นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา - บทที่ 97 เจ้าเตี้ยเกินไป
“เสี่ยวเทียนจะกินข้าวหรือโจ๊กข้าวก้นหม้อ?” โจวกุ้ยหลานถามเสี่ยวไน่เปายิ้มๆ
เสี่ยวไน่เปาใช้มือเล็กชี้ไปที่โจ๊กข้าวก้นหม้อในหม้อ “เสี่ยวเทียนจะกินอันนี้”
“อันนี้คืออันไหนล่ะ? ไม่พูดให้ชัดเจนแม่ไม่เข้าใจนะ” โจวกุ้ยหลานแกล้งเย้าเขาต่อ
พอได้ยินว่าแม่ไม่เข้าใจ เสี่ยวไน่เปาร้อนใจนัก
เขาอยากกินของในหม้อ แต่ที่ท่านแม่พูดเมื่อครู่เขาจำไม่ได้
สวีฉางหลินหยิบผ้าเดินเช็ดหน้าเข้ามา และได้ยินคำพูดสองแม่ลูก เริ่มหึงเล็กน้อย
เมื่อก่อนกลัวเมียไม่ชอบลูกชายเขา แต่ตอนนี้เมียกลับดีกับเสี่ยวเทียนเสียยิ่งกว่าเขาอีก
พอคิดอย่างนี้ น้ำเสียงเขาเริ่มไม่ดีแล้ว “ให้เขากินข้าว”
เสี่ยวไน่เปาพอได้ยินอย่างนั้นก็ร้อนใจทันที เถียงด้วยน้ำเสียงเด็กๆว่า “โจ๊ก! จะกินโจ๊ก !”
“เจ้าเตี้ยเกินไปแล้ว ต้องกินข้าวถึงจะสูง” สวีฉางหลินไม่กลับทำลูกชายตนเองหมดความมั่นใจ พูดไปพลางเดินมาทางเตา
เขาเตี้ยเกินไปแล้ว ถ้ากินแค่นี้ไม่สูงหรอก…
เสี่ยวไน่เปาพอคิดถึงตรงนี้ ปากเบ้ขึ้นมาทันที และจับจ้องมองโจ๊กข้าวก้นหม้อในหม้อตาปริบๆ
เขาไม่อยากเตี้ย เขาอยากสูงขึ้น ต่อไปจะสูงเท่าท่านพ่อเลย แบบนี้เขาก็ไม่สามารถกินโจ๊กหอมๆนั่นแล้ว
ท่าทางเสียใจตาปริบๆนั่นทำโจวกุ้ยหลานสนุกอีก “เช่นนั้นก็กินข้าวชามหนึ่ง แล้วค่อยกินโจ๊กข้าวก้นหม้อดีหรือไม่?”
“ดี!” เสี่ยวไน่เปาร้องรับเสียงดัง สายตาเป็นประกายทันที
โจวกุ้ยหลานยิ้ม และตักข้าวให้เขาชามหนึ่งก่อน “เช่นนั้นก็กินข้าวเสร็จแล้วค่อยกินโจ๊กดีหรือไม่?”
“ดี” เสี่ยวไน่เปารับชามไปอย่างดีใจ และวิ่งไปที่ห้องโถง
โจวกุ้ยหลานมองตามแผ่นหลังน้อยๆของเขา รู้สึกสบายใจจริงๆ
แต่ข้าวก้นหม้อนี้ก็ถือเป็นข้าวที่สุกเกินไป เด็กไม่ควรกินเยอะ ไม่เช่นนั้นจะไม่ดีกับร่างกายเขาอีก
สายตาพลันโดนร่างชายผู้หนึ่งปิดบัง โจวกุ้ยหลานเงยหน้าขึ้น และเห็นสวีฉางหลินมองนางอย่างไม่พอใจ
“แขกท่านนี้ ขอถามว่าท่านจะรับอะไรดีรึ?”
โจวกุ้ยหลานยิ้มถามเขา
“โจ๊กข้าวก้นหม้อ” สวีฉางหลินพาดผ้าไว้บนไหล่ตนเอง พลางบอกกับโจวกุ้ยหลาน
“ห้าอีแปะ” ระหว่างพูด นางยื่นมือไปหาเขา
สวีฉางหลินมองราคาขายของนาง พลางวางมือตนเองลงในมือนาง มือใหญ่กุมมือเล็กไว้ พูดเสียงต่ำว่า “มิมีเงิน ใช้ร่างแทน”
โจวกุ้ยหลานแทบกัดลิ้นตนเอง
แค่อยากเย้าหยอกเขาเล่น ผู้ชายคนนี้กลับมาเย้าหยอกนางแทน?
