นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 6 ข้าจะพัฒนาอุตสาหกรรมการเพาะพันธุ์ของข้า
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 6 ข้าจะพัฒนาอุตสาหกรรมการเพาะพันธุ์ของข้า
คำพูดประโยคนี้ ทำให้โจวกุ้ยหลานคิดถึงก่อนหน้านี้ที่เขายกไส้เดือนเป็นอ่างให้นาง ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ครั้งแรกที่ได้ของขวัญจากผู้ชายคือไส้เดือน อย่างที่สองก็คือนกกระทาหกตัว?
นี่ถ้าไม่พูดให้เข้าใจ เขาจะคิดว่านางโรคจิตไหม?
คิดได้แบบนี้ นางจึงเตรียมที่จะพูดเรื่องที่ตนเตรียมจะเปิดฟาร์มเพาะเลี้ยงให้เขาฟัง
“นกกระทาเติบโตอย่างรวดเร็ว เราเอามาเลี้ยง เมื่อมันวางไข่ก็ฟักไข่เลี้ยงต่อไป ให้วางไข่แล้วฟักจนเยอะพอประมาณแล้ว เราก็จะได้ทานไข่นกกระทา ย่างนกกระทากินทุกวัน”
ยิ่งพูด โจวกุ้ยหลานก็ยิ่งตื่นเต้น พร้อมพูดขึ้นว่า “สวีฉางหลิน เจ้าเพียงอาศัยการล่าสัตว์ไม่สามารถทำให้อิ่มท้องได้ เราเหลือข้าวโพดเพียงแค่ครึ่งถุง เสื้อผ้าเปลี่ยนก็ไม่มี รอครั้งนี้ขายของพวกนี้หมด มีเงินแล้ว เราซื้อไก่ ซื้อเป็ด ซื้อห่าน แล้วจับหมูมาอีกสองตัว ถึงตอนนั้นนำมาเลี้ยง เราก็จะกลายเป็นครอบครัวที่มีฟาร์มเพาะเลี้ยงขนาดใหญ่ ถึงตอนนั้นอยากกินอะไรก็จะกิน”
ในภพก่อนนางไม่มีเงินลงทุน และก็ไม่มีสถานที่เหมาะสมที่จะให้นางได้ทำฟาร์มเพาะเลี้ยง สุดท้ายนางไปเป็นพนักงานฝ่ายการตลาด แต่ในภพนี้ นางมีสภาพแวดล้อมที่ดีขนาดนี้ การทำฟาร์มเพาะเลี้ยงคือทางเลือกที่ดีที่สุด
โจวกุ้ยหลานพูดขึ้นมาอย่างมั่นอกมั่นใจ น้ำเสียงก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น แววตาทั้งคู่เป็นประกาย
สวีฉางหลินที่อยู่ตรงข้าม มองดูโจวกุ้ยหลานในสภาพแบบนี้ ด้วยดวงตาสั่นไหว
“เจ้าไม่ไปแล้วใช่ไหม?”
