นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 58 สมคบเฉินโหยวซวน
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 58 สมคบเฉินโหยวซวน
หูไห่เสียที่อยู่ด้านข้างเห็นหวังชุ่ยฮวาพูดเช่นนี้ เดิมในใจก็อัดอั้นความคับข้องใจไว้อยู่แล้ว ตอนนี้ก็อดทนไม่ไหวพูดขึ้นว่า “ทุกคนต่างก็พูดกันอยู่ เหมือนมีคนจำได้ว่าสามีของเจ้าเป็นนักโทษฆ่าคน”
โจวกุ้ยหลานไม่พอใจยิ่งนัก
ถึงแม้ตอนที่เห็นสวีชางหลินครั้งแรก บนตัวเขามีความอาฆาต น่าหวาดกลัวยิ่งนัก แต่เมื่อได้อยู่ด้วยกันแล้ว นางสามารถดูออกว่าถึงแม้ปกติสวีชางหลินจะเป็นคนเงียบ แต่นิสัยดีมาก คนแบบนี้จะเห็นนักโทษฆ่าคนได้อย่างไร?
หวังชุ่ยฮวาที่อยู่ด้านข้าง พูดขึ้นมาอย่างเสียงดังว่า “สามีของเจ้าน่าหวาดกลัวอย่างมาก พวกเรายังกลัวว่าเจ้าจะถูกทำร้ายจนตาย ใครจะกล้าไปยุ่งด้วย?”
ถึงแม้รู้ว่าสิ่งที่นางพูดเป็นความจริง แต่ในใจโจวกุ้ยหลานก็โกรธโมโหอย่างมาก
สวีชางหลินดีขนาดนี้ ใครกันที่แอบใส่ร้ายเขาอยู่เบื้องหลัง?
“กุ้ยหลาน เจ้ารู้ไหม เจ้าก็ถูกคนอื่นก่นด่าลับหลัง” หูไห่เสียก็ไม่ปิดบังต่อไป พูดบอกโจวกุ้ยหลานขึ้นมา
ยังใส่ร้ายนาง? นอกจากเรื่องเฉินโหยวซวน นางก็ไม่ได้ทำอะไรที่ไม่ดี……
โจวกุ้ยหลาน สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วก็ถามขึ้นว่า “พูดใส่ร้ายข้าว่าอย่างไร?”
หวังชุ่ยฮวาถูกหูไห่เสียแย่งพูดก่อน จึงรีบพูดขึ้นว่า “เพื่อนบ้านเฉินโหยวซวนหลายบ้านไปเยี่ยมเฉินโหยวซวน บอกว่าภายในห้องของเขามีกลิ่นเน่าเปื่อยโชยมาเป็นครั้งๆ กลิ่นเหม็นอย่างมาก บอกว่า กล่องดวงใจของเขาเน่าเปื่อยแล้ว เฉินโหยวซวนบอกคนอื่นว่าเจ้าไปยั่วยวนเขา สามีของเจ้ากลับมาแล้วเจ้ากลัวถูกจับได้ จึงทำลายกล่องดวงใจของเขา”
โจวกุ้ยหลานไม่รู้ว่าจะต้องแสดงท่าทียังไงจริงๆ
อย่างเฉินโหยวซวน นางไปยั่วยวนเขา?
ผู้ชายคนนี้หน้าไม่อายจริงๆ อะไรก็กล้าพูดออกมา
“พวกเจ้าเชื่อหรือเปล่า?” โจวกุ้ยหลานจ้องมองทั้งสองคน แล้วก็เห็นทั้งสองคนหันหน้าไปทางอื่นอย่างไม่กล้าสู้หน้า
เห็นที คนพวกนี้เชื่อแล้ว อย่างน้อยก่อนที่นางจะพูดนั้นเชื่อแล้ว
ยังไงหูไห่เสียก็ฉลาดหน่อย รู้จักพูดขึ้นมาว่า “พวกเราที่รู้นิสัยของเจ้า ยังไงก็ไม่เชื่ออยู่แล้ว แต่ทุกคนต่างก็พูดกัน……”
“ใช่ พวกเขาพูดเหมือนอย่างเป็นเรื่องจริงมาก เรายังได้ยินมาว่า มีคนเห็นเจ้าจับมือเฉินโหยวซวนในสวนข้าวโพด เขาก็เลยไปสู่ขอที่บ้านเจ้า”
โจวกุ้ยหลานค้นหาภายในความทรงจำ แต่ก็ไม่เจอเจ้าของเดิมเคยยุ่งเกี่ยวกับเฉินโหยวซวน คำพูดนี้เหมือนจะเป็นความจริง ใครมองเห็นกันแน่?
