นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 72 สองแม่ลูกทะเลาะกัน
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 72 สองแม่ลูกทะเลาะกัน
“เจ้าแต่งออกไปแล้วไม่ใช่ลูกสาวข้าแล้วหรือไง? ดูความงกของเจ้าสิ! ฉลาดเกินไปแล้วนะ! ถ้าเก่งขนาดนั้น ทำไมไม่ช่วยพี่ชายเจ้าล่ะ?” เหล่าไท่ไท่เบิกตากว้าง น้ำเสียงต่อว่าต่อขาน
โจวกุ้ยหลานไม่สนใจ ย้อนว่า “แม่บอกข้าได้ไหมว่า ท่านเหลือสมบัติให้พี่ชายมากแค่ไหนกัน?”
“ไปเลยไป อย่ามาหลอกถามเสียให้ยาก!” เหล่าไท่ไท่หันหน้าหนี เย็บพื้นรองเท้าให้ลูกชายตนต่อไป
โจวกุ้ยหลานยักไหล่ เหล่าไท่ไท่ฉลาดจะตาย ยังมาว่านางอีก
“แม่ ท่านก็อย่าเอาแต่ฟังความข้างเดียวจากอาสะใภ้ชุ่ยฮวา อีกฝ่ายเป็นยังไงเราก็ต้องไปดูด้วยนะ” โจวกุ้ยหลานเตือนออกมา
“ยังต้องให้เจ้าบอกรึ? ข้ากะว่าอีกหลายวันจะให้พี่ชายเจ้าไปบ้านฝ่ายหญิงดูสักหน่อย พอดีผ้าที่เจ้าส่งมาให้ก็เอาไปตัดชุดใหม่ให้พี่ชายเจ้า นี่ก็ทำรองเท้าให้พี่เจ้าอยู่มิใช่หรือไง?” เหล่าไท่ไท่พูดเรื่องนี้ น้ำเสียงรัวเร็ว
เรื่องการแต่งงานของลูกชายเป็นแผลในใจอย่างหนึ่งของนาง บัดนี้ถือว่าเริ่มมีเค้าโครงแล้ว จิตใจนางก็ผ่อนคลายลง
ลูกชายนี่คือที่สุดจริงๆ ทำไมสวีฉางหลินไม่มีแม่ที่เอาแต่ทำเพื่อเขาอย่างนี้นะ แบบนี้จะได้ช่วยทำเสื้อผ้าให้เขา
“แม่ นี่ก็ใกล้เข้าฤดูหนาวแล้ว ท่านทำรองเท้าผ้าฝ้ายให้บ้านข้าสักหลายคู่สิ?” โจวกุ้ยหลานคิด พลางพูดขึ้นมาเป็นเชิงปรึกษาเหล่าไท่ไท่
เหล่าไท่ไท่ถลึงตาใส่ “ตอนนี้ทำไมไม่บอกว่าเจ้าเป็นลูกสาวที่แต่งออกไปแล้ว เป็นน้ำที่สาดออกไปแล้วล่ะ?”
โจวกุ้ยหลานเบ้ปาก “ท่านไม่สอนข้าเองมิใช่รึ? และไม่หาคนที่มีแม่ผัวให้ข้าด้วย”
เจ้าก้อนน้อยที่อยู่ข้างๆได้ยินโจวกุ้ยหลานจะหาผู้ชายที่มีแม่ผัว รีบจับชายเสื้อโจวกุ้ยหลานหมับด้วยสองมือ จ้องมองนางเขม็ง ราวกับกลับว่านางจะไปจากพวกเขา
โจวกุ้ยหลานกระอักกระอ่วน มัวแต่เถียงกับเหล่าไท่ไท่ ลืมคิดไปเลยว่าเจ้าก้อนน้อยอยู่ข้างๆ
พอเห็นเจ้าก้อนน้อยเริ่มไม่สบายใจมากขึ้นเรื่อยๆ นางรีบปลอบอย่างรวดเร็ว “แม่พูดเล่นดอก เสี่ยวเทียนไม่ต้องกลัวไปนะ”
เจ้าก้อนน้อยถึงผ่อนคลายลง เพียงแต่มือคู่น้อยยังกำเสื้อผ้าโจวกุ้ยหลานแน่นไม่ยอมปล่อย
โจวกุ้ยหลานเหนื่อยใจ เจ้าก้อนน้อยขาดความอบอุ่นปลอดภัยเกินไปแล้ว ต่อไปต้องระวัง ระวังให้ดีหน่อย
เหล่าไท่ไท่ที่อยู่ข้างๆเหล่ลูกสาวคนเล็กตนเอง แอบบ่นพึมพำในใจ นังหนูนี่ดีกับลูกเลี้ยงตนเองเสียยิ่งกว่าแม่แท้ๆอย่างนางอีก!