“อ๋า?”โจวกุ้ยหลานกำลังพูดอยู่อย่างตื่นเต้น จู่ๆสวีฉางหลินก็พูดขึ้นมา ทำให้นิ่งอึ้งไป แล้วค่อยรู้ว่าเขาถามถึงอะไร
จึงโบกมือ พร้อมฑุดขึ้นว่า “ไปไหนล่ะ? ข้าจะพัฒนาอุตสาหกรรมฟาร์มเพาะเลี้ยงของข้า รีบไปในตำบล เดี๋ยวจะสายแย่แล้ว”
สวีฉางหลินค่อยโล่งอกไปไม่น้อย พร้อมพูดตอบขึ้นว่า “อืม”
ผู้หญิงคนนี้ ยอมที่จะอยู่ต่อ ต่อไปก็จะเป็นภรรยา เป็นท่านแม่ของลูกชายของเขาแล้ว
โจวกุ้ยหลานเดินตามทางก่อนหน้านี้ไป สวีฉางหลินเดินกลับไปเอาตะกร้า ถือนกกระทาไว้แล้วเดินตามหลังนางไป
ตลอดทาง โจวกุ้ยหลานก็พูดเล่าให้สวีฉางหลินฟังอย่างตื่นเต้นว่า ตนเองจะเลี้ยงไก่เลี้ยงเป็ดกี่ตัว จะเลี้ยงยังไง ส่วนสวีฉางหลินก็ตอบรับเป็นบางครั้ง ซึ่งยิ่งทำให้โจวกุ้ยหลานตื่นเต้น พร้อมทั้งยิ่งพูดยิ่งตื่นเต้น
โจวกุ้ยหลานที่อารมณ์ดี ตอนที่เดินข้ามผ่านภูเขาก็ไม่รู้สึกเหนื่อย กระทั่งมาถึงในตำบลไว้ยิ่งกว่าที่สวีฉางหลินคาดการณ์ไว้
ทั้งสองคนตรงไปที่ร้านขายยา
เมื่อเข้าไปก็เห็นคนงานคนหนึ่งกำลังแนะนำยาสมุนไพรให้กับแขกคนอื่น
โจวกุ้ยหลานกับสวีฉางหลินต่อคิวอยู่ด้านหลัง เมื่อถึงคิวพวกเขา โจวกุ้ยหลานยิ้มแย้ม ผิวหน้าหย่อนคล้อยมีริ้วรอยม้วนกลายเป็นวงกลม พูดขึ้นว่า “ไม่ทราบว่าที่นี่รับซื้อเขากวางอ่อนไหม?”
คนงานคนนั้นอึ้ง แล้วก็ถามขึ้นว่า “เจ้ามี?”
โจวกุ้ยหลานยิ่งยิ้มกว้าง ส่งสายตาให้กับสวีฉางหลิน ซึ่งสวีฉางหลินก็รู้ทัน เอาตะกร้าวางบนโต๊ะ วางจนเสียงดังตูม
จากนั้นก็เห็นภายใต้สายตาแปลกประหลาดใจของคนงาน สวีฉางหลินเอาเขากวางอ่อน หัวกวาง เลือดกวาง กระดูกกวางวางเรียงไว้ด้านนอก สักพักก็วางเกือบเต็มบนชั้นวาง ซึ่งในตะกร้านั้นยังมีเนื้อกวางที่สูงกว่าครึ่งคนนั้นยังไม่ได้เอาออกมา
คนงานคนนั้นให้ทั้งสองคนรออยู่ตรงนี้ก่อน จากนั้นก็รีบวิ่งไปด้านหลัง
ไม่นาน คนงานคนนั้นก็พาผู้ชายอายุห้าสิบคนหนึ่งมา
“ผู้จัดการหลิว พวกเขานี่แหละ”คนงานรีบพูดแนะนำ
สายตาผู้จัดการหลิวคนนั้น มองเห็นของที่วางบนชั้นวางแล้ว หนังตากระตุกอย่างรุนแรง
นี่เป็นสิ่งของทั้งหมดของกวางซิก้าหนึ่งตัว ยังเป็นกวางตัวผู้วัยเจริญพันธุ์ และของพวกนี้ก็ถูกจัดการมาอย่างดีมาก ถือว่าเป็นคนชำนาญ
กวางซิก้าวิ่งได้รวดเร็ว และยังคล่องแคล่ว นายพรานทั่วไปไม่มีทางล่ากวางซิก้าได้ ของพวกนี้ ก็มีคุณค่าอย่างมาก
สายตาผู้จัดการหลิวกวาดมองดูสวีฉางหลินกับโจวกุ้ยหลาน คนตรงหน้าทั้งสองคน ถึงแม้จะสวมชุดเก่า แต่ท่าทีของผู้ชายคนนั้นกลับไม่สามารถละเลยได้ ยังมีผู้หญิงคนนี้ แลดูใจกว้าง ไม่เหมือนหญิงสาวชาวบ้านธรรมดา
เขาจึงอดไม่ได้ที่จะมองพิจารณาดูทั้งสองคน พร้อมพูดขึ้นอย่างเป็นมิตรว่า “ไม่ทราบว่าทั้งสองอยากจะขายของพวกนี้ยังไง?”