นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 74 ซ่อนเงิน
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 74 ซ่อนเงิน
เจ้าก้อนน้อยไม่เข้าใจว่าพวกเขาคุยอะไรกัน เพียงแต่เห็นพ่อแม่ตนเองดีใจขนาดนี้ ก็ปรบมือเล็กๆของตน ยิ้มหัวเราะอย่างมีความสุขไปด้วย
สวีฉางหลินยิ้มกว้าง “งั้นเจ้าเก็บเงินให้ดีๆล่ะ ถ้าโดนคนขโมยไปเจ้าต้องร้องไห้แน่”
“ถ้ามีคนกล้าขโมย ข้าจะให้เขาอยู่ในคุกจนหนำใจเลย!” โจวกุ้ยหลานเบิกตากว้างทั้งสองข้าง พูดอย่างมาดร้าย
พอเห็นท่าทางลุ่มหลงในเงินทองของนางแล้ว สวีฉางหลินดีใจจริงๆ ยิ่งยิ้มกว้างขึ้น
โจวกุ้ยหลานก้มหัวจ้องเงินพวกนั้นเขม็ง “พวกเจ้าดูไว้ให้ดีเถอะ อีกเดี๋ยวข้าจะซ่อนแล้ว ต่อไปพวกเจ้าไม่มีโอกาสได้เห็นแล้ว”
ระหว่างพูด นางก็ยกมือไปจับก้อนเงินพวกนั้น
ไอ้หยา สัมผัสนี้มันดีจริงๆเลย
สวีฉางหลินรับคำ ยื่นมือออกไปหยิบมาดูอันหนึ่ง ในใจก็คิดว่าตนนั้นแต่งงานได้เมียล้ำค่ากลับมาจริงๆ
ทั้งฉลาดและเก่ง ทำอาหารรักลูก และยังหาเงินได้เก่งขนาดนี้ เขากำไรแล้ว
โจวกุ้ยหลานเองก็ดีใจมาก หยิบก้อนเงินก้อนหนึ่งยัดใส่มือเจ้าก้อนน้อย ให้เจ้าก้อนน้อยถือดูเอง
พอปล่อยมือ เจ้าก้อนน้อยก็ถือไม่อยู่ มือโดนก้อนเงินนั่นกระแทกไปโดนตั่งนั่น เจ้าก้อนน้อยยังไม่รู้ตัว และกะพริบตาปริบๆมองดูเงินในมือ
โจวกุ้ยหลานตกใจ รีบเอาก้อนเงินอันใหญ่นั่นมาวางไว้บนตั่ง และจับมือเจ้าก้อนน้อยมาพลิกซ้ายดูขวา ไม่เห็นบาดแผลอะไร แต่ยังไม่วางใจ เลยถามเจ้าก้อนน้อยว่า “เจ็บไหม?”
เจ้าก้อนน้อยส่ายหัวบอก “ไม่เจ็บ”
โจวกุ้ยหลานรู้ดังนั้นก็ถอนหายใจโล่งอก แต่วินาทีต่อมาก็ทนไม่ไหวหัวเราะขำออกมา “แม่แค่อยากให้เจ้าลองจับเงินดู ใครจะรู้ว่าเจ้าถือไม่ไหวหืม?”
“เขายังเล็ก” สวีฉางหลินที่อยู่ข้างๆแทรกขึ้นมา
โจวกุ้ยหลานคิดๆก็จริงนะ อีกอย่าง ลูกชายนางคนนี้น่ากลัวจะยังไม่รู้จักว่าอะไรคือเงิน ให้เขาจับ เขาก็ไม่ดีใจอย่างนางหรอก
“เสี่ยวเทียนเอ้ย เงินนี้เป็นความลับของบ้านเรานะ นอกจากพวกเราสามคนแล้ว ห้ามบอกคนอื่นอีก รู้ไหม?” โจวกุ้ยหลานกำชับเจ้าก้อนน้อย
ถ้าโดนคนอื่นรู้ว่าบ้านนางมีเงินมากมายขนาดนี้ โจรต้องแวะเวียนมาบ้านนางทุกวันแน่ ไม่กลัวโจรปล้น แต่กลัวโจรคิดถึงน่ะสิ!