ไอ้โหย บรรยากาศวาบหวามจริงๆ! เป็นแบบนี้ต่อไป นางต้องหลวมตัวแล้วออกมาไม่ได้แน่!
โจวกุ้ยหลานใช้แรงดึงมือกลับมา และหยิบชามมาตักโจ๊กข้าวก้นหม้อให้เขาหนึ่งชาม “ไม่ต้องใช้ร่างแทนหรอก รีบไปกินข้าวไป!”
รับโจ๊กข้าวก้นหม้อชามนั้นมา สวีฉางหลินก็เดินไปทางห้องโถง
เมื่อครู่เขาเห็นเมียหน้าแดงแล้ว เมียแบบนี้ช่างงดงามนัก
ยิ่งคิดเขายิ่งอารมณ์ดี
เดินไปห้องโถง ก็เห็นเสี่ยวไน่เปานั่งอยู่ตำแหน่งตนเองเรียบร้อยแล้ว และรอพ่อแม่มากินอาหารตาปริบๆ
โจวกุ้ยหลานก็ตักโจ๊กข้าวก้นหม้อให้ตนเอง และรีบมาที่ห้องโถง และนั่งลงอีกด้าน
พอเห็นสองพ่อลูกมองนางตาปริบๆ ก็โบกมือบอก “กินข้าวได้!”
ทั้งสองคนได้ยินดังนั้น ต่างคว้าตะเกียบเริ่มกินข้าวอย่างรวดเร็ว
โจวกุ้ยหลานเองก็กินโจ๊กข้าวก้นหม้อไปคำหนึ่ง
ต้องยอมรับจริงๆว่า ข้าวธรรมชาติที่ไม่มีสารเคมีนี่อร่อยมากจริงๆ ขนาดข้าวก้นหม้อยังหอมกว่าเมื่อก่อนอีก
ทั้งสามคนกินข้าวกันอย่างรวดเร็ว สวีฉางหลินรับหน้าที่ล้างจานเอง โจวกุ้ยหลานพาเสี่ยวไน่เปาไปเรือนไม้ไผ่ และยกไส้เดือนสองถาดใหญ่ออกมา ค่อยๆเลือกไส้เดือนที่เลี้ยงจนโตใหญ่ วางไว้ในอ่างน้ำที่ใส่น้ำไว้เต็ม ให้พวกมันอาเจียนปรสิตในท้องออกมา
ทั้งสองคนเลือกกันเงียบๆ โจวกุ้ยหลานเห็นว่าพอได้ละ เห็นมันฝรั่งในถาดเริ่มแห้งแล้ว นางก็หยิบจอบเล็กไปที่ป่าใกล้ๆ ขุดดินดำกลับมาไม่น้อย วางลงในถาด
พอทำสิ่งเหล่านี้เสร็จ นางก็ย้ายไส้เดือนสองถาดนั้นเข้าไปในเรือนไม้ไผ่
แล้วถึงปิดประตูเดินออกมา
พอพึ่งออกมา ก็เห็นเสี่ยวไน่เปานั่งยองๆจ้องมองอ่างน้ำที่แช่ไส้เดือนพวกนั้นไว้ ก้นเล็กๆนั่นยังงอนเชิดขึ้น
โจวกุ้ยหลานเดินเข้าไปหา และย่อตัวลงนั่งข้างเขา ถามเสียงเบาว่า “ดูอะไรรึ?”
“ท่านแม่ ทำไมถึงแช่ไส้เดือนไว้ในน้ำเล่า?”
