นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 1011 ตัวหมาก,ตามหาเสด็จอาเก้า
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 1011 ตัวหมาก,ตามหาเสด็จอาเก้า
“หมายความว่าอย่างไร? ข้าไม่เข้าใจ” เฟิ่งชิงเฉินถามด้วยใบหน้าที่ว่างเปล่า
วันเกิดของนางเกี่ยวอะไรกับตระกูลลู่?
ความคิดของเสด็จอาเก้านั้นโลดโผนเกินไป แม้ว่านางจะรู้มากกว่าผู้หญิงทั่วไป แต่เส้นทางของทางการนั้นกว้างไกล ไม่แน่อาจเกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างทาง ดังนั้นนางจึงต้องการเข้าใจความหมายที่ลึกซึ้งและข้อเท็จจริง
ส่วนเรื่องของงานวันเกิด เฟิ่งชิงเฉินไม่เคยมีงานวันเกิดมาก่อน นางในฐานะเด็กกำพร้า นางไม่สนใจเรื่องของงานวันเกิด หากเสด็จอาเก้าไม่กล่าวออกมา นางคงลืมไปแล้วว่ามีเรื่องของงานวันเกิดเช่นนี้อยู่ด้วย
ในห้องที่ค่อนข้างมืด มีเพียงแสงเดือนอ่อน ๆ เสด็จอาเก้าเห็นแววตาที่เบิกของเฟิ่งชิงเฉินราง ๆ ท่าทางงุนงงของเฟิ่งชิงเฉินหลั่งไหลเข้ามาในสมองของเขา มุมปากของเสด็จอาเก้ายกขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ เขาอธิบายออกไปอย่างนุ่มนวล “ข้าจะจัดงานวันเกิดของเจ้าอย่างยิ่งใหญ่ในซานตงแห่งนี้ เวลานั้นข้าจะเชิญเหล่าขุนนางและพ่อค้าในซานตงมาร่วมงาน และตระกูลลู่เป็นตระกูลเดียวที่ข้าจะไม่เชิญมาร่วมงาน”
ขุนนางในซานตงต่างรู้ดีว่าเขาให้ความสำคัญกับเฟิ่งชิงเฉินเป็นอย่างมาก ดังนั้นการที่จัดงานวันเกิดให้กับเฟิ่งชิงเฉินจึงเป็นสิ่งที่ไม่ธรรมดา
“เจ้าทำเช่นนี้จะไม่เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นงั้นหรือ?” ทันทีที่เสด็จอาเก้าอธิบายออกมา เฟิ่งชิงเฉินก็เข้าใจในทันที ในความมืด ดวงตาที่เป็นประกายของเฟิ่งชิงเฉินจ้องมองมาที่เสด็จอาเก้า ซึ่งทำให้เสด็จอาเก้าแทบทนไม่ไหว
กระแอมออกมาเบา ๆ เสด็จอาเก้ากล่าวอย่างเป็นทางการ “ถือว่าประมาณนั้น ตระกูลลู่เป็นคนฉลาด พวกเราทำเช่นนี้ แม้เขาจะไม่เข้าใจก็ต้องเข้าใจ ตระกูลลู่ไม่อยากเป็นศัตรูกับข้า ถึงเวลานั้นพวกเขาจะต้องเคลื่อนไหวเป็นแน่ และทันทีที่พวกเขาเคลื่อนไหว ทางของพวกเราก็จะสะดวก”
ในความมืด แววตาของเสด็จอาเก้าฉายแววแห่งความอันตราย
เขามั่นใจเป็นอย่างมาก ที่ตระกูลลู่ยอมเสี่ยงอันตรายเกือบจะถูกตัดหัวในปีนั้นเพื่อส่งสตรีผู้หนึ่งเข้าไปในพระราชวัง มันไม่ใช่เพื่อทำร้ายแม่ทัพเฟิ่งเป็นแน่ กล่าวคือการตายของแม่ทัพเฟิ่งในปีนั้น ถือเป็นการตายโดยไม่ชอบธรรม
เฟิ่งชิงเฉินลองนึกถึงคำพูดของเสด็จอาเก้าอย่างระมัดระวังอีกครั้ง สุดท้ายก็กล่าวออกมาด้วยความนับถือ “คนที่ขึ้นไปบนตำแหน่งอันสูงส่งด้วยหัวใจที่เป็นธรรม ข้ารู้สึกนับถือยิ่งนัก”
