นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 399 ไม่มีสิ่งใดสามารถบรรลุได้หากไม่มีบรรทัดฐานหรือมาตรฐาน
- Home
- นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา
- บทที่ 399 ไม่มีสิ่งใดสามารถบรรลุได้หากไม่มีบรรทัดฐานหรือมาตรฐาน
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 399 ไม่มีสิ่งใดสามารถบรรลุได้หากไม่มีบรรทัดฐานหรือมาตรฐาน
นางเงยหน้าขึ้น มองไปทางสวีฉางหลิน รอให้สวีฉางหลินเอ่ยปาก
“ท่านผู้นี้คือท่านพ่อ”สวีฉางหลินผายมือชี้ไปทางหู้กั๋วกง
จากนั้นดึงมือกลับ ชี้มาที่โจวกุ้ยหลาน“คนผู้นี้คือ ฮูหยินของข้า โจวกุ้ยหลาน”
น้ำเสียงเย็นชา ไม่มีความเป็นกันเองเลยแม้แต่น้อย
โจวกุ้ยหลานก้มหน้าลง ทำความเคารพแล้วกล่าวว่า”ท่านพ่อ”
ผู้ชายที่นั่งอยู่ตำแหน่งหัวโต๊ะไม่พูดไม่จาอยู่ครู่ใหญ่ๆ เหมือนกับว่ากำลังวิเคราะห์โจวกุ้ยหลานอยู่
โจวกุ้ยหลานก้มหน้าก้มตาขนาดนี้ เขาไม่เอ่ยปากพูด นางก็ไม่ได้ขยับตัว
เป็นเวลานาน นางถึงได้ยินเสียงผู้ชายพูดขึ้นว่า“แต่งเข้าตระกูลสวีของพวกเรา จะต้องคู่ควรกับความสามารถและภูมิหลังของตระกูลสวี”
โจวกุ้ยหลานไม่ได้ตอบกลับ ความรู้สึกบอกนางว่า คนผู้นี้ไม่ได้ต้องการให้นางตอบกลับ
เป็นอย่างที่คิด เขาไม่ได้สนใจว่านางจะตอบกลับไหม เขาพูดอย่างต่อเนื่องว่า“เจ้าคุณสมบัติไม่พอ”
“นี่คือฮูหยินของข้า”สวีฉางออกโรงปกป้อง
โจวกุ้ยหลานฟังออกถึงการแสดงความไม่พอใจ
“นางก็คือลูกสะใภ้ของตระกูลสวี เป็นนายหญิงของจวนหู้กั๋วกง”หู้กั๋วกงกล่าวเน้นด้วยความไม่พอใจ
ความเป็นกังวลเหล่านั้นหลังจากโจวกุ้ยหลานได้ยินว่าเขาบอกนางคุณสมบัติไม่เพียงพอ มันมลายหายไปหมด ตอนนี้ นางกลับรู้สึกว่าปล่อยวางตนเองแล้ว
เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นชายชรามองนางด้วยสายตาเหมือนไม่พอใจ
ตาแก่คนนี้ เป็นคนที่นางรู้สึกว่าไม่น่ารักที่สุดเท่าที่เคยเจอมา ไม่มีใครมาเทียบได้เลย
“นางยังไม่ได้ตอบตกลงเข้าตระกูลสวี ท่านไม่ต้องมีข้อเรียกร้องกับนางมาก”พูดจบสวีฉางหลินก็เดินไปจูงมือโจวกุ้ยหลาน
จิตใต้สำนึกโจวกุ้ยหลานมองไปทางเขา แต่ทว่ากลับได้เห็นเพียงสีหน้าซีดเผือดของเขา
ที่แท้….เขายังรอคำตอบของนาง…..
โจวกุ้ยหลานพูดความรู้สึกของตนเองออกมาไม่ได้ แต่มันมีความรู้สึกฮึกเหิม ต่อให้ตรงหน้าเป็นภัยอันตราย นางก็ยินดีที่จะลุยไปกับเขา
แต่ความฮึกเหิมนี้หลังจากที่เห็นภาพลูกสองคนและเหล่าไท่ไท่แล้ว นางเลยเงียบเสียง
นางไม่ใช่ตัวคนเดียว ยุคสมัยนี้ มันมีโดนหางเลขด้วย
“ไปนั่งด้านขวา!”ผู้ชายที่นั่งอยู่ตะคอกขึ้นทำลายความคิดของโจวกุ้ยหลาน
ไม่รอให้นางเงยหน้า นางก็สัมผัสได้ว่ามือของผู้ชายที่อยู่ด้านข้างกำแน่นขนัดขึ้น ตามด้วยเขากล่าวว่า“ไม่ต้องใช้มาตรฐานความโหดเหี้ยมของท่านมาบีบบังคับคนอื่น”
“ไม่มีสิ่งใดสามารถบรรลุได้หากไม่มีบรรทัดฐานหรือมาตรฐาน!”
“พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน แน่นอนว่าจะต้องนั่งด้วยกัน”
“เจ้าไม่ใช่บอกว่านางยังไม่ตัดสินใจเข้ามาในตระกูลสวีหรือ?”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางไม่จำเป็นต้องทำตามความชอบของเจ้าแล้วมากดดันตนเอง”
โจวกุ้ยหลานคิดไม่ถึงเลยว่าจะมีวันหนึ่งที่สวีฉางหลินพูดออกมาได้เยอะขนาดนี้ในช่วงเวลาสั้นๆ
ตอนนี้เห็นทั้งสองคนทะเลาะกันขึ้นมา นางก็เลยหยิกที่มือของสวีฉางหลิน
เงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ก็เห็นสองพ่อลูกไม่มีใครยอมใครเลย
เพื่อหลีกเลี่ยงการทำให้ลูกสองคนตกใจ นางเลยยอมถอยหนึ่งก้าว นางปล่อยมือจากสวีฉางหลิน ลุกขึ้นยืนเดินไปโต๊ะอีกด้านหนึ่ง ภายใต้การชี้แนวทางของคนรับใช้คนหนึ่ง นางได้นั่งลงฝั่งตรงข้ามกับสวีฉางหลิน
ชั่วประเดี๋ยวเดียว หู้กั๋วกงได้สั่งให้คนจูงเสี่ยวรุ่ยอานมานั่งลงข้างโจวกุ้ยหลาน
เสี่ยวรุ่ยหนิงเห็นอย่างนั้น ก็อยากจะลงมานั่งข้างท่านแม่บ้าง
เพิ่งจะขยับ ก็ได้เห็นตาแก่ ท่านนั้นกระแอมไอออกมา ร่างกายน้อยๆของเขาสั่นเทิ้ม จากนั้นนั่งกลับลงไปที่เดิมอย่างว่าง่าย
โจวกุ้ยหลานเห็นบรรยากาศอึดอัด
มันน่ากลัวมาก ต่อมาเป็นการนำอาหารมาวาง อาหารทุกชนิดถูกคนรับใช้เอามาวางเรียงรายเป็นระเบียบ
เมื่อเงยหน้ามองคนตัวเล็กตัวใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า แล้วมองไปทางเสี่ยวรุ่ยอานที่อยู่ด้านข้าง จู่ๆสมองจิตใจใต้สำนึกโจวกุ้ยหลานก็มีแสงส่องประกายมาโดยไม่รู้ตัว เกรงว่า ใต้เท้าหู้กั๋วกงคนนี้จะมีโรคย้ำคิดย้ำทำนะ เขาจะต้องควบคุมแต่ละอย่างเป็นพิเศษ
กินอาหารมื้อแรกที่ตระกูลสวี แต่ละคนพากันกินเสร็จด้วยความอึมครึม
โจวกุ้ยหลานไม่ต้องแสดงออกเท่าไหร่เลย เพราะตอนเริ่มแรกหู้กั๋วกงก็แสดงออกว่าไม่พอใจนางแล้ว
รอพวกเขากินข้าวเสร็จ เงยหน้าขึ้นอีกครั้ง หู้กั๋วกงได้โบกมือพัลวัน คนรับใช้เหล่านั้นก็รีบเอาอาหารออกไป
หลังจากสวีฉางหลินพูดคุยกับโจวกุ้ยหลานแล้ว ก็ได้นั่งรถม้าไปที่ราชสำนักว่าราชการตอนเช้า
รอเขาไปแล้ว ใต้เท้าหู้กั๋วกงเองก็ได้นั่งรถม้าของตนเองไปทางพระราชวัง
พอเขาไป เสี่ยวรุ่ยอานกับเสี่ยวรุ่ยหนิงก็สาวเท้าโผเข้าสู่อ้อมแขนของนาง ร่างแน่งน้อยยังสั่นระริก
โจวกุ้ยหลานตบที่แผ่นหลังของพวกเขาอย่างแผ่วเบาด้วยความสงสารจับใจ กล่าวปลอบโยนพวกเขาว่า“ไม่ต้องกลัว แม่อยู่นี่”
“ท่านแม่ เมื่อคืนข้าฝันว่าข้าตายแล้ว…..”
เสี่ยวรุ่ยหนิงพูดเสียงทุ้มออกมา
โจวกุ้ยหลานลูบศีรษะของเขากล่าวว่า”เจ้ารู้ว่าอะไรหมายความว่าตายหรือ?”
“เคลื่อนไหวไม่ได้ พูดไม่ได้ ร่างกายเจ็บปวด มีเลือดไหล….”เสี่ยวรุ่ยอานกล่าวตอบ เหมือนกับนึกอะไรได้ ตัวสั่นระริกเลยทีเดียว
โจวกุ้ยหลานชะงัก เพิ่งจะสัมผัสได้ว่าตัวของลูกทั้งสองสั่นระริกมากขึ้น
นางย่อตัวลง กอดลูกทั้งสองไว้แน่น ปลอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า“ไม่เป็นไรนะ ท่านพ่อช่วยพวกเจ้าได้ และแม่ก็ไม่มีทางให้คนชั่วมาทำร้ายเจ้าได้อีก…..”