“เจ้าเอาผ้ามามากหน่อย ถึงเวลานั้นทำรองเท้าเสร็จแล้ว จะได้ทำคู่หนึ่งให้ว่าที่พี่สะใภ้เจ้าด้วย” โจวกุ้ยหลานเกือบมองบน “นี่ยังไม่เจอหน้าเลยนะ แม่ก็รีบทำรองเท้าให้นางแล้ว ไม่คิดบ้างว่า ลูกสาวแม่มีรองเท้าใส่ไหม!”
สำหรับเหล่าไท่ไท่ นางชอบจริงๆจากใจ บวกกับความทรงจำและความรักของเจ้าของร่างเดิม นางก็เห็นเหล่าไท่ไท่เป็นแม่แท้ๆของนางเอง รู้สึกน้อยใจขึ้นมา ก็พูดออกมาเลยอย่างไม่ปิดบัง
เหล่าไท่ไท่นั่นก็ไม่ใช่ย่อย ย้อนทันทีว่า “งั้นเจ้าทำเสื้อผ้าทำรองเท้าให้เจ้าเด็กนี่ ทำไมไม่คิดทำให้แม่เจ้าบ้างล่ะ?”
“ข้าก็ให้ผ้ากับท่านแล้วนี่? ใครให้ท่านเก็บไว้ไม่ใช้ล่ะ?” โจวกุ้ยหลานตอบอย่างหน้าตาเฉย เวลานี้ต้องเถียงให้รู้แพ้รู้ชนะไปเลย
“ไอ้โหย เจ้าเด็กเนรคุณนี่ ผ้าแค่นั้นข้าใช้แล้วพี่ชายเจ้าใช้อะไรล่ะ? ทำไมเจ้าไม่ให้ผ้าเพิ่มอีกทับล่ะ?” เหล่าไท่ไท่ก็ไม่ยอมถอยเลย
พอเห็นทั้งคู่ทำท่าจะทะเลาะกันขึ้นมา เจ้าก้อนน้อยที่อยู่ข้างๆตกใจจนรีบปล่อยเสื้อโจวกุ้ยหลาน ปีนลงจากตั่งทั้งมือและเท้า วิ่งน้อยๆด้วยขาสั้นเล็กของตนไปหาพ่อที่อยู่ข้างนอก
โจวกุ้ยหลานเบ้ปาก “ข้าก็จนอยู่นี่ ท่านน่ะคิดถึงแต่พี่ชาย”
“ข้ามีพี่ชายเจ้าเป็นลูกชายคนเดียว ต่อไปก็ต้องให้เขาเลี้ยงตอนแก่ ไม่คิดถึงพี่ชายเจ้าคิดถึงเจ้ารึ รอข้าขยับไม่ได้แล้วเจ้าเลี้ยงข้าหรือไง?” เหล่าไท่ไท่ฉลาดจะตาย เรื่องพวกนี้มีหรือจะแยกแยะไม่ออก?
โจวกุ้ยหลานนับถือเหล่าไท่ไท่จริงๆ ทำไมนางพูดได้ตรงขนาดนี้เนี่ย?
แต่คนในยุคนี้ก็คิดอย่างนี้ทั้งนั้น เลี้ยงลูกชายไว้เลี้ยงยามแก่ ลูกสาวเป็นแค่ตัวสิ้นเปลืองเงินทอง จะหาคนที่รักใคร่ลูกสาวเหมือนเหล่าไท่ไท่นี่มีไม่มากจริงๆ
นางก็ไม่อยากเถียงกับเหล่าไท่ไท่ด้วยเรื่องรักแต่ลูกชายไม่สนใจลูกสาวแล้ว “อีกหลายวันข้าจะไปเมืองซื้อผ้าและดอกฝ้ายมา ท่านก็ช่วยทำรองเท้าให้ข้าเสียหลายคู่ ทำให้ตัวเองด้วยคู่หนึ่ง แล้วค่อยทำให้พี่ชายกับว่าที่พี่สะใภ้”
พอได้ยินลูกสาวคนเล็กพูดแบบนี้ เหล่าไท่ไท่ก็พอใจละ
“แบบนี้ถึงจะถูก!”