ก่อนหน้านี้นางหาวิธีอยู่นาน แต่ก็คิดไม่ออกว่าจะต่อสู้กับตระกูลลู่ด้วยวิธีใด คิดไม่ถึงว่า……เสด็จอาเก้าจะคิดถึงเรื่องนี้ไปพร้อมกับงานวันเกิดของนาง
การเคลื่อนไหวของเสด็จอาเก้าในครั้งนี้ไม่เพียงแค่บอกกับตระกูลลู่ว่าเสด็จอาเก้านั้นต้องการเป็นศัตรูกับตระกูลลู่ แต่ในขณะเดียวกัน เขายังทำการทดสอบหัวใจของขุนนางและพ่อค้าในซานตง เขาต้องการรู้ว่าเมื่อเสด็จอาเก้าและตระกูลลู่ไม่ลงรอยกันแล้ว การตอบสนองของพวกเขาจะเป็นเช่นไร
ตระกูลลู่มีอำนาจและพลังอันยิ่งใหญ่ แต่ซานตงนั้นก็ไม่ได้เป็นปึกแผ่นเสียทีเดียว แค่ดูจากตระกูลเฉินก็รู้แล้ว
นี่คือก้อนหินที่ทำให้เกิดคลื่นนับพัน เสด็จอาเก้าโยนก้อนหินนี้ออกไป ส่วนจะมีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาอย่างไร เรื่องนี้เสด็จอาเก้าไม่จำเป็นต้องสนใจ
แน่นอนว่าอุบายนี้เป็นสิ่งที่เสด็จอาเก้าคนเดียวเท่านั้นที่สามารถใช้ได้ เนื่องจากด้วยตัวตนของนาง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน หากไม่มีเสด็จอาเก้าคอยอยู่ข้างกาย ตระกูลลู่ก็ไม่มีทางเห็นนาง เฟิ่งชิงเฉินอยู่ในสายตา
“ไม่ใช่ว่าข้ามีจิตใจที่งดงาม แต่เป็นเจ้าที่ขี้เกียจขึ้นทุกวัน” แม้เสด็จอาเก้าจะกล่าวออกไปเช่นนั้น แต่ในใจของเขากลับรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เขารู้สึกว่าตนเองได้เป็นที่พึ่งของเฟิ่งชิงเฉิน มันถือเป็นเรื่องที่ดี ที่ผ่านมาเฟิ่งชิงเฉินเอาแต่ขอโทษและพึ่งพาแต่ตัวเอง แบบนี้ก็ถือว่าดีแล้ว
“ใช่เสียที่ไหน…..มันก็เพราะมีเจ้าอยู่ไม่ใช่หรือไง เพราะมีเจ้าอยู่ เหตุใดข้าต้องนึกถึงเรื่องพวกนี้ด้วย อีกอย่าง หากพูดถึงวิธีการ ข้าชอบวิธีการง่าย ๆ และเปิดเผย ไม่ชอบวิธีการเจ้าเล่ห์ เช่นการฝังระเบิดไว้ในบ้านตระกูลลู่ และจุดทำลายบ้านของพวกเขาให้สิ้นซาก” อย่าว่าอย่างนั้นเลย เฟิ่งชิงเฉินเคยคิดถึงวิธีการนี้มาก่อน แต่สุดท้ายนางก็รู้สึกว่าคงทำเช่นนั้นไม่ได้
ตระกูลลู่มีทหารประจำตระกูลอยู่ไม่น้อย และก็เป็นตระกูลอันยิ่งใหญ่ สิ่งที่นางทำได้มากที่สุดก็แค่ระเบิดกำแพงภายนอกเท่านั้น มันไม่รุนแรงมากพอที่ทำให้พวกเขารู้สึกถึงภัยคุกคาม
“ฆ่าคนเพื่อชดใช้ ทางที่ดีเจ้าลืมความคิดนี้ไปเสียดีกว่า ตระกูลลู่ไม่ใช่ตระกูลขุนนาง หากพวกเขาตายไปอย่างอนาถ พวกเขาจะได้รับความเห็นอกเห็นใจจากประชาชน เมื่อถึงเวลานั้นอย่าว่าแต่เจ้ากับข้าเลย ต่อให้จักรพรรดิเองก็ต้องทำตามคลื่นของปวงชน และยิ่งไปกว่านั้น วิธีการเช่นนี้ไม่อาจทำลายล้างคนในตระกูลลู่ทุกคนได้ หากถอนหญ้าไม่ถอนราก มันจะมีแต่ทำให้อันตรายมากขึ้นเท่านั้น” ตระกูลลู่ไม่ใช่ขุนนางในคอกม้า และคนของตระกูลลู่ก็มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง แน่นอนว่าไม่สามารถกำจัดได้ทั้งหมด