ถึงเจ้าก้อนน้อยจะยังเด็ก แต่ก็ไม่ได้โง่ เลยพยักหน้ารับคำว่า “ห้ามพูดกับคนอื่น!”
โจวกุ้ยหลานดีใจ จากนั้นจึงได้หยิบก้อนเงินทีละก้อนเก็บลงถุงเงิน สวีฉางหลินยื่นเงินในมือตนเองไปให้ โจวกุ้ยหลานรับมาใส่ถุงเงิน
นี่เงินเต็มถุงใหญ่เลยนะ จะซ่อนที่ไหนดีล่ะ?
โจวกุ้ยหลานกอดถุงเงินใหญ่เดินไปเดินมาในห้องสามสี่รอบ รู้สึกว่าที่ไหนก็ไม่ปลอดภัย
ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครมาบ้านพวกเขาเท่าไหร่ แต่ถ้าเกิดถูกคนพบเข้าล่ะ?
หลังจากเดินวนในห้องก็ยังไม่เจอที่ให้ซ่อน สุดท้ายนางจ้องเขม็งไปที่พื้นบ้าน
“สวีฉางหลิน พวกเราฝังเงินไว้ในดินเถอะ!” โจวกุ้ยหลานบ่นพึมพำ
ไม่ว่าที่ไหน ฝังไว้ปลอดภัยที่สุด
สำหรับความคิดนี้ของเมียตน เขาเห็นด้วย
เขารีบก้าวเท้าเร็วไปหยิบจอบ และเริ่มขุดดินในห้อง ส่วนโจวกุ่ยหลานกอดถุงเงิน ดึงเจ้าก้อนน้อยไปยืนข้างๆ
สวีฉางหลินเร็วมาก ไม่นานก็ขุดได้หลุมใหญ่
โจวกุ้ยหลานมองดูแล้วบอกเขาว่า “ขุดลึกอีกหน่อย”
ถ้าตื้นเกินไป คนอื่นมาขุดนิดหน่อยก็เจอจะทำยังไง?
สวีฉางหลินใช้จอบของตนขุดลึกลงไปอีก ไม่นานหลุมนั้นก็ลึกราวครึ่งเมตรได้
อืม พอได้ละ
ถ้าคนไม่รู้ คงไม่ถึงกับมาขุดหลุมลึกครึ่งเมตรที่บ้านนางหรอกมั้ง?
โจวกุ้ยหลานวางถุงเงินลงไป สวีฉางหลินปาดดินกลบไป ไม่นานก็กลบเต็ม ยังมีดินเหลืออยู่นิดหน่อย เขาเลยเอามาเกลี่ยพื้นดินในห้องให้เรียบ
ก่อนหน้านี้ดินที่เหยียบแน่นบนพื้นในห้องนี้ ตอนนี้ดินอ่อนหมดแล้ว และไม่สะดวกด้วย
ทั้งครอบครัวเดินไปเดินมาในห้อง เพราะอยากให้ดินแน่นขึ้น
โจวกุ้ยหลานเดินไปเดินมา และพบว่าพื้นที่สวีฉางหลินเดินย่ำนั้นแน่นหมดแล้ว ขนาดใช้เท้าเตะยังเตะเอาดินออกมาไม่ได้ เหมือนถนนที่คนอื่นเดินไปมาสิบกว่าปีแล้ว พลางหันมามองตรงที่นางกับเจ้าก้อนน้อยเหยียบ ดินยังร่วนอยู่เลย
สุดท้ายนางไม่ดิ้นรนละ ยกหน้าที่อันยิ่งใหญ่ในการเหยียบย่ำดินให้สวีฉางหลิน นางพาเจ้าก้อนน้อยออกไปทำกับข้าวที่ห้องครัว
เอาแต่กินเนื้อมาตลอด นางก็เลี่ยนมากแล้ว วันนี้กินผักละกัน
เดินมาเด็ดผักกาดขาวต้นหนึ่งที่แปลงผัก และหอมซอยกับกุ้ยช่ายจีนกลับมา ผัดผักกาดขาว ทำเป็นเกี๊ยวกุ้ยช่ายจีน จากนั้นใช้แป้งทำเป็นน้ำแกงก้อนแป้ง ใส่ผักกาดขาวลงไปต้มด้วยกัน