ข่าวลือสามารถฆ่าคนตายได้จริงๆ เรื่องนี้ยังไงก็จะต้องเป็นคนตระกูลเฉินที่หน้าไม่อายปล่อยข่าวออกมาแน่
“ยังมีอีกไหม?” โจวกุ้ยหลานถามขึ้นมาอีก
เรื่องซุบซิบนินทาใครก็รู้ อีกอย่างทุกวันนี้กลายเป็นเรื่องพูดปากต่อปากของคนในหมู่บ้านหลังอาหารเย็นไปแล้ว พูดยังไงก็มี จะมีใครไม่รู้เรื่องอีกหรือ หวังชุ่ยฮวาพูดเปิดเรื่องขึ้นมาอย่างตื่นเต้นว่า “ได้ยินมาว่าเจ้านอนกับเฉินโหยวซวนแล้ว ต่อมาก็ถูกสวีชางหลินข่มขืน เจ้ากลัวสวีชางหลิน จึงไปอยู่กับสวีชางหลิน”
“อาสะใภ้ อย่าว่าแต่ชางหลินมีความสามารถในการล่าสัตว์หาเงิน ต่อให้เขาไม่มีความสามารถ เขาก็ไม่ดีกว่าเฉินโหยวซวนหรือ? โจวกุ้ยหลานโกรธจนจะหัวเราะออกมา”
นี่น่าสนใจกว่านิทานที่นางเคยดูมาเมื่อก่อนหน้านี้ ไม่รู้ว่าคนที่แต่งเรื่องพูดขึ้นมาพูดออกมาได้ยังไง
หวังชุ่ยฮวาไม่กล้าตอบ ยังไงนางก็กลัวสวีชางหลิน
“มีคนเห็นก็ให้คนคนนั้นมายืนยันกับข้า ยังพูดอย่างเห็นด้วยตาตนเอง หากสามีของข้าฆ่าคนจริงๆ คนที่พูดเรื่องนี้ก็จะต้องถูกฆ่าแน่ คนดีถูกรังแกจริงๆ”
น้ำเสียงโจวกุ้ยหลานนั้นไม่ดีอย่างมาก
พูดว่านางอย่างอื่นไม่เป็นไร ต่อให้ว่านางจิตใจชั่วร้าย แต่ว่านางเกี่ยวข้องกับเฉินโหยวซวนนั้น ทำให้นางสะอิดสะเอียนอย่างมาก
“ไอหยา ดูเจ้าพูดสิ ล้วนเป็นคำร่ำลือ อย่าจริงจัง” หูไห่เสียรีบพูดปลอบโจวกุ้ยหลาน
โจวกุ้ยหลานโยนเสื้อผ้าลอยเข้าไปในน้ำ พร้อมพูดขึ้นว่า “เรื่องนี้จะว่าเรื่องใหญ่ก็ไม่ใช่ จะว่าเรื่องเล็กก็ไม่ได้ แต่ข้ารับไม่ได้”
หวังชุ่ยฮวาพูดขึ้นมาเหมือนอย่างมีศัตรูคู่แค้นร่วมกันว่า “ต้องโทษคนที่พูดนินทาใส่ร้ายคนนั้น คำพูดนี้ ล้วนเป็นพวกเขาพูด หากไม่ใช่พวกเขา เราจะไม่ไปช่วยเจ้าสร้างบ้านหรือ?”
เรื่องนี้ถูกพูดวนกลับมาอีก ถึงตอนนี้นางยังเสียดายเงินนั่นอยู่
พูดถึงเรื่องนี้ หูไห่เสียก็เสียดาย
โจวกุ้ยหลานพูดขึ้นมาว่า “เรื่องที่ผ่านมาเราไม่พูดถึงละ ก่อนหน้านี้ข้าเข้าใจป้าชุ่ยฮวากับพี่สะใภ้ไห่เซียแล้ว ตอนนี้บ้านสร้างเสร็จแล้ว ต่อไปก็ไม่มีงานที่ต้องจ่ายตังแบบนี้แล้ว เฮ้อ…..”
