งสองพากันดื่มน้ำอุ่นร้อน จึงดูดซับความอบอุ่นเข้ามา
ประตูถูกเปิดออก ด้านนอกมีผู้ชายใบหน้ารูปเมล็ดแตงโมเดินเข้ามา ในมือถือกะละมังน้ำร้อน บนหลังยังมีหีบยาด้วย
หลังจากเห็นสวีฉางหลิน เลยพยักหน้าให้สวีฉางหลินแล้วเดินเข้ามา จากนั้นใช้เท้าปิดประตู เดินเข้าไปด้านในห้องอย่างเร่งรีบ
เมื่อเข้าไป ก็เห็นผู้หญิงนั่งอยู่ข้างเตียง
เขารีบเดินไป โค้งเอวคับนับโจวกุ้ยหลาน พูดด้วยความเคารพว่า“ฮูหยินน้อย”
“เจ้าคือใคร?”โจวกุ้ยหลานลุกขึ้นยืน ไปช่วยเขารับกะละมังน้ำ
เสี่ยวลิ่ว เอากะละมังน้ำวางลงบนพื้น แล้วกล่าวพูดอย่างเคารพว่า”ฮูหยินน้อยเรียกข้าเสี่ยวลิ่วก็พอขอรับ”
พอพูดชื่อ นางก็รู้ทันทีว่าเขาก็เป็นคนของสวีฉางหลิน ถึงแม้ว่าวันนี้จะไม่ได้เจอกัน
นางตอบรับ แล้วถอยหลังไปอยู่อีกด้าน”เช่นนั้นเจ้าตรวจดูเสี่ยวจิ่วเถอะ”
เสี่ยวลิ่วตอบรับ วางหีบยาไว้อีกด้าน เมื่อเปิดหีบยาแล้ว จึงรีบหาของ
โจวกุ้ยหลานเดินไปตรงกะละมังน้ำร้อน เมื่อลองสัมผัสน้ำดู มันร้อนมาก โจวกุ้ยหลานเลยทำให้ผ้าขนหนูเปียกชื้น บีบแห้งแล้ว จึงเดินไปเช็ดหน้าให้เสี่ยวจิ่ว
เสี่ยวลิ่วตรวจแมะชีพจรอยู่เงียบๆ มองไปที่ใบหน้าของเสี่ยวจิ่ว ดึงมือกลับ กล่าวว่า“นางสูญเสียเลือดมาก ตอนนี้ชี่และเลือดพร่อง แต่ถ้าไม่มีเลือดไหลอีก ก็ไม่เป็นไรแล้วขอรับ”
ได้ยินที่เขาพูด โจวกุ้ยหลานเลยโล่งอก
ยังดีที่ไม่มีใครตายเพราะนาง
“อย่างนั้นจะต้องทำอะไรบำรุงให้นางสักหน่อยหรือไม่?”โจวกุ้ยหลานถามอย่างนอบน้อม
เสี่ยวลิ่วส่ายหน้า กล่าวว่า“หลังจากเสียเลือดมาก จะบำรุงมากไม่ได้ อาหารการกินของเสี่ยวจิ่วในทุกวันข้าจะสั่งห้องครัวทำขอรับ ฮูหยินน้อยไม่ต้องเป็นห่วง”
โจวกุ้ยหลานพยักหน้า ฟังแต่ละอย่างที่เสี่ยวลิ่วสั่งกำชับ
ก่อนไป เสี่ยวลิ่วได้ขอบคุณโจวกุ้ยหลานอีกครั้งก่อนไปด้วย
โจวกุ้ยหลานหยิบผ้าขนหนูมาช่วยเช็ดตัวให้เสี่ยวจิ่ว ตอนที่สายตามองเห็นรอยแผลเป็นบนร่างกายของนาง การเคลื่อนไหวของมือถึงกับชะงักค้างทันที
นางอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองไปทางเสี่ยวจิ่ว ริมฝีปากที่ไร้เลือดฝาด ทำให้นางรู้สึกสงสารจับใจเหลือเกิน
เมื่อละสายตาออกมา นางก็ช่วยเช็ดให้ต่อ
ทำสิ่งเหล่านี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว นางได้ห่มผ้าให้เสี่ยวจิ่ว และจับสัมผัสมือของนางอีกครั้ง ถือว่าดีขึ้นกว่าตอนก่อนหน้านี้บ้างแล้ว
เสียงด้านนอกค่อยๆเบาลง นางลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยังเฝ้าอยู่ที่หน้าเตียงของเสี่ยวจิ่วต่อ
พอถึงกลางดึก เสี่ยวซื่อได้เอาโจ๊กอุ่นร้อนเข้ามา เหลือบมองเสี่ยวจิ่วอย่างรีบร้อน แล้วก้มหน้าเดินออกไป
โจวกุ้ยหลานกลัวจะทำให้เสี่ยวจิ่วบาดเจ็บ เลยปล่อยให้นางนอนต่อ จากนั้นค่อยๆใช้ช้อนป้อนนางทีละน้อย
แม้ว่าจะอยู่ในสภาวะไม่ได้สติ นางก็ยังคงกลืนได้อยู่ นี่ทำให้โจวกุ้ยหลานสบายใจได้มาก
รอจนตอนโจ๊กเหลือครึ่งหนึ่ง สวีฉางหลินผลักประตูเข้ามา
โจวกุ้ยหลานหันไปส่ายหน้ากับเขา สวีฉางหลินรู้ เลยเดินมาข้างโต๊ะ นั่งอยู่บนเก้าอี้หันหลังให้กับเตียง
“รุ่ยอานกับรุ่ยหนิงเป็นอย่างไรบ้างหรือ?”
“นอนแล้ว”
โจวกุ้ยหลานหยิบผ้าเช็ดหน้า ช่วยเช็ดโจ๊กที่เปื้อนริมฝีปากให้เสี่ยวจิ่วแล้ว จึงพูดว่า”ท่านไม่อยู่เป็นเพื่อนพวกเขา พวกเขาจะกลัวนะ”
สวีฉางหลินกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ต่อให้กลัว ก็ต้องผ่านไป”
โจวกุ้ยหลานกล่าวว่า“พวกเขายังแค่สามขวบ เผชิญหน้ากับเรื่องราวเช่นนี้ มันโหดเหี้ยมเกินไป!”
เรื่องครั้งนี้ ไม่ควรเกิดขึ้นกับเด็กแบบนี้ !
สวีฉางหลินวางข้อศอกไว้บนโต๊ะ เงียบไปครู่ใหญ่ๆ ถึงได้กล่าวอย่างจนปัญญาว่า“ศัตรูไม่มีทางปล่อยเขาไป เพียงเพราะเขาอายุสามขวบ ในเมื่อพวกเขาเป็นลูกชายของข้า สวีฉางหลิน ชาตินี้ทั้งชาติได้กำหนดแล้วว่าจะไม่สามารถอยู่อย่างสงบได้”