นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 46 ไม่พูดก็ไม่มีคนคิดว่าเจ้าเป็นใบ้หรอกนะ
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่46 ไม่พูดก็ไม่มีคนคิดว่าเจ้าเป็นใบ้หรอกนะ?
พูดเหมือนง่าย นางใช้ไส้หมูมาทำอาหาร ทุกคนกินอาหารจานอื่นแล้วจะอิ่มเหรอ?
หลี่ซิ่วยิงทำหน้าบึ้งตึง “น้องสะใภ้จะช่วยกุ้ยหลานเหรอ?”
นางพูดข่ม
“พี่สะใภ้พูดอะไรกัน ข้ากำลังพูดอยู่นี่ไง? ของนี้ก็ซื้อมาแล้ว จะทิ้งไปก็ไม่ได้? เดี๋ยวทำเสร็จแล้ว พวกเจ้าจะไม่กินก็ได้ ข้ากับกุ้ยหลานกินสองคนเอง” โจวเหล่าไท่ไท่ยิ้มแห้ง แล้วตอบโต้กลับไป
ทั้งสามพูดไม่ออก แต่ในใจก็โกรธมากไม่ไหว
“มีที่ไหนกัน เอาไส้หมูทำอาหาร แบบนั้นพวกเรากินไม่ลงหรอกนะ?” หวังหยู่ชุนยังคงหาเรื่อง
“งั้นข้าก็เอาไส้หมูวางไว้ในบนเตาไฟ ใครอยากกินก็เข้ามาคีบกินเอง เป็นไง?” โจวกุ้ยหลานกระตุกมุมปาก ยิ้มอย่างขมขื่น แล้วตอบกลับไป
มีอะไรไม่ได้อีก?
ถึงแม้จะไม่พอใจแค่ไหน หวังหยู่ชุนก็พูดอะไรไม่ได้อีก จึงต้องคิดในใจเงียบๆ ถ้านางกินไม่อิ่ม งั้นนางจะอาละวาดให้บ้านแตกเลย คอยดู! ยังไงนางกับสามีนางก็มาทำงานที่นี่แล้ว โจวกุ้ยหลานจะไม่ขอร้องนางเหรอ?
โจวชิวเซียงทำ ‘เชอะ’ แล้วกลับหลังหันเดินจากไป
หลี่ซิ่วยิงก็ตาเติบโต: “น้องสะใภ้ ข้าไม่ได้จะว่าเจ้านะ แต่ยังไงข้าก็เป็นป้าของนาง พูดจาแบบนี้กับข้า? เจ้าต้องสั่งสอนนางดีๆแล้วล่ะ!”
“ท่านป้า ข้าแต่งงานแล้ว แม่ข้าคุมข้าไม่ได้หรอกนะ แต่ท่านน่ะสิ ควรจะสั่งสอนชิวเซียงให้ดี เดี๋ยวคนอื่นจะบอกว่า นางเป็นผู้หญิงไม่รู้เรื่องหรอก……”
โจวกุ้ยหลานไม่ยอมโดนด่าคนเดียวหรอกนะ นางรีบตอบโต้กลับไปทันที
“ไม่พูดก็ไม่มีคนคิดว่าเจ้าเป็นใบ้หรอกนะ?” เหล่าไท่ไท่มองค้อนนางแรงๆ แล้วหันไปปลอบใจหลี่ซิ่วยิง: “พี่สะใภ้อย่าไปว่าอะไรเด็กมันเลยนะ เดี๋ยวกลับไปข้าจะสั่งสอนนางให้ดี ท่านไปนั่งพักผ่อนข้างๆก่อนเถอะ”
คำพูดนี้ดูไม่เบาไม่หนัก เหมือนสั่งสอนโจวกุ้ยหลาน แต่พอมาครุ่นคิดดูแล้วก็รู้สึกแปลกๆ
ทำไม นี่กำลังจะบอกว่านางเป็นผู้ใหญ่แต่มารังแกเด็กงั้นเหรอ?
หลี่ซิ่วยิงโกรธจนควันแทบออกหู แต่ก็หาเรื่องไม่ได้
“พวกเจ้าทำไปก่อนแล้วกัน!”