พูดเสร็จ ก็ใช้ไม้ทุบซักเสื้อผ้า
คำพูดประโยคนี้เป็นการพูดแทงใจดำผู้หญิงทั้งสองคน ทำให้พวกนางโกรธโมโห
ต่อมาโจวกุ้ยหลานก็พูดคุยไปเรื่อยกับพวกนางสักพัก พูดบ่นว่าตอนนี้ที่บ้านยากจนขนาดไหน ยังยืมเงินมาจากแม่ ถึงสามารถสร้างบ้านหลังนี้เสร็จ
อีกสองคนเห็นว่าสมเหตุสมผล ซักเสื้อผ้าเสร็จแล้วก็กลับบ้านใครบ้านมัน
ไม่นาน ในหมู่บ้านก็มีคำร่ำลือใหม่ บอกว่าโจวกุ้ยหลานกับสวีชางหลินทำเป็นหน้าใหญ่ใจโต ไม่ประมาณตน จนขนาดนั้นแล้ว ยังจะหายืมเงินไปสร้างบ้าน จ่ายค่าจ้างเลี้ยงคนอื่นดีขนาดนั้น ตอนนี้ที่บ้านแทบจะไม่มีกินแล้ว
แน่นอน นี่เป็นคำพูดในภายหลัง
โจวกุ้ยหลานซักเสื้อผ้าเสร็จ กลับไปบนเขา หลังจากตากผ้าเรียบร้อยแล้ว ก็เห็นเจ้าก้อนน้อยหาทานข้าวต้มด้วยตนเองแล้ว
นางกลับไปลูบดูความอบอุ่นในหลุม พบว่าความอบอุ่นในหลุมลดลงแล้ว
ฟืนเผาไหม้เร็วมาก ควบคุมความอุ่นได้ยาก หากมีถ่านก็คงดี เผาไหม้ได้นาน ความอุ่นก็สม่ำเสมอ
นางไม่มีเงินซื้อถ่าน แต่สามารถทำเองได้
หากทำการทดลองผ่าน งั้นฤดูหนาวต่อไปก็สามารถนำไปขายได้ไม่ใช่หรือ?
ยิ่งคิดก็ยิ่งเห็นว่าเป็นหนทางที่ดีอย่างหนึ่ง
ยิ่งคิด นางก็เพิ่มฟืนเข้าไปอีก แล้วออกไปบีบน้ำนม หลังจากเสร็จแล้ว ก็ไปต้มพุดดิ้ง
ก่อนหน้านี้สร้างบ้าน นางไม่ได้ทำพุดดิ้งมานานแล้ว ตอนนี้อยากกินของพวกนี้แล้ว
เอาน้ำนมแพะยกเข้าไปในห้องครัวใหม่ เอาหม้อบนชั้นวางด้านนอกมา แล้วก็เริ่มต้มพุดดิ้ง
เจ้าก้อนน้อยคุกเข่าอยู่ด้านข้าง ดวงตากลมแป๋วจ้องมองหม้อนั้น
“แม่จะทำของอร่อยหรือ?”
เห็นเขาอยากทานขนาดนั้น โจวกุ้ยหลานพูดขึ้นอย่างดีใจว่า “แม่จะทำพุดดิ้งให้เจ้าดีไหม?”
ได้ยินว่ามีพุดดิ้ง เจ้าก้อนน้อยก็พยักหัว พร้อมพูดขึ้นว่า “ดี”
ทั้งสองคนพูดคุยกันเสร็จ เจ้าก้อนแป้งก็นั่งรออยู่อย่างเงียบๆ
โจวกุ้ยหลานถอนฟืนออกมา เอาถ้วยข้างในออกมาวางไว้ด้านข้าง แล้วก็อุ้มเจ้าก้อนน้อยออกไปข้างนอก พุดดิ้งนั้นยังต้องรอ
พอเมื่ออยู่ใกล้ เจ้าก้อนน้อยเห็นมุมโจวกุ้ยหลานบวมแดง เขาเอื้อมมือไปแตะ พร้อมพูดขึ้นว่า “ถูกพ่อตีหรือ?”
ใบหน้าโจวกุ้ยหลานร้อนผ่าว นี่จะตอบยังไง?
หรือจะบอกเขาว่าเขาไม่ได้ตี เป็นกิจกรรมปกติของสามีภรรยา?
คิดแล้ว ในหัวสมองก็ผุดภาพสวีชางหลินในสภาพเมื่อคืนขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว ใบหน้าก็ยิ่งแดง
เจ้าก้อนน้อยเอื้อมมือไปลูบหน้าแม่ แล้วก็พบว่าใบหน้าของแม่ร้อนผ่าว
แม่ไม่สบายหรือ?
คิดแล้ว เขาก็ดิ้นรนอยากลงมา โจวกุ้ยหลานจำต้องวางเขาลง
เจ้าก้อนน้อยดึงโจวกุ้ยหลานไปที่เตียง ให้นางนอนลง มือเล็กน้อยใช้แรงอันน้อยนิดดันนางไปบนเตียง
โจวกุ้ยหลานไม่รู้จะทำยังไง จำต้องนอนลงตามที่เขาต้องการ จากนั้นก็เห็นเขาดึงผ้าห่มมาห่มให้กับโจวกุ้ยหลาน แล้วค่อยลงมาจากเตียงแล้ววิ่งไปที่ห้องครัว