นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 68 แสดงฝีมือ
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 68 แสดงฝีมือ
โจวกุ้ยหลานเหล่กระโปรงนั่น ทั้งสองชุดไม่เลวเลย ไม่งั้นสวีฉางหลินก็คงไม่ถูกใจ แต่ชุดกระโปรงนี่ใส่แล้วลงไร่เพาะปลูกไม่ได้น่ะสิ
“หนึ่งชุดเงิน2เฉียนใช่ไหม?” โจวกุ้ยหลานถามต่อ
เถ้าแก่อึ้ง ก่อนจะยิ้มบอกอีกว่า “ฮูหยิน สองชุดนี้ข้าปัดเศษให้ท่านแล้ว ราคาลดลงไม่น้อย หากเป็นชุดเดียว เช่นนั้นต้องเงิน2เฉียนบวกอีกสามสิบหกอีแปะ”
“เช่นนั้นข้าเอาชุดเดียว เจ้าปัดเศษแล้วกัน” โจวกุ้ยหลานตัดราคาฉับเลย
เถ้าแก่นั่นโบกมือไปมา “ขายมิได้ดอก แบบนี้ต้นทุนค่าแรงอะไรของข้าก็ไม่ได้เลย!”
โจวกุ้ยหลานไม่พูดมากอีก ยุดมือสวีฉางหลินทำท่าจะออกไป “พวกเราไม่ซื้อแล้ว ซื้อไม่ไหว ไปดูเมล็ดพันธุ์เถอะ”
สวีฉางหลินอยากซื้อชุดนั้นให้เมียตนจริงๆ เวลานี้ได้ยินว่านางไม่ซื้อแล้ว เท้าก็ไม่ยอมขยับเลย
เช้าวันนี้ลูกผู้น้องหญิงของนางใส่ชุดกระโปรงสวยงามตรงหน้านาง เมียเขาจะใส่แย่กว่าคนอื่นไม่ได้
“เถ้าแก่ พวกเราซื้อ เจ้าห่อขึ้นมาเถิด” สวีฉางหลินหันไปบอกเถ้าแก่เลย
เถ้าแก่อึ้ง ก่อนพยักหน้ายิ้มถาม “ขอถามว่ารับชุดไหนรึ?”
“ชุดสีฟ้าอ่อนนั้นแล้วกัน” สวีฉางหลินชี้ไปทันที
ครั้งนี้เขาไม่ถามโจวกุ้ยหลานเลยสักคำ โจวกุ้ยหลานอยากยับยั้งก็ไม่ทันแล้ว
เวลานี้ถ้านางปฏิเสธเขา ไม่เท่ากับไม่ไว้หน้าสามีตนต่อหน้าคนอื่นรึ?
ถึงจะคิดอย่างนี้ แต่ในใจยังโกรธอยู่ นางอดหยิกหลังมือสวีฉางหลินไม่ได้ แก้แค้นสักหน่อยแล้วกัน
แต่สวีฉางหลินเหมือนกับไม่กลัวเจ็บ ยอมให้นางทำตามใจ สีหน้าไม่เปลี่ยนเลยสักนิด
นางไม่รู้สึกชนะเลยสักนิด กำลังจะดึงมือกลับ สวีฉางหลินกลับพลิกมือมาจับมือนางไว้ มือใหญ่นั้นกุมมือนางไว้ได้หมด ความรู้สึกอบอุ่นส่งผ่านมือมาถึงหัวใจ
รอทั้งสองคนหยิบกระโปรงออกมา โจวกุ้ยหลานทนไม่ไหวบ่นเขาไปว่า “เจ้าจ่ายเพิ่มอีก36อีแปะ ทั้งๆที่สามารถลดได้อีก! อีกอย่างนะ กระโปรงนี้ให้คนที่ไม่ทำงานใส่กัน ข้ายังต้องทำงานอีกนะ ซื้อกระโปรงนี้มามันไม่สิ้นเปลืองรึ?”