กล่าวจบ ผู้ชายอายุราวห้าสิบปีเดินมา โค้งตัวเคารพโจวกุ้ยหลานกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า“ฮูหยิน คุณชายน้อยทั้งสองจะต้องไปเรียนตำราแล้ว”
“เรียนตำราอะไรหรือ”โจวกุ้ยหลานถามด้วยความสงสัย
“ช่วงเช้าเรียนเกี่ยวกับวรรณคดี ช่วงบ่ายเรียนศิลปะป้องกันตัวขอรับ”
ตาแก่คนนั้นกล่าวขึ้น
โจวกุ้ยหลานเหลือบมองด้านนอก ตอนนี้ท้องฟ้าอึมครึม พูดหวาดระแวง อย่างไม่อยากจะเชื่อใจขึ้นว่า“ตอนนี้ฟ้ายังไม่สาง จะให้พวกเขาไปเรียนตำราหรือ?”
ยังเหลือเวลาหนึ่งชั่วยามก่อนที่จะฟ้าสาง!
“ขอรับฮูหยิน ตอนที่นายท่านจะออกไปได้สั่งไว้ขอรับ”ตาแก่คนนั้นตอบอย่างมีมารยาทดังเดิม ไม่ได้มีความเกินเลยสักนิดหนึ่ง
“เดี๋ยวข้าจะส่งพวกเขาไปหาท่านอาจารย์ของพวกเขา”โจวกุ้ยหลานกล่าวพูดแล้ว ก็จูงมือลูกทั้งสองหมายจะเดินออกไป
ตาแก่คนนั้นไม่ได้ขวางนางไว้ แต่คนก็ไม่ได้ยืนตรง กล่าวด้วยความเคารพว่า“ฮูหยินน้อย นายท่านสั่งไว้ว่าให้ฮูหยินน้อยกับคุณชายทั้งสองอยู่ที่เรือน ด้านนอกอันตรายขอรับ”
นึกถึงไม่กี่วันนี้ที่ถูกลักพาตัว โจวกุ้ยหลานก็ตอบตกลงแล้ว
บวกกับนางต้องดูแลเสี่ยวจิ่วอยู่ ตอนนี้ก็เลยไม่ได้ปฏิเสธ
โจวกุ้ยหลานถามตาแกคนนี้สองประโยค ถึงได้รู้ว่าเป็นพ่อบ้านของตระกูลสวี และหู้กั๋วกงได้มอบแซ่สวีให้ด้วย
เมื่อรู้ชื่อแซ่เขาแล้ว โจวกุ้ยหลานก็มองเขาดีขึ้นมาหน่อย คนที่ได้รับแซ่จากเจ้านายเป็นโอกาสที่หาได้ยากมาก
“พ่อบ้านสวี เมื่อวานท่านแม่ของข้ามาที่เมืองหลวง ตอนนี้น่าจะพักอยู่แถวโรงเตี๊ยม ไม่ทราบว่าท่านช่วยข้าตามหาได้หรือไม่?”
“ฮูหยินน้อยไม่จำเป็นต้องเกรงใจเช่นนี้ นี่เป็นเรื่องอยู่ในหน้าที่รับผิดชอบของข้าขอรับ”พ่อบ้านสวีตอบด้วยความเคารพดังเดิม
โจวกุ้ยหลานได้สั่งเขาส่งคนไปบอกกับ ผู้อาวุโสเจิ้งเพื่อไม่ให้พวกเขาเป็นห่วง และยังไปที่ร้านค้าบอกกับไป๋ยี่เซวียนด้วย เพื่อให้เขาออกไปนอกเมืองตามหาม้าสองตัวนั้นกลับมา
พ่อบ้านสวีตอบรับทีละเรื่อง จากนั้นพาเด็กทั้งสองคนไปจากโจวกุ้ยหลาน
สายตาจ้องมองลูกทั้งสองด้วยสายตาเฝ้ารอ โจวกุ้ยหลานน้ำตาไหลโบกมือให้พวกเขาทั้งสอง
สาวใช้คนก่อนหน้านี้พานางกลับไปที่เรือนหลังก่อน เมื่อเข้าไป นางก็เห็นว่ามีกาน้ำร้อนและโจ๊กร้อนๆ หนึ่งชามวางอยู่บนโต๊ะแล้ว และวางไว้ไม่นานอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อนางบอกให้คนไปแล้ว จึงได้กลับไปดูแลเสี่ยวจิ่วต่อ
ตอนที่ป้อนโจ๊ก เสี่ยวจิ่วได้ตื่นขึ้นมาแล้ว