นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 69 เป็นข้าที่ดูถูกคนเอง
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 69 เป็นข้าที่ดูถูกคนเอง
แค่กลิ่นหอมนี้ก็เหนือกว่าหมูตุ๋นน้ำแดงของโรงเตี๊ยมเขามากนัก
หมูตุ๋นน้ำแดงนี่เป็นอาหารแนะนะของโรงเตี๊ยมเขา วันนี้กลับได้วิธีทำใหม่มาง่ายดายเยี่ยงนี้?
พอคิดถึงตรงนี้ ประกายแสงในดวงตาเขายิ่งสว่างมากขึ้น
สวีฉางหลินเดินตามเข้ามาเหมือนกัน สายตาจับจ้องไปที่เมียตน
เมียตนทำอาหารเป็น เขาได้เจอกลิ่นหอมชนิดนี้ในทุกมื้ออาหหารที่ได้กิน เขาเลยไม่รู้สึกแปลกใหม่แล้ว เพียงแต่ทุกครั้งที่ได้กลิ่นนี้ เขาก็ต้านทานไม่ไหวเหมือนกัน
พ่อครัวกลุ่มหนึ่งที่ทำอาหารเสร็จแล้วก็พากันหยุดมือ เดินเข้ามาห้อมล้อมกระทะนี้จนไม่มีช่องว่างเลย
พ่อครัวคนนั้นตักหมูตุ๋นน้ำแดงจากในกระทะออกมาวางบนเตา
แค่สีสัน บวกกับกลิ่นหอมก็เหนือกว่าหมูตุ๋นน้ำแดงที่เขาทำก่อนหน้านี้หลายขุมนัก
เขากลืนน้ำลาย หยิบตะเกียบคู่หนึ่งยื่นให้ไป๋ยี่เซวียน “เถ้าแก่ ท่านลองชิมดูหน่อยดีหรือไม่?”
ตอนนี้ไป๋ยี่เซวียนก็ไม่เกรงใจ รับตะเกียบมาคีบหมูตุ๋นน้ำแดงชิ้นหนึ่งเข้าปากตน หมูตุ๋นน้ำแดงนี้มันนุ่มแต่ไม่เลี่ยน พอกินเข้าปากแล้วก็มีกลิ่นหอมกระจายเต็มปาก รสชาติก็มีหลายชั้น พอกินหมดชิ้นหนึ่ง ยังเหลือกลิ่นหอมในปากอยู่เลย
เขาเบิกตากว้าง จับจ้องมองหมูตุ๋นน้ำแดงในจานนั้นเขม็ง ทนไม่ไหวคีบขึ้นมาอีกคำหนึ่ง รสชาตินั้นกระจายไปทั่วปากอีกครั้ง
ต่อให้เขาได้กินทุกโรงเตี๊ยมเล็กใหญ่ทั่วทั้งเขตแล้ว ก็ไม่เคยได้กินหมูตุ๋นน้ำแดงที่หอมขนาดนี้มาก่อน
และพี่สะใภ้คนนี้กลับแค่เพิ่มเครื่องปรุงรสลงไปเล็กน้อยจากพื้นฐานเดิมของพ่อครัวเท่านั้น!
ไป๋ยี่เซวียนยิ่งคิดยิ่งตกใจ จนฝ่ามือยังเหงื่อออกเลย
“พวกเจ้าก็ลองดูสิ” ไป๋ยี่เซวียนเอ่ยปากกับเหล่าพ่อครัวที่รายล้อม
พ่อครัวเหล่านั้นก็พากันคีบเนื้อเข้าปาก จากนั้นก็มีสีหน้าตกตะลึง มองโจวกุ้ยหลานอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
เห็นปฏิกิริยาของทุกคน โจวกุ้ยหลานรู้ว่านี่คือยอมรับนางแล้ว
ดูท่าการค้าในวันนี้จะสามารถคุยต่อได้แล้วล่ะ
สวีฉางหลินที่อยู่ข้างๆก็แอบตกใจ เมียตนใส่แค่เครื่องปรุงรสนิดหน่อยก็เอาชนะพ่อครัวเหล่านี้ได้แล้ว นี่มัน…เก่งกว่าเขาอีก
“เถ้าแก่ นี่มันอร่อยมากกว่าหมูตุ๋นน้ำแดงของข้าเมื่อก่อนอีกนะ!” พ่อครัวคนนั้นอดไม่อยู่รำพึงออกมา
คนอื่นต่างเห็นด้วย และคิดว่านี่เป็นอาหารเลิศรสที่แท้จริง
ไป๋ยี่เซวียนพยายามสะกดความปรีดาในใจตนเอง เดินเข้ามา กำหมัดคารวะโจวกุ้ยหลานและสวีฉางหลินว่า “พี่ฉางหลิน พี่สะใภ้ พวกเราย้ายไปคุยกันที่ห้องโถงดีหรือไม่?”