คิดจะทำลายล้างตระกูลลู่ให้สิ้นซาก อย่าว่าแต่เฟิ่งชิงเฉินเลย ต่อให้เป็นจักรพรรดิก็ไม่อาจทำได้ ตระกูลที่อยู่บนโลกมานานอย่างตระกูลลู่ พวกเขาล้วนมีแผนสำรอง พวกเขาไม่มีทางเปิดเผยลูกหลานทั้งหมดของพวกเขาออกมายังโลกภายนอก
การวางระเบิดเพื่อทำลายตระกูลลู่เป็นเรื่องง่าย แต่สิ่งที่ต้องชดใช้หลังจากนั้นมันยิ่งใหญ่ เฟิ่งชิงเฉินไม่สามารถชดใช้ได้ และเสด็จอาเก้าเองก็ไม่สามารถชดใช้ได้เช่นกัน
วิธีการใช้ความรุนแรงเพื่อควบคุมสถานการณ์นั้นมุทะลุเกินไป และเมื่อเกิดปัญหาขึ้นมันจะไม่มีวันสิ้นสุด เสด็จอาเก้ากลัวว่าเฟิ่งชิงเฉินจะใจร้อน ทำอะไรโดยขาดสติ ดังนั้นจึงอธิบายเกี่ยวกับแผนการต่อกรกับตระกูลลู่ของเขาออกมาเล็กน้อย
“มีเจ้าอยู่ด้วยช่างวิเศษยิ่งนัก” หลังจากเฟิ่งชิงเฉินได้ยินคำอธิบายของเสด็จอาเก้า ความกังวลในใจของนางก็หายไป นางหาวออกมา “เมื่อถึงเวลา ข้าจะทำตามแผนการของเจ้าเป็นอย่างดี ดึกมาแล้ว ข้าง่วงแล้ว นอนเถิด”
พูดจบนางก็นำร่างของนางเข้าไปใต้ผ้าห่ม ทิ้งเสด็จอาเก้าไว้เพียงลำพัง ไม่สนใจว่าเสด็จอาเก้าจะนอนหรือไม่
“นี่มัน……” นอนแล้วงั้นหรือ?
เสด็จอาเก้าจ้องมองเฟิ่งชิงเฉินที่บอกนอนก็นอน ยิ้มอย่างขมขื่น “มันช่าง……” นับวันยิ่งเอาแต่ใจขึ้นเรื่อย ๆ แต่ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะนิสัยเสียของเขาที่คอยให้ท้ายเฟิ่งชิงเฉิน
เสด็จอาเก้ายิ้มอย่างช่วยไม่ได้ เฟิ่งชิงเฉินแกล้งเขา แต่สุดท้ายนางก็เผลอหลับไป
ช่างเป็นผู้หญิงชั่วร้ายที่ชอบรังแกผู้อื่นเสียจริง
เสด็จอาเก้าช่วยห่มผ้าให้เฟิ่งชิงเฉิน แม้จะยังไม่รู้สึกง่วงเลยแม้แต่น้อย แต่เขาก็หลับตาอย่างเชื่อฟัง ใครใช้ให้เขาไม่กล้าปลุกเฟิ่งชิงเฉิน
ดังนั้น……
เช้าวันต่อมา เสด็จอาเก้าตื่นสายอย่างผิดปกติ แน่นอน เฟิ่งชิงเฉินเองก็ตื่นสายเช่นกัน โชคดีที่ลูกน้องในตำหนักล้วนได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่งกับเรื่องส่วนตัวของเจ้านาย แต่โจ่วอันนั้นแตกต่างออกไป
โจ่วอันเห็นเสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินออกมาช้า เขาที่รู้สึกหิวมาเป็นเวลานาน จึงแยกพวกเขาทั้งสองออกอย่างไม่เกรงใจ “ข้าว่าพวกเจ้าห่างกันสักหน่อยจะดีกว่า นี่ไม่ใช่พื้นที่ของพวกเรา แม้ว่าพวกเจ้ามีความต้องการก็จำเป็นต้องอดกลั้น อย่าน้อยก็ไม่ควรปล่อยให้คนอื่นต้องมารอทานอาหารเช่นนี้”
