นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 402 มีจุดประสงค์คืออันใด
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา ตอนที่ 402 มีจุดประสงค์คืออันใด
“พวกข้าไม่รับทานที่ดูหมิ่นถิ่นแคลน” อาจารย์เอ่ยปฏิเสธ
โจวกุ้ยหลานส่ายหน้า “ข้าไม่ได้ช่วยพวกเจ้าเปล่าๆ หลังจากนี้ข้าก็จะเป็นหัวหน้าของสำนักบัณฑิต จะให้เงินทุนพวกเจ้าเบื้องหลัง พวกเจ้าดูแลเพียงสั่งสอนให้ความรู้แก่ผู้คนเท่านั้น ส่วนลูกศิษย์ ข้าจะรับสมัครเพิ่ม พอถึงตอนนั้นเงินค่าเล่าเรียนที่เก็บได้ล้วนเป็นของข้า”
“ข้าไม่สอนศิษย์ที่ไร้ความสามารถ” อาจารย์มองโจวกุ้ยหลานอย่างระแวดระวัง
“ข้าหาอาจารย์ใหม่ได้ แบ่งเป็นแต่ละระดับชั้น พวกเจ้าแต่ละคนก็ศิษย์ใครศิษย์มัน เพียงแต่ระดับชั้นเจ้าสำคัญที่สุด หากมีศิษย์ใหม่คุณสมบัติดี เจ้าสามารถเลือกได้ก่อน เป็นอย่างไร”
อาจารย์ขมวดคิ้ว ไม่ค่อยเข้าใจความคิดเห็นของโจวกุ้ยหลาน
“จุดประสงค์ของเจ้าคืออัดใด”
โจวกุ้ยหลานยกมุมปาก เผยรอยยิ้มอ่อนโยน “อาจารย์ จะพูดอย่างไรเจ้าก็เป็นอาจารย์ของลูกข้าทั้งสอง ข้าไม่ควรช่วยพวกเจ้าสักหน่อยรึ อีกอย่าง การสร้างสำนักบัณฑิตก็เป็นเรื่องที่ทำเงินได้ไม่ใช่รึ”
ยิ่งนางพูดอย่างนี้ อาจารย์ยิ่งระแวดระวัง
“เจ้าคงไม่ได้ทำเพื่อจวนหู้กั๋วกง…”
“อาจารย์ หู้กั๋วกงมีสถานะเช่นไร ผู้ที่เริ่มส่งใบเทียบดวงชะตาให้ก่อนมีตั้งเท่าใด ยังต้องมาประจบประแจงเจ้าหรือไร นอกจากนี้แล้ว แม้ว่าพวกเขาจะมาจากสำนักบัณฑิต แต่เส้นทางก็เป็นคนเลือกเอง ผู้ใดจะมาบังคับเขาเข้ากองกำลังได้เล่า อีกอย่างนะ นายพลสวี เขาสนใจแต่เรื่องการสู้รบเท่านั้น”
อาจารย์คิดไปมาก็รู้สึกเป็นเช่นนี้
โจวกุ้ยหลานเห็นว่าเขาหลวมตัว จึงเกลี้ยกล่อมเขาอีกรอบ
ท้ายที่สุดเป็นเพราะสภาพบังคับในปัจจุบัน อาจารย์ทำได้เพียงพยักหน้าตกลง
ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงการใช้ป้ายสำนักบัณฑิตของเขา ทั้งยังสามารถช่วยสร้างสำนักบัณฑิตขึ้นมาแห่งหนึ่ง ลูกศิษย์ที่ยากจนก็มีกินมีใช้ ยังไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียนอีก ซึ่งเพียงพอที่จะโน้มน้าวเขาแล้ว
ที่สำคัญที่สุด คือเขาและลูกศิษย์ของเขาจากโจวกุ้ยหลานไปจะไม่มีรายได้ สามารถเล่าเรียนได้อย่างสบายใจ ก็ไม่ต้องคิดไปดิ้นรนหากินหาใช้อีก
“อาจารย์ ตราบใดที่พวกเขาไม่เต็มใจเข้ากองกำลัง ผู้ใดก็ไม่อาจมาบังคับพวกเขาได้”