ว่าแล้ว ก็เดินไปหน้าบ้านอย่างโมโห หยิบเก้าอี้ไปนั่งกับลูกสะใภ้รองและลูกสาวตัวเอง
โจวกุ้ยหลานไม่สนใจพวกนาง ตั้งใจหั่นไส้หมูตัวเองต่อ
“ทำไมเจ้าถึงดื้อรั้นขนาดนี้? ยังไงนั่นก็เป็นผู้ใหญ่ พูดแบบนี้ได้ยังไง?” โจวเหล่าไท่ไท่พูดเสียงเบา สั่งสอนโจวกุ้ยหลานไปอีกที
“ถ้าไม่มาหาเรื่องข้า งั้นนางก็เป็นป้าที่ดีของข้า” ถ้าหาเรื่องต่อไปแบบนี้ นางก็ไม่กลัวที่จะฉีกหน้ากับนางด้วยหรอกนะ
ยังไงนางก็ไม่ใช่คนที่จะยอมใครง่ายๆอยู่แล้ว และไม่มีความรู้สึกต่อคนพวกนี้ด้วย
ถ้าจะพูดเรื่องบุญคุณ นั่นก็เป็นลุงใหญ่ที่มีบุญคุณต่อเจ้าของร่างเดิม แต่ทุกครั้งที่ลุงใหญ่เอาเมล็ดข้าวพันธุ์มาส่งให้ที่บ้านพวกนาง ป้าก็จะด่าเจ้าของร่างเดิมว่าเป็นตัวสิ้นเปลืองเงินทองตลอดเวลา
คนแบบนี้ นางไม่ดูแลหรอกนะ!
ชื่อเสียง? เอามากินข้าวได้ไหม? หรือเอามากินเป็นน้ำได้?
โจวเหล่าไท่ไท่รู้ดีแก่ใจ และไม่ได้กล่าวโทษโจวกุ้ยหลานอีก
“ครั้งหน้าฉลาดหน่อย อย่าให้คนอื่นมาว่าเจ้าได้” โจวเหล่าไท่ไท่สอนโจวกุ้ยหลานอีกครั้ง
สำหรับคำพูดของเหล่าไท่ไท่ โจวกุ้ยหลานนับถือจากใจจริง แค่ไม่กี่คำ ก็พูดจนผู้หญิงพวกนั้นหมดคำจะพูด ยังมีครั้งก่อนที่ตบหน้าเฉียนต้ายา เห็นแล้วก็สะใจมาก
จะว่าไปแล้ว เหล่าไท่ไท่ทั้งเก่งและฉลาดเลยนะ!
ไม่ธรรมดา ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
“ท่านแม่ ข้ารู้แล้ว วันนี้ข้าไม่ได้พูดจาไม่ดีใส่ชิวเซียงกับท่านป้านะ พวกนางจะตอบโต้กลับก็ไม่ได้ด้วย”
โจวกุ้ยหลานไม่ได้โง่ เมื่อกี้นางใช้วิธียืมแรงคนอื่น ไม่เห็นเหรอว่า สุดท้ายตอนที่พวกนางไปฟ้องกับเหล่าไท่ไท่? ก็ฟ้องไม่ได้ด้วยซ้ำ
“ทำเป็นซ่านะ! รีบทำกับข้าวเร็ว จะปล่อยให้ทุกคนหิวหรือไง!” เหล่าไท่ไท่ตัดจบบทสนทนานี้
เวลาต่อจากนี้ ผู้หญิงสามคนนั่งพักอยู่ข้างกำแพง ไม่เคยลุกขึ้นยืนอีกเลย
โจวกุ้ยหลานกับเหล่าไท่ไท่ทำกับข้าวและพูดคุยทั่วไป
รอจัดการวัตถุดิบและต้มซุปเสร็จแล้ว โจวกุ้ยหลานก็เริ่มปรุงอาหารทันที
หั่นเนื้อหมูสั้นชิ้นใหญ่ๆ ใส่เข้าไปต้มในน้ำที่เดือดแล้ว ตักขึ้นมาแล้วเทน้ำออก ผัดแห้ง
เทน้ำมันในกระทะที่ร้อนจัด ใส่น้ำตาม ผัดจนกลายเป็นสีเหลืองทอง ใส่เนื้อและเครื่องเทศลงไป ผัดจนกลายเป็นสีเหลืองไหม้ๆ แล้วเทเหล้าที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้ลงไปนิดหน่อย ไม่มีซีอิ๊ว ก็ใช้ถั่วเหลืองดำแทน ใส่น้ำร้อนเข้าไป ต้มด้วยไฟอ่อนช้าๆ
ตอนนี้เริ่มมีกลิ่นหอมโชยออกมาแล้ว พวกผู้ชายก็ทำงานเร็วขึ้นเรื่อยๆ
อาหารมื้อนี้หอมมากจริงๆ ถึงแม้จะต้องกินไส้หมู พวกเขาก็ยอม!
ผู้หญิงสามคนที่นั่งอยู่ข้างกำแพงก็กลืนน้ำลายเอื๊อกๆตาม สายตาอดไม่ได้มองไปทางนั้น
กุ้ยหลานยัยเด็กนี่จะทำอะไรกันแน่ ทำไมถึงหอมขนาดนี้?
