นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 05 ถูกหยามเกียรติ ทรยศนายเพื่อลาภยศ
ในขณะที่หวั่นอินไม่อาจประจบเจ้านายคนใหม่ได้สำเร็จและกลับถูกรังแกเสียเองนั้น เฟิ่งชิงเฉินก็ถูกราชองครักษ์นำตัวเข้าวังหลวงไป
ไม่มีทางอื่นใด ฐานะของเฟิ่งชิงเฉินพิเศษเกินไป
ไม่ว่าจวนเฟิ่งจะตกต่ำสักเพียงใด แต่หากราชสำนักไม่ได้ประกาศออกมา เฟิ่งชิงเฉินก็ยังเป็นพระคู่หมั้นขององค์ชายเจ็ด
แม้ว่าองครักษ์จะรู้ว่าสิ่งที่รอคอยเฟิ่งชิงเฉินอยู่มีเพียงการลงโทษอย่างหนัก แต่พวกเขาก็ไม่กล้าลงมือกับนางอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า นี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเกียรติยศของราชวงศ์
ไม่ว่าเรื่องใด เรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ เพียงแค่เกี่ยวข้องกับ “ราชวงศ์” อาจจะเป็นเรื่องเล็กหรือใหญ่ก็ได้
ในวังหลวง ผู้ที่สามารถจัดการเรื่องนี้ได้ก็มีเพียงพระมารดาขององค์ชายเจ็ดผู้ดำรงตำแหน่งฮองเฮาเท่านั้น
ในยามนี้เฟิ่งชิงเฉินหมอบอยู่หน้าตำหนักของนางรอให้ฮองเฮาลงโทษ
ผ้าผืนบางสีแดงไม่อาจปกปิดได้นานแล้ว ผิวของนางปรากฏสู่ภายนอก รอยช้ำเป็นจ้ำของนางปรากฏสู่สายตาของผู้คน คนส่วนใหญ่ไม่กล้าจ้องมองโดยตรง เพียงแค่ใช้หางตาลอบมองอย่างประเมินเท่านั้น
หินอ่อนสีขาวเย็นเยียบสัมผัสกับผิวของนาง ความเย็นแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายของนาง เฟิ่งชิงเฉินหนาวเสียจนริมฝีปากม่วงคล้ำ ฟันของนางกระทบกันกึกๆแต่กลับไม่ได้ส่งเสียงอันใดออกมาเลย ยิ่งไม่กล้ากระทำสิ่งใดโดยปราศจากความระมัดระวัง เพื่อที่คนอื่นจะได้ไม่มีข้ออ้างมาจัดการนางได้
เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา แต่กลับรู้สึกได้ถึงสายตาดูถูกเหยียดหยามของนางกำนัลที่เข้าๆ ออกๆ จากตำหนัก
สายตาเช่นนั้นมองราวกับว่านางเป็นสิ่งสกปรก รู้สึกสกปรกจนไม่อาจมองมากไปกว่านี้ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะมองอย่างประเมิน
เป็นกลุ่มหญิงสาวที่จอมปลอมยิ่งนัก
รังเกียจข้า แล้วพวกเจ้าเล่าจะสะอาดกว่าข้าสักเพียงไหนเชียว
นางกำนัลในวังหลวง หากไม่ใช่นางบำเรอผู้รอฝ่าบาทมาโปรดปรานก็เข้าหาขันทีเพราะโลภในอำนาจ พลีกายให้กับบุรุษไร้น้ำยา
หากเทียบกับพวกเจ้าแล้ว ข้ายังจะสะอาดกว่าเสียอีก
เหอะๆ …
เฟิ่งชิงเฉินเม้มริมฝีปากซ่อนรอยยิ้มขมขื่นของนางเอาไว้
ท้องฟ้ามืดครึ้มเสียจนน่ากลัว ในอากาศเต็มไปด้วยความชื้นราวกับฝนกำลังจะตก…
เฟิ่งชิงเฉินมองผ้าผืนบางที่ไม่อาจพันรอบกาย ในใจก็คิดว่าไม่รู้ว่ายามออกจากวังฮองเฮาจะประทานชุดใหม่ให้นางได้หรือไม่?