โจวกุ้ยหลานรับรองเช่นนี้
อาจารย์จึงวางใจ พยักหน้าทันที
หลังปรึกษากับอาจารย์ครู่หนึ่ง แล้วจดจำทุกอย่างที่อาจารย์กล่าวไว้
ยามบ่าย นางพาทุกคนไปซื้อเครื่องนอน และซื้อเสื้อผ้าให้อีกคนละสองชุด รวมทั้งของใช้ประจำวัน
ใกล้พลบค่ำ โจวกุ้ยหลานกลับไปที่ห้องของตนเอง มอบตั๋วเงินหนึ่งพันตำลึงให้เหล่าไท่ไท่ ให้เหล่าไท่ไท่ดูแลของกินของใช้ของพวกเขาทั้งหลาย
จากนั้นก็พาเหล่าไท่ไท่ไปซื้อผักที่ที่ขายผักใกล้ๆ เหล่าไท่ไท่ได้ยินราคานั้น จึงตกใจมาก ดึงโจวกุ้ยหลานต้องการจะจากไป
แต่โจวกุ้ยหลานไม่สนใจนาง เพียงจ่ายเงินซื้อผัก
ระหว่างทางที่กลับพร้อมถือผัก เหล่าไท่ไท่พึมพำอยู่ตลอดเวลาว่า “ไชเท้าหัวเดียวมีราคาถึงสิบอีแปะเลยรึ ทำไมไม่ปล้นกันไปเลยเล่า”
“ที่นี่ล้วนราคานี้ แล้วไม่ใช่เพียงเขาคนเดียวที่ขายแพงเช่นนี้”
โจวกุ้ยหลานเกลี้ยกล่อมเหล่าไท่ไท่
เหล่าไท่ไท่ไม่พอใจโจวกุ้ยหลานมาก “เจ้าไม่ได้ถูกคนหลอกหรอกรึ กินเช่นนี้พวกเราจะกินกันไหวรึ ครอบครัวใหญ่ขนาดนี้!”
“เพราะที่นี่เป็นเมืองหลวงนะท่านแม่ ข้าวของย่อมต้องขายแพง จึงหาเงินได้มากเช่นกัน ท่านว่าใช่หรือไม่”
“แต่ก็ไม่ถูกจริงๆ !” เหล่าไท่ไท่เม้มริมฝีปาก
โจวกุ้ยหลานยิ้มแย้ม เปลี่ยนเรื่อง
อยู่ต่อหน้าบุตรสาวคนเล็ก เหล่าไท่ไท่ก็ผ่อนคลายไม่น้อย ราวกับว่าได้เจอแก้วตาดวงใจ พูดคุยมากขึ้นอีกเล็กน้อย
ตอนโจวกุ้ยหลานได้ยินว่าหลิวเกาถูกเกณฑ์ทหาร และหลิวอ้ายถูกโจรฆ่าตาย ในใจก็เป็นทุกข์มาก
“อ๊ะ เดิมทีข้าอยากให้พี่สาวใหญ่เจ้าแต่งงานกับหลิวเกา ไม่ต้องยิ่งใหญ่อะไร แค่กินข้าวสักมื้อ ใครจะไปรู้ว่าตกเย็นเขาจะถูกจับตัวไป ข้าให้หลิวอ้ายมาอยู่ที่บ้านพวกเรา เขาก็ไม่ยอม บอกว่าพ่อเขากำชับไว้ เจ้าว่าเด็กนั้นรั้นหรือไม่”
เหล่าไท่ไท่พูดถึงตรงนี้ ก็ถอนหายใจอีกครั้ง
“พอโจรไปแล้วข้าไปหาเขา ก็เห็นเขาเลือดท่วมตัว น่าจะถูกฟันสิบกว่าครั้ง เจ้าว่าเหตุใดคนพวกนั้นถึงโหดเหี้ยมขนาดนี้ แค่เด็กคนเดียว พวกเขาลงมือไปได้อย่างไร”
ในใจโจวกุ้ยหลานก็หนักอึ้งเช่นกัน
“ยังมีพี่สาวรองเจ้าอีก เจ้าลูกคนนี้นั้น ข้าให้นางมาอยู่บ้านพวกเรา นางให้ตายก็ไม่ฟัง แถมยังยืนกรานจะอยู่ที่ตำบลกับพี่เขยรองของเจ้า!ไม่ได้ความ!ที่ตำบลนั้นดีเพียงใดกัน ทั้งครอบครัวตายหมด! เหลือเชื้อสายเพียงคนเดียว! เจ้าลูกคนนี้นั้น ข้าถูกนางทำให้โกรธแทบตายแล้ว!”
