นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 57 ข่าวลือ
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 57 ข่าวลือ
ยิ่งคิด นางก็ยิ่งหน้าแดง
เฮ้อ น่าอายจริงๆ
นางดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมหัวตัวเองไว้ ราวกับนกกระจอกเทศ
นอนนอน ยังมีเทพตัวน้อยนอนอยู่ข้างๆ นางกลับคิดเรื่องพวกนี้
สวีชางหลินเดินออกมาจากบ้านใหม่ เดินไปใกล้โอ่งน้ำแล้วตักน้ำขึ้นมาหนึ่งถัง ราดตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้า
น้ำเย็นดับไฟในกายได้บางส่วน แต่ก็ทรมานอย่างมาก
กว่าจะสร้างบ้านใหม่เสร็จ อดทนมาตั้งนานขนาดนี้ ส่งลูกชายไปนอนคนเดียว แล้วคิดว่าจะได้นอนกับภรรยาตนเอง สุดท้ายละ?
ลูกชายวิ่งกลับมาอีกแล้ว
คิดถึงท่าทีหยาดหยิ้มของโจวกุ้ยหลานเมื่อกี้ ไฟในกายของเขาก็ยิ่งเพิ่มขึ้นมา
ไม่ได้ พรุ่งนี้จะต้องพาสวีเทียนไปที่บ้านแม่ยาย เขาอายุสามขวบแล้ว ควรที่จะนอนคนเดียวได้แล้ว
ตากลมอยู่ข้างนอกกว่าครึ่งชั่วโมง รอเมื่อเสื้อผ้าแห้งแล้ว เขาค่อยกลับเข้าไปในห้อง ปิดประตูเรียบร้อยแล้ว กลับไปนอนลงบนเตียง โอบกอดเจ้าก้อนน้อยกับภรรยาแนบอก
เจ้าก้อนน้อยนอนหลับแล้ว ขาน้อยๆขยับสองที สวีชางหลินไม่หายโมโห เอื้อมมือตบก้นเขาเบาๆสองที แล้วค่อยนอนลง
ค่ำคืนนี้ โจวกุ้ยหลานฝันเห็นสวีชางหลิน ทั้งสองคนจูบกันทั้งคืน
รอเมื่อเขาตื่นขึ้นมา รู้ตัวว่าตนเองฝันไป ก็รู้สึกแย่
โถ่ๆ นี่นางฝันเปียกหรือ?
มองดูเจ้าก้อนน้อยที่ยังนอนหลับอยู่ นาง รีบลุกขึ้นมาอย่างรู้สึกผิด
รอเมื่อนางออกมา ก็ไม่เห็นสวีชางหลินแล้ว
คงจะไปล่าสัตว์อีกแล้วแหละ
โจวกุ้ยหลานวิ่งไปให้อาหารไก่ จูงแพะออกมา มองดูรังนกกระทา แล้วก็เห็นว่าออกไข่เพิ่มอีกหลายลูก
เก็บไข่ แล้วนางก็วิ่งไปทางทิศเหนือ เก็บโยนผ้าห่มขาดๆพวกนั้นทิ้งไป วางไข่นกกระทาไว้ด้านบน ไปเอาไข่ไก่และไข่นกกระทาทั้งหมดในบ้าน วางไว้บนหลุม เมื่อนับดูมีไข่ไก่ยี่สิบฟอง ไข่นกกระทายี่สิบห้าลูก
เอาฟืนมาแล้วก็เริ่มจุดเตา เมื่อก่อนไม่มีหลุม และก็ไม่ใช่ฤดูกาล นางไม่มีหนทางเริ่มแผนการเพาะเลี้ยงของนาง ตอนนี้ดีแล้ว สามารถฟักไข่ด้วยตนเอง กิจการงานเพาะเลี้ยงของนางก็กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว
แตะอุณหภูมิ คาดว่าพอประมาณแล้วค่อยออกมา แล้วไปยังที่บ้านไม้ เอาไส้เดือนที่ตนเองเลี้ยงไว้ที่นั่นแบ่งออกเป็นอีกอ่างขนาดใหญ่ แล้วออกไปขุดดิน นางมองดูอ่างไส้เดือนขนาดใหญ่สองอ่าง อย่างพอใจมาก
ทำพวกนี้เสร็จ นางค่อยไปทานข้าว เก็บรวบรวมเสื้อผ้าทั้งสามคนใส่ไว้ในอ่างไม้ แล้วนำไปซักที่ลำธาร
ก่อนหน้านี้เพื่อล้างไส้ใหญ่ นางจึงไปซักเสื้อผ้าในลำธารอีกฟากหนึ่งของภูเขา แต่ข้างลำธารไม่มีที่ทุบเสื้อผ้า นางจึงรู้สึกว่าเสื้อผ้าซักไม่สะอาด
ครั้งนี้จึงตัดสินใจไปซักเสื้อผ้าที่ลำธาร
เวลานี้มีผู้หญิงสองคนซักผ้าอยู่ที่ลำธารแล้ว เห็นนางไป ก็หยุดพูดคุยกัน
โจวกุ้ยหลานเดินไปอย่างปกติ พร้อมพูดขึ้นว่า “อาสะใภ้ชุ่ยฮวา พี่สะใภ้ไห่เซีย”
ทั้งสองคนต่างพูดขึ้นมาอย่างเก้อเขิน เห็นโจวกุ้ยหลานคุกเข่าอยู่ข้างลำธาร แล้วก็เริ่มซักผ้า
ชุ่ยฮวาเป็นคนใจร้อน เก็บความในใจไว้ไม่ได้ จึงพูดขึ้นว่า “กุ้ยหลาน บ้านใหม่ของเจ้าสร้างเสร็จแล้วหรือ?”