โจวกุ้ยหลานครั้งนี้ทนไม่ไหว มองบนไปเลย แต่เหล่าไท่ไท่กำลังจ้องพื้นรองเท้า เลยมองไม่เห็น
“ไม่มีอะไรข้ากลับก่อนนะ” โจวกุ้ยหลานพูด พลางจะลงจากตั่ง
แต่วินาทีต่อมา แขนนางก็โดนเหล่าไท่ไท่คว้าไว้
โจวกุ้ยหลานหันไป ก็เห็นเหล่าไท่ไท่จ้องนางเขม็งพลางบอกว่า “ยังมีเรื่องไม่ได้ถามเจ้าเลย!”
“เรื่องอะไร?”
“เจ้าด่าชิวเซียงรึ?”
“ข้ากินอิ่มไม่มีอะไรทำไปด่านางทำไม?” โจวกุ้ยหลานคิดถึงชิวเซียง ก็อดไม่อยู่เบ้ปากออกมา
เหล่าไท่ไท่ขมวดคิ้วมุ่น บอกนางว่า “ลุงใหญ่และป้าใหญ่ของเจ้ามีลูกสาวคนเดียวและยังเป็นคนสุดท้องอีก เลี้ยงตามใจมาแต่เด็ก เจ้าอย่าไปยุ่งกับนาง”
พอได้ยินคำนี้ โจวกุ้ยหลานก็เข้าใจขึ้นมา พลางขมวดคิ้วถามนางว่า “นางฟ้องเรื่องข้าใช่ไหม?”
พอคิดถึงเรื่องเมื่อเช้า โจวกุ้ยหลานไม่ได้พูดจาดีๆกับนางเลยจริงๆ
โจวกุ้ยหลานยอมใจจริงๆ “แม่ นางมาให้ข้าด่าถึงที่เองนะ อีกอย่าง ข้าไม่ได้ด่านาง ในเมื่อจะแต่งงานแล้วก็ควรอยู่บ้านเตรียมตัว เอาแต่วิ่งขึ้นเขาไปบ้านข้าทำไมกัน? ข้าไม่ได้สนิทสนมอะไรกับนางเสียหน่อย”
สรุปแล้วคือ โจวชิวเซียงชอบพอสวีฉางหลิน แถมยังเข้าหาเร็วมาก
แต่นางไม่มีสมองคิดดูเลยว่า จะยังไงสวีฉางหลินก็เป็นพี่เขยนาง ต่อให้ไม่เห็นนางในสายตา คนบ้านนางจะยอมรับนางกับสวีฉางหลินรึ?
เรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างสิ้นเชิง ก็ไม่รู้ว่าในสมองนางมีอะไรอยู่ ยังหาเรื่องอีก
เหล่าไท่ไท่เองก็รำคาญเรื่องนี้ ลูกสาวของนางเองนางมีหรือจะไม่รู้จัก? ไหนเลยจะเป็นคนไม่มีเหตุผลอย่างนั้น?
“เจ้าระวังตัวเองแล้วกัน อย่าไปหาเรื่องนาง ช่วงนี้ในหมู่บ้านมักมีคนไม่น้อยนินทาเรื่องเจ้ากับสวีฉางหลิน เจ้าไปทำให้ใครไม่พอใจหรือไม่”
เหล่าไท่ไท่คิดถึงข่าวลือในช่วงนี้ ในใจอดเป็นห่วงลูกสาวคนเล็กไม่ได้
โจวกุ้ยหลานตบมือเหล่าไท่ไท่เบาๆ “แม่วางใจเถอะ สนใจอะไรข่าวลือ ขอแค่ข้ากับสวีฉางหลินมีความสุขอยู่กันด้วยดีก็พอแล้ว”
สวีฉางหลินที่อยู่ด้านนอกวิ่งเข้ามา เห็นสองแม่ลูกกุมมือปลอบโยนกัน ไหนเลยจะมีท่าทีทะเลาะกัน?