เหล่าไท่ไท่พูดโจวซ่านเย่ แล้วทำจมูกฟึดฟัด
โจวกุ้ยหลานหันหน้าไปมองนาง ก็เห็นตัวนางค่อมลงอีกครั้ง
ก็ถอนหายใจ โจวกุ้ยหลานตบเหล่าไท่ไท่ “อย่าคิดถึงอีกเลย ท่านแม่ วันหน้าท่านต้องมาเอง จะต้องจำทางไว้ให้ดีนะเจ้าคะ”
“รู้แล้ว ข้าก็ไม่ใช่คนโง่เง่า ทางแค่นี้จะจำไม่ได้หรือไร” เสียงเหล่าไท่ไท่กลับมาเป็นปกติ ยืดอกขึ้นมา
โจวกุ้ยหลานหันหน้าไปมองโจวคายจือที่อยู่ข้างหลัง ใบหน้ายังคงไร้รอยยิ้มดังเดิม
นางถามกับตัวเองว่าตนเองยังไม่มีความสามารถที่จะปลอบโยนคนอื่นในช่วงเวลาเช่นนี้ได้ ได้แต่หันหน้ากลับเงียบๆ เดินหน้าต่อไป
เนื่องจากนี่เป็นวันแรก โจวกุ้ยหลานจึงซื้อวัตถุดิบต่างๆ เตรียมทำเกี๊ยวคืนนี้ อย่างน้อยผู้ที่รอดชีวิตก็ต้องกลับมาต้องมารวมตัวกัน ภายภาคหน้าต้องใช้ชีวิตให้ขยันขันแข็ง
ตอนนี้ทั้งครอบครัวมารวมตัวกัน ทุกคนร่วมแรงร่วมใจ บรรยากาศดีขึ้นไม่น้อย
เมื่อเกี๊ยวในหม้อสุกแล้ว ก็ให้พวกเด็กๆ กินก่อน หม้อที่สองถึงมอบให้พวกสตรี หม้อที่สามมอบให้กับบุรุษ และหม้อที่สี่มอบให้กับพวกเมิ่งเจียง
เกี๊ยวร้อนๆ ลงท้องไปแล้ว ทำให้พวกเขาอบอุ่นกันขึ้นอีกครั้ง
เมื่อกินเสร็จ โจวกุ้ยหลานร่ำลากับทุกคน แล้วกลับจวนหู้กั๋วกง
เมื่อถึงหน้าจวนหู้กั๋วกงก็เห็นโคมตรงประตูสว่างไสว
จู่ๆ โจวกุ้ยหลานเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีในใจ
คนเฝ้าประตูเห็นนาง รีบทำความเคารพนาง จากนั้นเมื่อนางกลับมาแล้วให้รีบไปหาห้องที่นายท่านทานอาหาร
โจวกุ้ยหลานตามสาวใช้ชื่อเสี่ยวฉานที่พาเดินวกไปวนมา จนมาถึงห้องที่นายท่านทานอาหาร เมื่อเข้าไปก็เห็นว่าทุกคนนั่งอยู่ที่โต๊ะ อีกทั้งด้านหน้าพวกเราล้วนวางอาหารพร้อมแล้ว
แย่แล้ว…
โจวกุ้ยหลานเข้าไป ก็เห็นว่าใต้เท้าหู้กั๋วกงเงยหน้าขึ้นมอง ด้วยสีหน้า ที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้
“ขออภัยเจ้าค่ะ ข้ากลับมาสายแล้ว” โจวกุ้ยหลานฉีกยิ้ม ถือโอกาสนี้นั่งข้างเสี่ยวรุ่ยอาน ซึ่งก็เป็นทางด้านขวาของใต้เท้าหู้กั๋วกง
“เวลาอาหารเย็นของพวกข้าคือเมื่อหนึ่งขั่วยามก่อน คราวหน้าตรงเวลาด้วย”
ใต้เท้าหู้กั๋วกงตอบกลับโจวกุ้ยหลานอย่างเงียบๆ
“ข้า…”
“เอาอาหารไปอุ่นให้ร้อน” ใต้เท้าหู้กั๋วกงหันหน้าไปมองพ่อบ้านสวีด้านหลัง พ่อบ้านสวีขานรับ ก้าวไปข้างหน้า ใช้มือทั้งสองข้างยกสองจานอาหารส่งให้คนด้านหลัง
โจวกุ้ยหลานหุบปากอยู่เงียบๆ ตอนนี้ ควรตรงไปตรงมาจะดีกว่า
อาหารบนโต๊ะทยอยยกออกไป ในขณะที่รออาหารอุ่นร้อน ทุกคนต่างก้มหน้าก้มตา เกิดความเงียบขึ้นที่โต๊ะอาหาร
ในบรรยากาศเช่นนี้ อาหารที่อุ่นร้อนแล้วก็ยกมาบนโต๊ะ
ภายใต้บรรยากาศที่กดดัน โจวกุ้ยหลานทานอาเย็นอีกครา
เทียบกับการต้องเผชิญหน้าใต้เท้าหู้กั๋วกง นางยอมให้ตัวเองกินจนจุกดีกว่า