โจวกุ้ยหลานก็ไม่ได้จะต้องปิดบังอะไร จึงพูดขึ้นว่า “เมื่อวานเพิ่งสร้างเสร็จเลย”
เห็นนางตอบรับ ชุ่ยฮวาก็ถามขึ้นมาตรงๆว่า “ได้ยินว่าเจ้าไปหาคนหมู่บ้านอีกฝั่งมาช่วยสร้างบ้านหรือ ยังจ่ายวันละสิบอีแปะ”
ได้ยินนางถามเช่นนี้ พี่สะใภ้ไห่เซียที่อยู่ด้านข้างก็เงี่ยหูฟัง
ในใจโจวกุ้ยหลานกระตุก เรื่องนี้เป็นที่รู้กันเร็วจริงๆ พวกนางรู้แล้ว งั้นก็แสดงว่าทั่วทั้งหมู่บ้านต้าสือก็รู้เรื่องนี้แล้ว
แต่นางก็ไม่ได้คิดที่ปิดบัง จึงพูดขึ้นว่า “ใช่ หาคนในหมู่บ้านเราไม่ได้ จึงไปหาในหมู่บ้านใกล้เคียง”
นี่เท่ากับเป็นการยอมรับแล้ว หวังชุ่ยฮวาตกตะลึง พูดสิ่งที่อัดอั้นตันใจออกมาว่า “ทำไมเจ้าถึงเอาเรื่องที่ดีแบบนี้ให้คนหมู่บ้านอื่น? อาฝูเถียนของเจ้าว่างอยู่บ้านไม่ใช่หรือ? ทำไมไม่เรียกเขา?”
วันละสิบอีแปะ พอซื้อเกลืออยู่หลายจิน
ได้ยินว่ามีอาหารอร่อยด้วย ยังได้เอาแป้งเอาหมั่นโถวกลับบ้านได้ด้วย
หูไห่เสียที่อยู่ด้านข้างก็พูดขึ้นมาอย่างไม่พอใจว่า “กุ้ยหลาน พี่สะใภ้ไม่ได้ว่าเจ้านะ ยังไงเราก็เป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน ทำไมเจ้าถึงไม่ร้องเรียกสักคำ?”
หลายวันมานี้พวกเขาได้ยินคำร่ำลืออยู่ไม่น้อย ล้วนต่างพูดถึงเรื่องนี้ เริ่มแรกพวกนางก็ไม่เชื่อ แต่ผ่านไปตั้งนานหลายวันขนาดนี้แล้ว ก็ยังมีการพูดถึงกันอยู่ตลอด วันนี้ได้ยินโจวกุ้ยหลานพูดเช่นนี้ ภายในใจของนางรู้สึกหงุดหงิดใจอย่างมาก
เผชิญกับคนสองคนถามขึ้นมา โจวกุ้ยหลานยังพูดขึ้นอย่างยิ้มแย้มว่า “เฮ้อ พี่ชายของข้าไปเรียกที่บ้านพวกเจ้าทั้งสองแล้วไม่ใช่หรือ? สุดท้ายบ้านของพวกเจ้าไม่มีใครมา ข้าก็ยังคิดว่าพวกเจ้าคงจะมีงานยุ่ง ทำไม ต่างว่างอยู่บ้านกันหรือ?”