“เพื่อล้างพวกมันให้สะอาดเอาไปป้อนให้ไก่กินไง รอไก่กินอิ่มแล้วก็จะออกไข่ให้เรากินไง” โจวกุ้ยหลานใช้วิธีง่ายที่สุดอธิบายให้เสี่ยวไน่เปาฟัง
เสี่ยวไน่เปาพยักหน้าเหมือนฟังออก “ไก่ก็ชอบเด็กสะอาดเหมือนกัน”
โจวกุ้ยหลานทนไม่ไหว หัวเราะหึๆออกมา
เสี่ยวไน่เปานี่น่ารักจริงๆเลย
โจวกุ้ยหลานลูบหัวเขา พลางกำชับว่า “เจ้าอยากดูก็ดู แต่อย่ายื่นมือลงไปนะ มันสกปรก”
เสี่ยวไน่เปาพยักหน้ารับปาก
นางลุกขึ้น และไปตักน้ำในบ่อน้ำมาล้างมือ และไปพลิกผ้าห่มที่ตากแดดอยู่กลับด้าน และไปพลิกหัวไชเท้าตากแห้งที่ตากแดดไว้อีก ถึงกลับห้อง
เห็นสวีฉางหลินคว้ามีดปังตอหั่นหัวไชเท้าอีก
โจวกุ้ยหลานเดินเข้าไป นั่งย่องๆ ด้านข้าง มองหัวไชเท้าที่ไม่เคยตากแดดในห้อง ยังมีอีกสองตะกร้าใหญ่ อย่างน้อยน่าจะมีสองร้อยจิน ถ้าเอามาทำหัวไชเท้าดองหมด ต้องกินไปถึงเมื่อไหร่กันเนี่ย?
“สวีฉางหลิน นี่เจ้าเหลือแค่หัวไชเท้าสามอันยังไม่ได้หั่นรึ?” โจวกุ้ยหลานมองหัวไชเท้าในตะกร้า พลางถาม
สวีฉางหลิน “อืม” ออกมา และหั่นหัวไชเท้าในมืออย่างรวดเร็ว และหยิบอันต่อไปมาหั่นต่อ น้ำเสียงเย็นชาราบเรียบอย่างที่เคยเป็นว่า “ตอนนี้เหลือแค่สองอันแล้ว”
“งั้นเจ้าหั่นเสร็จแล้วอย่าพึ่งเอาไปตาก ข้าจะดูสิว่าจะทำอะไรอย่างอื่นไปขายแลกเงินได้ไหม ถ้าเอมาทำหัวไชเท้าดองหมด พวกเรากินไม่หมดหรอก”
โจวกุ้ยหลานเองก็ไม่ปิดบังสวีฉางหลิน พูดความคิดตนออกมา
เพียงแต่… หัวไชเท้าจะทำอะไรได้อีกล่ะ?
ปกติแล้วก็คือผักสดเอามาทำอาหารกิน จากนั้นก็ทำหัวไชเท้าดอง หัวไชเท้าตากแห้ง ถ้าขยันหน่อยก็ทำขนมเปี๊ยะหัวไชเท้า แต่ขนมเปี๊ยะหัวไชเท้าขายไม่ดีนี่นา….
จริงสิ ขนมหัวไชเท้า!
โจวกุ้ยหลานคิดถึงขนมหัวไชเท้า แล้วสองตาเป็นประกาย
ถ้าสามารถทำขนมหัวไชเท้าไปขายได้ อย่างนั้นหัวไชเท้าพวกนี้ก็ใช้ได้หมดละ!
ระหว่างคิด นางยืนขึ้นมา มองดูหัวไชเท้าด้านหน้าตน ในสมองผุดวิธีทำหัวไชเท้านานาชนิดขึ้นมา คิดถึงวัตถุดิบเหล่านั้น ความมั่นใจของโจวกุ้ยหลานที่ผุดขึ้นมาก็ตกลงไปอีก
วัตถุดิบหลายอย่างที่ห้ามขาดของขนมหัวไชเท้าคือ แป้ง เบคอน ไส้กรอก
ของเหล่านี้นางไม่มีเลย และไม่มีที่ไหนให้ไปหาด้วย ขนาดตัวนางเองอยากทำเบคอนไส้กรอก ฤดูกาลนี้ก็ไม่เหมาะอยู่ดี และไม่ใช่ว่าจะทำออกมาได้เลยด้วย
เฮ้อ น่าปวดหัวจริงๆ
พอเห็นความเปลี่ยนแปลงบนสีหน้านาง สวีฉางหลินชะงักมือถาม “ทำไมรึ?”
“พวกเราไม่มีเบคอนและไม่มีไส้กรอก ทำขนมหัวไชเท้าไม่ได้ ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้ ถึงทำออกมาได้ก็ไม่อร่อย ดูท่าคงทำขนมหัวไชเท้าไม่ได้แล้ว…”
สวีฉางหลินหั่นชิ้นสุดท้ายเสร็จ หัวไชเท้าทั้งหมดก็เสร็จแล้ว
เขาวางมีดลง ถึงบอกว่า “เช่นนั้นก็ไม่ทำ พวกเราทำหัวไชเท้าดองเถิด”