“ดี” โจวกุ้ยหลานยิ้มรับ จากนั้นก็ลากมือสวีฉางหลินออกไปข้างนอก
“ประเดี๋ยวก่อน!”
มีเสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลัง โจวกุ้ยหลานหันกลับไปมอง ก็เห็นพ่อครัวคนนั้นที่ทำหมูตุ๋นน้ำแดงเดินมาทางนางพลางจับจ้องนางเขม็ง
พอมายืนตรงหน้านาง พ่อครัวคนนั้นสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ แต่สีหน้ากลับสงบนิ่ง กำหมัดคารวะนางพลางโค้งตัวว่า “ก่อนหน้านี้ข้าผิดเอง ข้าดูถูกคน ขอท่านอย่าถือโทษเลย!”
โจวกุ้ยหลานยิ้มมุมปาก “มิเป็นไร ไม่ต้องใส่ใจดอก”
พูดจบ และเอียงหัวหันไปบอกสวีฉางหลินว่า “ท่านพี่ พวกเราออกไปกันเถอะ?”
“ได้”
สวีฉางหลินรับปาก พลางพานางออกไปข้างนอก
พ่อครัวคนนั้นปาดเหงื่อที่หน้าผากตน ในใจยังรู้สึกหวาดหวั่นอยู่เลย
เมื่อครู่เขาล่วงเกินนางขนาดนั้น หากรู้เยี่ยงนี้… หากรู้เยี่ยงนี้เขาต้องขอร้องสตรีผู้นี้ช่วยเขาทำอาหาร และอาศัยจังหวะเรียนรู้สักหน่อยแน่!
“ทั้งสองรอสักครู่ เดี๋ยวข้ามา” ระหว่างพูด ไป๋ยี่เซวียนรีบเดินตามออกไป ทั้งสองคนถูกไป๋ยี่เซวียนพาไปยังห้องที่ใช้รับรองแขก หลังจากนั่งลง ไป๋ยี่เซวียนก็ไม่อ้อมค้อมอีก พูดเปิดอกเลยว่า “ขอถามว่าเครื่องปรุงรสของท่านขายยังไง?”
โจวกุ้ยหลานยิ้มบอก “ข้าไม่ขาย”
คำพูดนี้ออกมา ไป๋ยี่เซวียนสีหน้าเปลี่ยนทันที
ถ้าเป็นเมื่อก่อนไม่รู้ก็แล้วไป แต่พอวันนี้ได้กินรสชาตินี้แล้ว เขามีหรือจะยอมปล่อยมือ?
สวีฉางหลินที่ยืนข้างๆก็สงสัยเช่นกัน เมียตนชอบหาเงินขนาดไหนเขารู้ดี เวลานี้กลับไม่สนใจหาเงิน? หรือ คิดจะหาทางให้ได้เงินมากขึ้น?
“เถ้าแก่ไป๋ไม่ต้องร้อนใจไป ถึงข้าบอกว่าไม่ขาย แต่ข้าก็มาเพื่อร่วมมือกับท่านด้วย” โจวกุ้ยหลานเห็นอย่างนั้น ก็ยิ้มบอก
โรงเตี๊ยมที่นี่มีมากนัก ไป๋ยี่เซวียนต้องอยากร่วมมือมากกว่านางแน่
ไป๋ยี่เซวียนยกถ้วยชาใบนั้นในมือขึ้นมา เม้มปากจิบไปหนึ่งคำ พยายามระงับอารมณ์ในใจตน
อยู่ในวงการการค้ามาหลายปี เขาย่อมรู้ว่าจะควบคุมอารมณ์ตนเองอย่างไร แต่วันนี้เขากลับเสียอาการต่อหน้าสตรีบ้านนอกผู้นี้ครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงเวลานี้เขาย่อมเข้าใจว่า สตรีผู้นี้กำลังใช้วิธีการทางการค้ามารับมือกับเจ้า ยังไงก็ตามในเวลานี้เขาต้องสงบนิ่งเข้าไว้
แค่ชั่วเวลาดื่มชา เขาก็สะกดความร้อนใจของตน เปิดปากถามว่า “มิทราบว่าพี่สะใภ้อยากร่วมมืออย่างไร?”