นางจำได้ว่าก่อนหน้านี้ที่นางขอยืมเสื้อผ้าจากคนหลายคน แต่ก็ล้วนได้รับเพียงรอยยิ้มเยาะเย้ย…
เดิมเฟิ่งชิงเฉินคิดว่าเรื่องนี้ก็เพียงแค่ถอนหมั้นเท่านั้น เมื่อดูเช่นนี้แล้วดูเหมือนว่ามีคนไม่อยากจะให้นางมีชีวิตอยู่เสียมากกว่า
ในยุคสมัยที่ความบริสุทธิ์ของผู้หญิงสำคัญยิ่งกว่าชีวิต เมื่อถูกจัดฉากเช่นนี้ หญิงที่มีความละอายใจก็คงไม่อาจทนมีชีวิตอยู่ได้อีก
แต่นางไม่ใช่ผู้อื่น นางคือเฟิ่งชิงเฉิน
นางเคารพกฎเกณฑ์ของที่นี่ แต่นางก็ยังคงรักษาหลักการของนางเช่นกัน
เฟิ่งชิงเฉินในยามนี้ไม่มีทางไปตายแน่ ไม่ว่าจะยากเย็นเพียงใดนางก็จะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป ในสายตาเฟิ่งชิงเฉิน ไม่มีสิ่งใดสำคัญกว่าชีวิตอีก
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่านางยังไม่ได้เสียความบริสุทธิ์ไป แม้ว่านางเสียบริสุทธิ์แล้วจะอย่างไร เหตุใดนางจึงต้องสละชีวิตลงด้วยความปิดของผู้อื่น…
ทุกคนล้วนมีชีวิตอยู่เพียงครั้งเดียว นางไม่มีทางทิ้งชีวิตของนางเพื่อผู้อื่นหรือเพื่อสัจธรรมอะไรบางอย่างแน่…
เวลาค่อยๆ ผ่านไปอย่างช้าๆ ในใจของเฟิ่งชิงเฉินก็คอยคิดคำนวณว่านางน่าจะคุกเข่าอยู่ที่นี่มากว่าสองชั่วโมงแล้ว
ฮองเฮาเสวยพระกระยาหารเช้าแล้วยังเสวยของทานเล่นต่อ อีกทั้งยังเรียกคนเข้าๆ ออกๆ ยามที่เดินผ่านร่างของนางก็ยังไม่ลืมจะพูดพึมพำสองสามคำ
“คุณหนูแห่งจวนเฟิ่งงั้นหรือ ช่างน่าขายหน้าเสียจริง หากนี่เป็นบุตรีของข้า ข้าคงจะโยนผ้าขาวให้นางผูกคอแล้ว ให้นางตายไปเสียดีกว่า จะได้ไม่ต้องมีชีวิตอยู่ต่อให้ขายหน้าผู้อื่น…”
“ลูกกำพร้าไร้บิดามารดาจะไปมียางอายอันใด เรื่องเช่นนี้หากเป็นข้าก็คงจะเอาหัวพุ่งเข้าชนกำแพงไปแล้ว…”
…
คำพูดแย่ๆ ของพวกนางลอยเข้าหัวไปไม่น้อย เฟิ่งชิงเฉินพยายามยับยั้งความคิดอยากฆ่าคนของนางไว้ในใจ
ดูถูกนางก็ว่าไปอย่าง แต่มีสิทธิ์อะไรที่จะมาดูถูกบิดามารดาของนาง
แม้เฟิ่งชิงเฉินจะไม่มีมารดามาแต่เด็ก บิดาก็ออกรบอยู่ภายนอก แต่การอบรมสั่งสอนบุตรีไม่ได้ขาดตกบกพร่องไปแม้แต่น้อย
หากไม่ใช่เพราะเฟิ่งชิงเฉินคนก่อนเอาแต่เคารพกฎเกณฑ์ อ่อนแอไร้ความสามารถนางจะตายได้อย่างไร…
“ติ๋ง…” น้ำตาหยดลงจากปลายหางตาของนาง
เฟิ่งชิงเฉินไม่รู้ว่านี่เป็นน้ำตาของตนเองหรือเป็นน้ำตาของร่างนี้
วันนี้ผ่านเรื่องมากมายเช่นนั้น นางยังไม่ได้ร้องไห้เลยแม้แต่น้อย แต่ตอนนี้กลับรู้สึกอยุติธรรมจนอยากร้องไห้
ฮองเฮาราวกับว่าได้ลืมนางไปแล้ว ให้นางรออยู่ตรงนี้โดยมีเหล่าฮูหยินและนางกำนัลที่เดินผ่านไปมาคอยจ้องมองนางราวกับว่านางเป็นสุนัขตัวหนึ่งที่หมอบอยู่หน้าวัง
ฮองเฮา ท่านอยากบีบคั้นให้ข้าไปตายด้วยวิธีนี้งั้นหรือ ข้าเฟิ่งชิงเฉินผู้นี้ไม่มีทางทำให้ท่านสมปรารถนาแน่…
ยายแก่เอ๋ย หากตอนนี้ไม่ใช่มารดาของข้าช่วยชีวิตท่านไว้ ท่านจะยังได้เป็นฮองเฮาในวันนี้อยู่หรือ?