สวีฉางหลินยอมให้เมียพร่ำบ่น ใบหน้ามีรอยยิ้มจางๆ
รอจนทั้งคู่เข้าไปในร้านยา หลังจากซื้ออบเชยและโป๊ยกั๊ก เลยออกมาเดินเล่นไปทุกที่ และวิ่งไปร้านยาอื่นอีกเพื่อซื้อพริกไทย รอจนพวกเขาเดินเสร็จแล้ว พวกเขาก็ไปร้านยาที่สาม และซื้อเครื่องหอมหลายชนิดที่เหลืออยู่มาจนหมด ก็เข้าไปในซอยแห่งหนึ่ง ซื้อตัวยามารวมไว้ด้วยกัน ใช้ก้อนหินมาบดเป็นผง ถึงเก็บของกลับมาโรงเตี๊ยมเทียนเซียง
ถึงจะรู้สึกว่าไป๋ยี่เซวียนนิสัยไม่เลว แต่ยังไม่รู้จักดีพอ ถ้าเขาให้คนสะกดรอยตามนาง งั้นสูตรลับของนางก็ถูกเปิดโปงหมดสิ ถึงได้วนเดินรอบกับสวีฉางหลินในเมือง ถ้ามีคนสะกดรอยตามจริงๆ ก็จะได้คลายความระแวดระวังลงได้ หรือด้านหลังอาจจะสลัดพวกเขาทิ้งได้แล้ว ก็ยังปลอดภัยหน่อย
ตอนทั้งคู่กลับมายังโรงเตี๊ยม ไป๋ยี่เซวียนกำลังต้อนรับลูกค้าอยู่ พอเห็นทั้งสองคนมา ก็รีบเข้ามาต้อนรับ
“ถ้าทั้งสองท่านยังไม่มาอีก ข้าจะส่งคนออกไปตามหาพวกท่านแล้วนะไ
หลังจากโจวกุ้ยหลานกับสวีฉางหลินออกไปแล้ว ไป๋ยี่เซวียนก็หวาดหวั่น ทำอะไรก็ไม่ราบรื่นเลย
“เถ้าแก่ไม่ต้องร้อนใจไปดอก พวกข้าสัญญาแล้วก็ต้องมาแน่นอน นี่ก็เตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว พวกเราไปห้องครัวกันเถอะ” โจวกุ้ยหลานบอก
พอได้ยินนางพูดแบบนี้ ไป๋ยี่เซวียนก็ถอนหายใจโล่งอก รีบพาทั้งคู่ไปห้องครัว ตอนนี้ในห้องครัวยุ่งกันอย่างอลหม่านวุ่นวาย
“พี่สะใภ้ หากท่านไม่รังเกียจ ท่านลองทำอาหารที่นี่ดีหรือไม่?” ไป๋ยี่เซวียนบอกอย่างนอบน้อม
โจวกุ้ยหลานหันมองทุกคน ในใจพอเข้าใจว่าไป๋ยี่เซวียนอยากให้คนได้เรียน หรือไม่ก็ดูว่าเป็นอย่างไร
เวลานี้คนมากินข้าวที่โรงเตี๊ยมมากนัก และไม่มีทางให้พวกเขาทำห้องครัวให้ว่างแล้วพวกเขามาทำอาหารกัน อีกอย่าง นางมานำเสนอเครื่องปรุงรสของนาง ไม่ได้มาสอนการทำอาหารให้พี่ชายเหล่านี้เสียหน่อย
“เถ้าแก่ไป๋ อย่ายุ่งยากไปเลย ข้าไม่ทำอาหาร”
ไม่ทำอาหาร?
ไป๋ยี่เซวียนอดตกใจไม่ได้
“หากพ่อครัวท่านใดกำลังทำหมูตุ๋นน้ำแดงอยู่โปรดบอกเถิด” โจวกุ้ยหลานทำเสียงสูง ตะโกนใส่พวกพ่อครัวที่กำลังยุ่งหัวหมุนกันอยู่
สุดท้าย แต่ละคนทำงานวุ่น ไม่มีใครสนใจนางสักนิด
โจวกุ้ยหลานมุมปากกระตุก พ่อครัวเหล่านี้หยิ่งกันจริงนะ…
แต่พอคิดว่าตนมาทำไม นางก็เข้าใจได้ เพราะคนพวกนี้เป็นพ่อครัวกันทั้งนั้น นางสาวชาวนาบ้านนอกคนหนึ่งมาบอกว่าอาหารที่พวกเขาทำไม่ดี พวกเขาจะไว้หน้านางก็แปลกล่ะ
สวีฉางหลินมองทุกคนอย่างเย็นชา จากนั้นก็หันไปมอง ไป๋ยี่เซวียนที่อยู่ข้างๆ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “เถ้าแก่ไป๋ต้อนรับแขกเยี่ยงนี้รึ?”