โจวกุ้ยหลานแอบตกใจ ไป๋ยี่เซวียนนี่เก่งแฮะ ดื่มชาแค่คำเดียวนี้ ก็เปลี่ยนเป็นคาดเดาไม่ได้แล้ว
แต่ถ้าพูดถึงเรื่องคาดเดาไม่ได้ สามีตนร้ายกาจที่สุด
ระหว่างคิด นางแอบเหล่สวีฉางหลินหนึ่งที สวีฉางหลินรู้ตัว หันมามองนางทันที
โจวกุ้ยหลานยิ้มให้เขา ถึงหันไปบอกไป๋ยี่เซวียนว่า “ข้าอยากให้เครื่องปรุงรสนี้เข้าหุ้นโรงเตี๊ยมท่าน เป็นหุ้นส่วนสองส่วนในกำไรของโรงเตี๊ยมท่าน”
“สองส่วน?” ไป๋ยี่เซวียนเก็บอารมณ์ตนต่อไปไม่ไหว เขาอุทานอย่างตกใจ
โรงเตี๊ยมเขานี่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคนแล้ว เป็นกิจการของบ้านเขา นางคิดเยี่ยงนี้รึ?
ก็แค่เครื่องปรุงรสเท่านั้นเอง ต้องการหุ้นส่วนสองส่วน? สตรีบ้านนอกผู้นี้ฝันกลางวันเกินไปหรือไม่?
พอคิดถึงตรงนี้ ท่าทีไป๋ยี่เซวียนก็เย็นชาพลางว่า “เงื่อนไขนี้ข้าไม่อาจรับปากได้ ข้าว่าการร่วมมือก็ยุติลงเท่านี้เถิด
สวีฉางหลินที่อยู่ข้างๆก็หรี่ตามองสำรวจเมียตนอย่างละเอียด
นางไม่รู้ราคาของโรงเตี๊ยมนี้หรือว่าจงใจทำเช่นนี้ ตั้งใจหาผลประโยชน์ที่มากที่สุดให้ตนเอง?
แต่นี่เป็นการค้าของเมียตน จะคุยตกลงได้หรือไม่ เขาไม่สนใจ
ปฏิกิริยาของไป๋ยี่เซวียนเป็นไปตามที่โจวกุ้ยหลานคาดการณ์ไว้ นางก็ไม่รีรอ ลุกพรวดขึ้น สีหน้ายิ้มนิ่งไม่เปลี่ยนแปลงพลางว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นไม่รบกวนเถ้าแก่ไป๋แล้วล่ะ”
พูดจบ ก็ดึงชายเสื้อสวีฉางหลิน พูดเสียงเรียบว่า “ท่านพี่ พวกเราไปกันเถอะ” สวีฉางหลินลุกขึ้นตาม กุมมือเมียตนอีกครั้ง ถึงจะมีไต แต่อ่อนนุ่มนัก เพียงแต่ผอมไปหน่อย
ในใจคิดอย่างนี้ แต่ขาก้าวเดินตามโจวกุ้ยหลานออกไปข้างนอก
ไป๋ยี่เซวียนหายใจแรงตามอารมณ์ เขามองดูท่าทางสบายๆของสองสามีภรรยาแล้ว ก็ตกใจ
หรือว่า…พวกเขาจะไปโรงเตี๊ยมไป่เว่ยที่อยู่ข้างๆ?
“ประเดี๋ยวก่อน!”
โจวกุ้ยหลานหยุดฝีเท้าลง หันมามองไป๋ยี่เซวียนพลางว่า “เถ้าแก่ไป๋มีอะไรอีกรึ?”
สวีฉางหลินก็หันตามกลับมา ราศีของร่างกายเริ่มแผ่ซ่านออกมาข้างนอก กดดันไป๋ยี่เซวียนลงไป แค่ยืนอยู่แบบนี้ ไป๋ยี่เซวียนก็รู้สึกได้ถึงราศีของเขา และพอคิดถึงภาพที่เขาจัดการพวกนักเลงนั่นก่อนหน้านี้ เขารู้ดีว่าโรงเตี๊ยมของตนไม่อาจรั้งสองสามีภรรยาคู่นี้ได้