พี่ชายของนางเดินไปเรียกทั่วหมู่บ้าน เรียกคนอยู่ไม่น้อย คนที่รับปากว่าจะมามีเพียงผู้ชายทั้งสองบ้าน แต่เสียดายสุดท้ายแล้วก็ไม่มา ตอนนี้มาบีบคั้นถามนางอีกเช่นนี้ เป็นการเกินไปหรือเปล่า?
โจวกุ้ยหลานดูเหมือนจะเป็นคนพูดง่าย บนใบหน้ายังยิ้มแย้ม แต่สีหน้าของผู้หญิงสองคนนั้นกลับดูย่ำแย่
หูไห่เสียยังถลึงตาใส่หวังชุ่ยฮวา โทษนางที่พูดจาไม่เป็น
แต่หวังชุ่ยฮวามองไม่เห็นสายตาหูไห่เสีย ยังพูดขึ้นอีกว่า “เจ้าก็ไม่ได้บอกว่าจะจ่ายเงินค่าจ้างนี่”
เมื่อพูดออกมาเช่นนี้ สีหน้าหูไห่เสียยิ่งดูแย่กว่าเดิม ในใจแอบด่าหวังชุ่ยฮวาว่าโง่
เจ้าคนโง่คนนี้ ทำไมพูดจาแบบนี้?
โจวกุ้ยหลานแทบจะหัวเราะออกมา คนคนนี้โง่หรือเปล่า ที่พูดออกมาเช่นนี้ นี่ไม่เป็นการทำให้นางกับผู้ชายที่บ้านของนายอับอายขายหน้าหรือ? ยังทำให้บ้านคนอื่นที่เบี้ยวนัดนางก็เสียหน้าไปด้วย
ดูพี่สะใภ้ไห่เซียฉลาดแค่ไหน จนสีหน้าเปลี่ยนไปแล้ว
“เฮ้อ ดูเรื่องที่เกิดขึ้นสิ ข้าก็ไม่รู้ว่าที่แท้พี่สะใภ้ชุ่ยฮวานคิดแบบนี้ นี่ปล่อยให้คนหมู่บ้านใกล้เคียงได้เงินไปเสีย!” พูดเสร็จ โจวกุ้ยหลานยังแสดงสีหน้าเสียดาย
ใบหน้าแสดงท่าทีแบบนี้ แต่มือเคลื่อนไหวอยู่อย่างไม่หยุด
นางอยากที่จะให้คนที่เบี้ยวนัดนางพวกนี้เสียใจ เชอะ เสียใจไปเถอะ
ในความทรงจำของนาง เมื่อหลายบ้านพวกนี้มีงาน พี่ชายของนางล้วนไปช่วยตลอด
เมื่อโจวกุ้ยหลานพูดความคิดในใจของหูไห่เสียกับหวังชุ่ยฮวาออกมา พวกนางต่างก็เสียใจ นี่ล้วนเป็นเงินของพวกนาง ถูกคนหมู่บ้านอื่นได้ไปแล้ว
“ต้องโทษคนปากเสียพวกนั้น” คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ หวังชุ่ยฮวาอดไม่ได้ที่จะกัดฟันพูดขึ้นมา
หูไห่เสียที่อยู่ด้านข้างก็อดไม่ได้พูดขึ้นมาว่า “ต้องโทษพวกคนปากไม่ดีพวกนั้น”
โจวกุ้ยหลานได้ยิน แล้วก็จดจำไว้ในใจ
โย้ เรื่องนี้ยังมีความในแอบแฝงด้วยหรือ
“ทำไมถึงพูดเช่นนี้?” นางถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ
หูไห่เสียหุบปากอีกครั้ง แต่สีหน้ายังคงย่ำแย่อย่างมาก
หวังชุ่ยฮวากลับเป็นคนที่เก็บความลับอะไรไม่ได้เหมือนอย่างนาง พูดขึ้นทันทีว่า “วันนั้นสามีของข้าตอบตกลงต้าไห่แล้ว คิดไว้ว่าเช้าวันที่สองก็จะไปช่วยงาน ตอนกลางคืนไปนั่งคุยกันกับคนในหมู่ใต้ต้นไทรใหญ่ ใครจะไปคิดว่าทุกคนต่างพูดว่าสามีของเจ้าได้เงินสกปรกเอามาสร้างบ้าน บอกว่าสามีของเจ้าฆ่าคนปล้นเงินแล้วย้ายมาอยู่บนเขา”
“ใครเป็นคนพูด?” สายตาโจวกุ้ยหลานหรี่ลง พร้อมถามขึ้น