เหล่าคนไม่รู้จักคุณคนเหล่านี้ ท่านแม่สละชีวิตช่วยท่านไว้ แต่ท่านปฏิบัติต่อบุตรีของนางอย่างไรกัน
คนในราชวงศ์ไร้หัวใจนั้นพูดไว้ไม่ผิดเลย คนในราชวงศ์ปฏิบัติต่อคนในราชวงศ์ด้วยกันเองอย่างไรหัวใจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนนอกเลย
คนจากจวนเฟิ่งตาถั่วเสียจริง ท่านพ่อรบจนตัวตายเพื่อปกป้องบ้านเมือง ท่านแม่สละชีวิตเพื่อช่วยฮองเฮาไว้ ส่วนเฟิ่งชิงเฉินตายเพราะความไร้หัวใจและโหดเหี้ยมของโอรสของท่าน
ราชสกุลตงหลิง พวกท่านดูเถิดว่าพวกท่านทำให้คนสกุลเฟิ่งสิ้นชีวิตไปกี่คนแล้ว?
ความแค้นนี้ทำให้เฟิ่งชิงเฉินอดทนไว้ได้ แขนขาของนางแข็งค้าง แต่นางก็ยังคุกเข่าต่อไปโดยไม่ขยับเขยื้อนและยังคงรักษาสติไว้มั่น…
ข้าเฟิ่งชิงเฉินไม่มีทางไปตายตามจุดประสงค์ของฮองเฮาแน่!
ในชั่วพริบตาก็มาถึงยามเที่ยงแล้ว ท้องฟ้าก็ยังคงเต็มไปด้วยหมอกควัน เพียงแต่ฝนนั้นกลับยังไม่ตกลงมา…
ภายในตำหนักของฮองเฮา นางไล่เหล่าฮูหยินที่มาทักทายหมดแล้วและร้องเรียกนางกำนัลข้างกาย “นางยังคุกเข่าอยู่ตรงนั้นหรือ?”
“กราบทูลเหนียงเหนียง ใช่แล้วเพคะ!” นางกำนัลสาวเท้าเข้าไปเล็กน้อยและคุกเข่าลงด้านหน้าฮองเฮา
“นางพูดอะไรหรือไม่?” ฮองเฮาเลิกคิ้ว คิดไม่ถึงเลยว่าหญิงสาวผู้หนึ่งจะมีพลังกายถึงเพียงนั้น นางคุกเข่ามาครึ่งวันแล้วก็ยังทนไหว
“ไม่เลยเพคะ หม่อมฉันเห็นว่าแม่นางเฟิ่งผู้นั้นราวกับถูกวิญญาณเข้าสิง” นางกำนัลคิดถึงเฟิ่งชิงเฉินที่ยอมให้ให้เนื้อหนังของตนเองปรากฏสู่ภายนอก แล้วยังมีเรื่องวิวาทกับบุรุษที่ข้างนอกนั่น อย่างไรนางก็ไม่อาจเข้าใจได้
ช่างบ้าระห่ำเสียจริง!
