นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 82 ข้าควรทำอย่างไร?
นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 82 ข้าควรทำอย่างไร?
ได้ยินว่าแม่จะทำกับข้าว เจ้าก้อนน้อยก็ดีใจอย่างมากรีบพยักหัวทันที
เมื่อได้รับคำตอบแล้ว โจวกุ้ยหลานก็อุ้มเจ้าก้อนน้อยขึ้นมาแล้วก็เดินออกไป
สวีฉางหลินตื่นเต้นอย่างมาก คืนนี้ก็จะได้เข้าห้องหอที่รอคอยมาตั้งเนิ่นนานแล้ว แล้วก็คิดถึงเจ้าก้อนน้อยที่คอยขัดขวางอย่างต่างๆนาๆ ตั้งแต่เขาแต่งงานจนถึงตอนนี้ ลูกชายของเขาคอยขัดขวางเขาแล้วกี่ครั้งแล้ว?
เมื่อคิดเช่นนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะกัดฟัน ไม่ได้ คืนนี้จะต้องคิดหาวิธีกล่อมลูกคนนี้นอนก่อน ไม่อย่างนั้นก็จะมาคอยขัดขวางเขาอีก
ทางนี้กำลังครุ่นคิดถึงเรื่องในคืนนี้ มือที่หั่นหัวไชเท้าอยู่ก็รวดเร็วยิ่งขึ้นหลายเท่า
ทั้งบ้านทานข้าวเสร็จแล้ว ช่วงบ่ายสวีฉางหลินหั่นหัวไชเท้าต่อ ส่วนโจวกุ้ยหลานเอาหัวไชเท้าพวกนั้นออกไปตาก แล้วตนเองกับเจ้าก้อนน้อยก็ไปฉีกใบผักด้วยกัน เอาผสมกับอาหารไก่ที่ทำไว้ก่อนหน้านี้แล้วก็เอาให้ไก่กับนกกระทากิน แล้วก็เอาไปให้แพะกินด้วย
พลบค่ำ หลังจากทานข้าวค่ำเสร็จแล้ว ภายใต้การร้องขอของสวีฉางหลิน โจวกุ้ยหลานพาเจ้าก้อนน้อยไปนอนที่ห้องของเขา ย้ายไข่ไก่ที่ฟักไปไว้ตรงมุมสุด กลัวว่าเจ้าก้อนน้อยจะนอนกลิ้งไปเตะถูกในตอนกลางคืน
ไปนอนเป็นเพื่อนเขา รอเมื่อฟ้ามืด ทั้งสองแม่ลูกก็นอนหลับไปแล้ว
สวีฉางหลินเข้ามาในห้องทางเหนือ ผลักเจ้าก้อนน้อยออกห่าง อุ้มโจวกุ้ยหลานกลับไปที่ห้องของตนเอง
ค่อยๆวางไว้บนเตียง อาศัยแสงไฟจากตะเกียงน้ำมัน มองเห็นใบหน้าของภรรยาที่ยิ่งอยู่ก็ยิ่งงดงาม
ก่อนหน้านี้ไม่ได้มองสังเกตดูดีๆ เพิ่งเห็นตอนนี้ว่าภรรยาของตนเองขาวกว่าตอนที่เห็นครั้งแรกเมื่อสองเดือนก่อน ผิวก็ละเอียดขึ้นไม่น้อย ยังมีหน้าอก…..