เหล่าไท่ไท่ที่ช่วยคุมไฟก็ขมวดคิ้ว: “เสียเวลาจริงๆ อาหารจานเดียวก็เสียเวลาไปแล้วชั่วโมงกว่า วันวันเอาเวลาไปทำกับข้าวซะเลยดีกว่า”
เหล่าไท่ไท่ใช้ชีวิตความทุกข์ยากลำบากมาก่อน ขอแค่มีกินก็พอแล้ว แค่กินอิ่มยังทำไม่ได้ จะมีเวลาปรุงรสอาหารช้าๆแบบนี้เหรอ?
“ตอนนี้พวกเราก็ทำกินเหมือนทุกวันแล้วนะ?” โจวกุ้ยหลานมองดูหมูตุ๋นในกระทะแล้วตอบ
เจ้าก้อนน้อยที่อยู่ข้างๆก็มองเนื้อหมูในกระทะตาไม่กะพริบ เม้มริมฝีปากอยู่
อาจเป็นเพราะหอมมาก เด็กสามคนที่ไม่รู้ว่าไปวิ่งเล่นที่ไหนก็วิ่งกลับมา เดินวนไปมาในห้องครัว คนเล็กที่สุดก็น้ำลายไหลออกมา ตกลงพื้น
“อยากกินเนื้อ!”
“น้ากุ้ยหลาน พวกเราอยากกินเนื้อ!”
เด็กสามคนพูดขึ้น
โจวกุ้ยหลานทำหน้าบึ้ง “อยากกินเนื้อได้ แต่พวกเจ้าต้องเป็นเด็กดีนะ”
เด็กนรกสามคนรีบพยักหน้าพร้อมกัน ตามองกระทะไม่ละสายตา
“พวกเจ้าไปนั่งรอที่เก้าอี้นิ่งๆนะ เดี๋ยวเสร็จแล้วก็จะได้กินพร้อมกัน!” โจวกุ้ยหลานพูดจบก็หยิบเกลือสาดเข้าไปในกระทะ ไม่สนใจพวกเด็กๆอีก
พอได้ยินว่าจะได้กินแล้ว พวกเด็กๆก็รีบพยักหน้าแล้ววิ่งออกไปนั่งรอดีๆ ตาก็จ้องโจวกุ้ยหลานไม่ละสายตา
รอเนื้อหมูดูดซับน้ำซุปหมดแล้ว โจวกุ้ยหลานก็ตักเนื้อไว้ในถ้วยไม้ใหญ่ ใช้อีกถ้วยปิดเอาไว้ เพื่อไม่ให้กลิ่นหอมลอยออกไปจนหมด
ทำทุกอย่างเสร็จแล้ว นางก็เริ่มต้มไส้หมู
รอไส้หมูสุกแล้ว ก็เอาลงไปในน้ำมัน ใส่เกลือ ผัดไส้หมูจนกลายเป็นสีเหลือง ใส่พริกป่น เครื่องเทศต่างๆ แล้วใส่เหล้าลงไปเล็กน้อย ผัดต่อไปจนมีกลิ่นหอมลอยออกมา
กลิ่นหอมในครั้งนี้ หอมกว่ากลิ่นเนื้อหมูตุ๋นอีก
พวกเด็กๆเริ่มขยับ อยากวิ่งเข้าไปเกาะข้างเตาเลยด้วยซ้ำ
แต่นึกถึงคำพูดที่โจวกุ้ยหลานบอกว่า นั่งนิ่งถึงจะได้กินเนื้อ พวกเขาต่อสู้ในใจ สุดท้ายก็ต้องนั่งลงแต่โดยดี
สวีฉางหลินก็อดไม่ได้มองมาทางนี้ กระตุกมุมปาก สายตาก็มองไปยังกระทะ
เดือนก่อนเขาได้กินไส้หมู เขาที่ไม่สนใจอาหารอยู่แล้วก็กินไม่หยุดเหมือนกัน
ไม่คิดว่าภรรยาตัวเองจะทำได้หอมกว่าครั้งก่อนอีก
รอโจวกุ้ยหลานทำอาหารเสร็จแล้ว ก็ถึงเวลาเที่ยงแล้ว ทุกคนนั่งรอบโต๊ะไม้ด้านนอก อาหารจัดเรียงเต็มทั้งโต๊ะ
ซุปกระดูกหัวไชเท้า หมูตุ๋น กะหล่ำปลีผัดหมูเส้น ไข่เจียวม้วน ไข่ตุ๋น ฟักผัดซอสแดงเป็นต้น และยังใช้กะละมังใหญ่ใส่อาหารด้วยนะ