“วิญญาณเข้าสิง? เฮอะ… ถึงจะถูกผีสิงข้าก็จะต้องทำให้นางตื่นขึ้นมาให้ได้ ไม่ใช่ว่าข้าลืมบุญคุณที่คนตระกูลเฟิ่งเคยช่วยข้าไว้ แต่ว่าโคลนเน่าไม่อาจนำมาใช้สร้างกำแพงได้” ฮองเฮาตบโต๊ะอย่างแรง
โอรสของนางจะแต่งงานรับคนที่ไม่มีใครหนุนหลังเช่นนี้มาเป็นฮูหยินได้อย่างไร
ในหลายปีมานี้นางได้บอกเป็นนัยอยู่หลายครั้ง แต่เฟิ่งชิงเฉินผู้นั้นราวกับว่าฟังไม่เข้าใจเสียอย่างนั้น อย่างไรก็ไม่ยอมยกเลิกงานแต่งด้วยตนเอง ช่างเหลือเกินเสียจริง
หากไม่ใช่เพราะเห็นแก่เกียรติยศของราชสกุล เห็นแก่ที่เรื่องที่เฟิ่งฮูหยินได้ช่วยชีวิตข้าไว้มีคนรู้มากมาย การที่ราชสกุลเป็นฝ่ายถอนหมั้นจะทำให้เกิดคำครหา การแต่งงานนี้ควรจะถูกยกเลิกไปเสียตั้งนานแล้ว
“เหนียงเหนียงกล่าวถูกต้องแล้วเพคะ” นางกำนัลและขันทีในตำหนักทั้งหมดต่างก็หมอบอยู่ตรงหน้านาง บนใบหน้าทุกคนมีความระมัดระวังและเลื่อมใสประดับอยู่
ความกริ่งเกรงของเหล่านางกำนัลทำให้ฮองเฮารู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย เพียงแต่เมื่อคิกว่านางให้เฟิ่งชิงเฉินอยู่ที่นั่นตลอดเช้า แต่เฟิ่งชิงเฉินกลับยังไม่ฆ่าตัวตายทำให้นางขุ่นเคืองขึ้นมาอีก น้ำเสียงจึงไม่ได้อ่อนโยนนัก
“ทางลั่วอ๋องมีข่าวคราวหรือยัง เรื่องนี้ฝ่าบาทว่าอย่างไรบ้าง?”
“กราบทูลเหนียงเหนียง ลั่วอ๋องส่งข่าวมาบอกว่าจะมาร่วมโต๊ะเสวยพระกระยาหารเที่ยงด้วยเพคะ” ขันทีตัวน้อยผู้หนึ่งรีบตอบ
“อืม…”
ในเวลานี้เอง นางกำนัลที่อยู่ด้านนอกก็เข้ามาคุกเข่าคำนับ “เหนียงเหนียง ลั่วอ๋องเสด็จมาถึงแล้วเพคะ…”
ฮองเฮายินดีเป็นอย่างยิ่ง “ไปเถอะ ไปบอกห้องเครื่องให้เตรียมอาหารที่ลั่วอ๋องโปรดปรานมา”
“เพคะ เหนียงเหนียง…”
นางกำนัลเดินเรียงแถวออกไป ยามที่เดินผ่านร่างของเฟิ่งชิงเฉินก็มีทั้งแววตาสมเพชและเห็นใจ
เมื่อมองผิวกายที่ถูกเปิดเผย นางกำนัลสาวหลายคนก็เบือนหน้าหนีไปอย่างเขินอาย…
นางชินกับสายตาประเมินเช่นนี้นานแล้ว เฟิ่งชิงเฉินไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย
นางเพียงแต่คุกเข่าอย่างเงียบเชียบ หลับตาลงและนับอยู่ในใจ ลำดับที่สองร้อยเจ็ด ลำดับที่สองร้อยแปด…
จนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้ามั่นคงแว่วมาเข้าหูของนาง เฟิ่งชิงเฉินก็ตกใจเล็กน้อย เสียงฝีเท้านี้ไม่คล้ายกับของฝีเท้าสตรีนักและก็ไม่คล้ายฝีเท้านุ่มนวลของเหล่าขันที มีบุรุษมาที่นี่ในเวลานี้งั้นหรือ? ฮองเฮาหมายความว่าอย่างไรกันแน่?
แล้วผู้ที่มาคือใครกัน? หรือว่าเรื่องนี้ไปถึงพระกรรณขององค์จักรพรรดิแล้ว?
เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้เดาผิดเลย ถึงนี้ไปถึงองค์จักรพรรดิแล้วจริงๆ เพียงแต่ผู้ที่มาไม่ใช่พระองค์ นางยังไม่มีคุณสมบัติพอที่จะพบเขา…
บทที่ 004 ผลลัพธ์ ทุบตีอย่างโหดร้าย
บทที่ 006 ตัดสินคู่หมั้น ลั่วอ๋อง