ครุ่นคิดพร้อมกับสายตามองต่ำลงไป จ้องมองดูตรงเนินสูงส่วนหนึ่งอย่าเงียบๆ อืม ใหญ่ขึ้นไม่น้อย
เลื่อนสายตาไปมองบนใบหน้าโจวกุ้ยหลานอีกครั้ง เขาก้มลงจูบตรงริมฝีปากของนาง
ยังคงอ่อนโยน อบอุ่น และแฝงไปด้วยความหวานเยิ้ม
โจวกุ้ยหลานนอนหลับอยู่ยังสะลึมสะลือ ในฝันเหมือนมีหมูตัวหนึ่งกำลังแทะริมฝีปากของนาง นางยกมือขึ้นมาอย่างโมโห แล้วก็ฟาดตบลงไปบนใบหน้าหมูจนเสียงดังปัง ซึ่งเสียงนั้นเหมือนดังอยู่ข้างหู นางลืมตาขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ แล้วก็มองเห็นใบหน้าของสวีฉางหลิน
“เจ้ากำลังทำอะไร“
โจวกุ้ยหลานที่เพิ่งตื่นขึ้นมาร้องพูดขึ้น
สวีฉางหลินรีบปิดปากของนาง บอกให้นางเงียบ พร้อมพูดขึ้นด้วยเสียงเบาว่า “เสียงเบาหน่อย เดี๋ยวเสี่ยวเทียนตื่น”
เมื่อเขาพูดเตือน โจวกุ้ยหลานค่อยคิดขึ้นมาได้ว่า พวกเขาจะแอบเจ้าก้อนน้อยเข้าห้องหอกัน….
ไอหยา ทั้งๆที่กล่อมเจ้าก้อนน้อยนอน ทำไมนางถึงก็นอนไปด้วยแล้ว?
แต่ว่าเมื่อกี้ เหมือนนางจะฝันเห็นว่าตนเองตบหน้าหมู……
เมื่อคิดดูแล้ว มือขวาของตนเองดูเหมือนจะยังร้อนผ่าวอยู่
นี่…..
เมื่อกี้นางตบสวีฉางหลินหรือเปล่า…..
โจวกุ้ยหลานลองถามขึ้นมาว่า “เมื่อกี้…..ข้าตบเจ้าหรือเปล่า?”
ได้ยินแบบนี้ สวีฉางหลินมองดูนางด้วยสายตาแวววาว พร้อมพยักหัวพูดขึ้นว่า “อืม”
จริงๆด้วย
โจวกุ้ยหลานพูดขึ้นมาอย่างรู้สึกผิดว่า “คือ ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้า…..”
นางยังพูดไม่เสร็จ สวีฉางหลินก็พูดดักขึ้นมาว่า “อันนั้นไม่สำคัญ”
พูดเสร็จ แล้วเขาก็นอนทับลงไปอีกครั้ง
เมื่อทั้งสองคนสัมผัสกัน กำลังจะไปในขั้นตอนต่อไป ด้านนอกก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
เสียงอันเร่งรีบนั้น ทำลายบรรยากาศของทั้งสองคน
ทั้งสองคนหายใจหอบ โจวกุ้ยหลานรู้สึกเหมือนเมื่อตนเองเป็นเหมือนอย่างปลาที่ห่างน้ำ แทบจะขาดอากาศหายใจตาย
“ไม่ต้องสนใจ เราไปกันต่อ”
สวีฉางหลินพูดพร้อมกับนอนทับลงไปอีกครั้ง
นี่เป็นเวลาเข้าห้องหอที่เขารอมาแล้วกว่าสองเดือน เขาจะปล่อยให้ใครก็ไม่รู้ที่มาเคาะประตูขัดจังหวะไม่ได้
โจวกุ้ยหลานรีบยกมือดันเขาไว้ พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าไปดูก่อน รีบร้อนขนาดนี้ คงมีเรื่องร้อนใจ”
พวกเขาไม่มีญาติพี่น้องอะไรในหมู่บ้าน มีแต่คนบ้านแม่ของนาง ขึ้นเขามาค่ำขนาดนี้ คงเพราะมีใจร้อนใจ