ตอนใกล้จะต้มเสร็จแล้ว ก็ได้ยินคนเรียกจากข้างนอกว่า “กุ้ยหลานเอ้ย เจ้าทำอะไรกินน่ะ แค่เข้ามาก็หอมมากเลย”
เสียงนี้ไม่ต้องดูก็รู้ว่าใคร
ไม่รอนางตอบคำ เด็กสามคนก็พุ่งเข้ามา ห้อมล้อมเตาไว้
พอเห็นก้อนแป้งที่ต้มในหม้อ ก็น้ำลายสอกันถ้วนหน้า
ยังมีเกี๊ยวกุ้ยช่ายจีนบนเตาอีก กลิ่นหอมนั้นโชยมาเข้าจมูกพวกเขา เด็กสามคนลงมือพร้อมกัน คนหนึ่งหยิบได้เกี๊ยวกุ้ยช่ายจีนก็สวาปามยัดเข้าปากกร้วมๆ มือสกปรกนั่นคว้าจับจนเกี๊ยวกุ้ยช่ายจีนอ่อนแบน
พอเห็นฉากนี้ โจวกุ้ยหลานไม่มีอะไรจะพูดเลยทีเดียว
ไม่รอนางทำอะไร หวังอวี้ชุนก็เดินเข้ามา เห็นเกี๊ยวกุ้ยช่ายจีนในมือลูกชายตน ก็สายตาเป็นประกาย รีบเดินเข้าไป คว้าเกี๊ยวกุ้ยช่ายจีนมาได้ก็สวาปามกินเหมือนกัน
หอมมากเกินไปแล้ว!
นี่ทำจากแป้ง และยังมีไข่ด้วย!
เหลือเชื่อจริงๆ นางไม่ได้กินไข่มาครึ่งปีแล้ว
ถ้าเป็นเด็กสามคนนี้ โจวกุ้ยหลานยังพอเข้าใจได้ว่าพวกเขายังเล็ก แต่หวังอวี้ชุนนี่นางพูดอะไรไม่ออกจริงๆ
“พี่สะใภ้อวี้ชุนมามีธุระอะไรรึ?”
หวังอวี้ชุนกินเกี๊ยวกุ้ยช่ายจีนในปากคำโต สายตาจับจ้องไปที่น้ำแกงก้อนแป้งในหม้อเขม็ง ปากยิ่งกัดกินเร็วขึ้นอีก
“สวรรค์ บ้านเจ้ากินดีเพียงนี้! นี่แป้งขาวเลยนะ! รีบตักให้ข้าชามหนึ่งเลย!” หวังอวี้ชุนออกคำสั่ง จากนั้นก็คว้าเกี๊ยวกุ้ยช่ายจีนในมือสวาปามเข้าปากทั้งสองมือ และหยิบชามจากบนเตา ทำท่าจะเดินมารับตะหลิวในมือโจวกุ้ยหลาน
โจวกุ้ยหลานตาแทบถลน เบี่ยงมือหนีหวังอวี้ชุน
นี่คือจะมาแย่งหน้าด้านๆเลย!
“พี่สะใภ้อวี้ชุนมาที่นี่มีธุระอะไร?” โจวกุ้ยหลานถามเสียงเข้มอย่างกัดเขี้ยวเคี้ยวฟัน
คราวนี้หวังอวี้ชุนนั่นยิ้มหวานใส่พลางว่า “ไม่มีอะไรมาเยี่ยมเยียนเจ้ามิได้รึ? ไอ้โหย น้องกุ้ยหลานเอ้ย เจ้าทำไมไม่ไปบ้านเราบ้างล่ะ? มีอะไรโกรธเคืองพวกเรานักหนา?”
มาเยี่ยมนาง?
นางไม่รู้ว่าตัวเองรักใคร่สนิทสนมกับพี่สะใภ้อวี้ชุนคนนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
โจวกุ้ยหลานเหลือบตามอง “ข้ากำลังยุ่งนะ ถ้าพี่สะใภ้ไม่มีอะไร ก็ช่วยข้าพาหลานๆไปล้างตัวไป หน้าดำมะเมี่ยมเยี่ยงนี้ มือสกปรกจับของกินเข้าปากจะไม่สบายเอาได้”
หวังอวี้ชุนกลับไม่สนใจ “กินไม่สะอาดก็ไม่เป็นไรหรอก เจ้านี่ยุ่งยากไม่เข้าเรื่อง!”