“พี่ฉางหลินพูดอะไรน่ะ? พวกเขายุ่งเกินไปเลยไม่ได้สนใจ ข้าจะให้พวกเขาหยุดงานในมือเดี๋ยวนี้” ไป๋ยี่เซวียนรีบบอก
ไม่รู้ทำไม เขามีลางสังหรณ์ชอบกลว่า สองคนนี้จะทำให้โรงเตี๊ยมของเขายิ่งไปได้ไกลขึ้น
ดังนั้นตอนนี้เขาไม่กล้าทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจ
“ไม่ต้องหรอก ข้าไปดูเองดีกว่า”
พูดจบ โจวกุ้ยหลานก็ปล่อยมือสวีฉางหลินออก และเดินเข้าไปในห้องครัวเอง มองดูอาหารที่ทุกคนกำลังทำ หมูตุ๋นน้ำแดง ซุปปลา อะไรก็มีหมด
เพียงแต่คนพวกนั้นไม่สนใจนาง ต่างทำงานในส่วนของตนกัน
นางเดินไปที่หน้าพ่อครัวที่หยิบมีดปังตอจะฟันคนก่อนหน้านี้คนนั้น พอดูแล้ว อ้าว ในกระทะเป็นหมูตุ๋นน้ำแดงพอดีเลย เมื่อครู่พึ่งแช่น้ำร้อน ตอนนี้เทน้ำมันลงไป และเทชิ้นเนื้อใส่กระทะต่อ
“ซือฝุท่านนี้ ยอมให้ข้าใส่เครื่องเข้าไปได้ไหม?” โจวกุ้ยหลานพูดด้วยน้ำเสียงดีมาก
พ่อครัวคนนั้นเหล่มองโจวกุ้ยหลาน พลางพูดด้วยน้ำเสียงไม่ดีว่า “นี่ข้าทำให้ลูกค้าในห้องส่วนตัวนะ ถ้าเจ้าทำพังเท่ากับทำลายชื่อเสียงโรงเตี๊ยมเรา”
พอได้ยินก็รู้ว่าปฏิเสธ แถมน้ำเสียงไม่ดีอีก
สำหรับเรื่องนี้โจวกุ้ยหลานไม่รู้สึกอะไร ยังคงพูดต่อด้วยน้ำเสียงเดียวกับเมื่อครู่ว่า “ถ้าทำพัง ข้าจะซื้อจานนี้กินเอง”
คำพูดนี้ทำให้พ่อครัวคนนั้นสะอึก พูดอะไรไม่ออกอีก
พ่อครัวคนนั้นขมวดคิ้วมุ่น อยากจะพูดอะไร แต่เม้มปากอยู่นาน ก็พูดไม่ออก
ก่อนหน้านี้สามีของสตรีผู้นี้ก็ช่วยโรงเตี๊ยมพวกเขา เขากัดฟันกรอด “เจ้าทำเถิด”
น้ำเสียงฝืนสุดเต็มกำลัง ถ้าทำพัง เขาก็ได้แต่ทำใหม่อีกจาน
โจวกุ้ยหลานไม่สนใจท่าทีของเขาเลยแม้แต่น้อย หยิบเครื่องหอมที่ห่อมานานแล้ว หยิบเล็กน้อยโยนลงกระทะไป จากนั้นก็ถอยไปหนึ่งก้าว
พ่อครัวคนนั้นเห็นผงบนเนื้อ ก็หงุดหงิดอีก ของเด็กเล่นเยี่ยงนี้จะทำให้อาหารของเขาอร่อยรึ?
เขาไม่เชื่อดอก
แต่อาหารอยู่ในกระทะแล้ว เขาได้แต่ทำต่อไป
เนื้อในกระทะค่อยๆสุก กลิ่นหอมก็โชยออกมา กลิ่นหอมนี้ทำให้มือพ่อครัวคนอื่นชะงัก หันมาดูทางนี้ และพ่อครัวที่กำลังดูผลงานในหม้อก็ตกใจมากเช่นกัน ใบหน้าเขาแสดงถึงความไม่อยากเชื่อ
ตอนนี้ไป๋ยี่เซวียนที่ยืนอยู่ข้างสวีฉางหลินก็ทนไม่ไหวแล้วเหมือนกัน เดินมายืนข้างพ่อครัวคนนั้น จ้องมองดูเนื้อในกระทะเต็มสองตาด้วยความตกใจอย่างยิ่งยวด