สวีฉางหลินก็คิดได้เช่นนี้เหมือนกัน จึงจำต้องลุกขึ้นมาแต่งตัวให้เรียบร้อย สวมใส่รองเท้าแตะแล้วก็ไปเปิดประตู
เมื่อเปิดประตู คนที่เห็นกลับเป็นโจวชิวเซียง
เมื่อเห็นเขาออกมา โจวชิวเซียงก็กระโจนเข้าไปกอดซบอกสวีฉางหลิน
“พี่ชางหลิน ในที่สุดข้าก็มาหาเจ้าแล้ว”
สวีฉางหลินตกตะลึง ถอยหลังไปด้วยสัญชาตญาณ เห็นว่าภรรยาของตนเองยังไม่ออกมา ค่อยแอบโล่งอก แล้วพูดกับผู้หญิงที่โอบกอดเขาไว้ว่า “ปล่อยมือ”
กว่าโจวชิวเซียงจะมาถึงที่นี่ได้ ซึ่งไม่สามารถที่จะควบคุมอารมณ์ได้แล้ว ยังจะยอมฟังคำพูดของเขาเสียที่ไหน
“พี่ฉางหลิน ข้าควรทำอย่างไรดี ข้าควรทำอย่างไรดี……”
โจวกุ้ยหลานที่อยู่ในห้องหูผึ่งขึ้นมา ได้ยินเสียงร้องไห้ของโจวชิวเซียง
นางเม้นริมฝีปาก แต่งตัวให้เรียบร้อย ลงมาจากเตียง สวมรองเท้าแล้วก็เดินไปที่หน้าประตู แล้วก็มองเห็นชายหญิงกอดกันอยู่ตรงหน้าประตูใหญ่
พูดอย่างถูกต้องก็คือ โจวชิวเซียงกอดเอวของสวีฉางหลินไว้ สวีฉางหลินยกมือสองข้าง เห็นได้ชัดว่าเขาบริสุทธิ์ใจ น้ำเสียงก็พูดขึ้นอย่างร้อนใจว่า “รีบปล่อยมือ”
โย้ นี่มายั่วยวนสามีของนางต่อหน้าต่อตาเลยหรือ?
โจวชิวเซียงคนนี้ทำไมหน้าด้านขนาดนี้? ค่ำขนาดนี้แล้วก็ไม่กลัวสัตว์ร้ายบนเขา ขึ้นเขามาแบบนี้เลยหรือ?
“พวกเจ้าจะกอดกันไปถึงเมื่อไหร่?”โจวกุ้ยหลานเอนพิงขอบประตู พร้อมพูดขึ้นอย่างขำขัน
แผ่นหลังสวีฉางหลินแข็งทื่อ แย่แล้ว ภรรยามาเห็นแล้ว…..
ทันใดนั้นก็ไม่กลัวถูกเนื้อต้องตัวโจวชิวเซียงแล้ว วางมือทั้งคู่ไว้บนแขนของนาง ออกแรงดัน ผลักตัวนางออกไปจากร่างกายตน จากนั้นก็รีบปล่อยมือ
โจวชิวเซียงที่ถูกผลัก สีหน้าเต็มไปด้วยความเสียใจ มองดูโจวกุ้ยหลาน แล้วก็มองดูสวีฉางหลิน พร้อมพูดขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อว่า “เจ้ากล้าผลักข้า?”
โจวกุ้ยหลานไม่รู้จะพูดยังไง นี่ไม่ใช่เรื่องปกติหรือ ทำไมจะต้องถามอีกครั้งให้ตนเองต้องอับอาย?
คิดไม่ออกจริง….
“พี่ฉางหลิน เจ้ากล้าผลักข้าเพราะผู้หญิงคนนี้หรือ?”โจวชิวเซียงไม่อยากเชื่อ ยกมือชี้ไปที่โจวกุ้ยหลาน ดวงตาทั้งคู่จ้องมองสวีฉางหลิน
สวีฉางหลินขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่าโจวชิวเซียงเป็นอะไร
ผลักนางทิ้งไม่ใช่สิ่งที่สมควรหรือ? นางไม่ใช่ภรรยาของตนสักหน่อย