ความหมายของโจ่วอันนั้นชัดเจน ต่อให้เฟิ่งชิงเฉินอยากแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจก็คงไม่ได้ นางจ้องมองไปยังโจ่วอันอย่างดุร้าย กล่าวออกมาอย่างเสียอารมณ์ “หิวก็ทำไมไม่รับนำของกินมาอุดปาก”
นางกับโจ่วอันดูเหมือนจะไม่ลงรอยกันตลอดเวลา ในตอนที่อยู่ซีอันยังไม่เท่าไหร่ แต่หลังจากที่มาถึงตงหลิง โจ่วอันเอาแต่จับจ้องและมุ่งเป้ามาที่นาง และช่วงเวลาที่ผ่านมาก็เห็นได้อย่างชัดเจน แต่นางก็หาสาเหตุไม่พบ ทำให้เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมาก
“ข้าเองก็อยากกิน แต่มีคนบอกว่าเสด็จอาเก้าและแม่นางเฟิ่งยังไม่ตื่น ไม่สามารถนำอาหารออกมาได้” ที่แท้นี่ก็คือเหตุผลที่ทำให้โจ่วอันไม่พอใจ
คนในสวนฮวาหยวนเห็นโจ่วอันเป็นผู้ติดตามของเสด็จอาเก้า เจ้านายยังไม่ออกมา แน่นอนว่าไม่สามารถนำอาหารออกมาได้
เรื่องราวดังกล่าวของโจ่วอันเป็นเรื่องพื้นฐานมาก แต่……เขาลืมไปแล้วว่าเสด็จอาเก้าเป็นใคร เมื่อได้ยินคำพูดของเสด็จอาเก้า เสด็จอาเก้าก็เรียกพ่อบ้านของสวนฮวาหยวนเข้ามา
ตอนแรกโจ่วอันคิดว่าเสด็จอาเก้าจะตักเตือนและลงโทษคนของสวนฮวาหยวน แต่เสด็จอาเก้ากลับพูดออกมาอย่างเย่อหยิ่ง “ทำได้ดีมาก ข้าขอชื่นชม”
“ขอบคุณท่านอ๋อง นี่เป็นสิ่งที่ข้าน้อยสมควรทำ” นี่เป็นครั้งแรกที่พ่อบ้านได้เห็นท่านอ๋องจากพระราชวังใหญ่ ตอนแรกเขารู้สึกหวาดกลัว แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเสด็จอาเก้าจะมีจิตใจเมตตาถึงเพียงนี้ ไม่เพียงแต่ไม่ลงโทษเขา แต่ยังชื่นชมเขาอีกด้วย เสียงคุกเข่าดังขึ้นพร้อมกับเสียงก้มหัวคำนับ เขารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
“ลุกขึ้นมาเถิด วันนี้เจ้าทำได้ดีมาก หลังจากนี้หากพบเจอเรื่องดังกล่าวขึ้นมาอีก เจ้าก็ทำตามในสิ่งที่เจ้าทำลงไปในวันนี้” เสด็จอาเก้าค่อย ๆ กล่าวออกมา นี่ถือเป็นการครองใจคนของสวนฮวาหยวน ในขณะเดียวกัน……มันถือเป็นการเย้ยหยันโจ่วอัน
“คนอย่างเจ้านี่มัน” โจ่วอันหงุดหงิดอย่างรุนแรง นี่มันจะเป็นการรังแกที่มากเกินไปหรือไม่?
เจ้านี่มัน……เขารู้สึกคัดค้าน
แต่น่าเสียดายที่เสด็จอาเก้าไม่แม้แต่จะสนใจการต่อต้านของโจ่วอัน เขาชี้ไปที่อาหารเช้าของโจ่วอัน “โจ่วอันกินอิ่มแล้ว นำอาหารของเขาไปเสีย”
“ขอรับ”
“นี่เจ้า ข้า……” ข้ายังไม่ได้กินเลย!
“ท่านโจ่วอัน ขอเสียมารยาทด้วย” พ่อบ้านก้าวออกไป ไม่สนใจสายตาแห่งความโกรธของโจ่วอัน นำอาหารของโจ่วอันออกไปทันที
เฟิ่งชิงเฉินแสดงความรู้สึกของนางออกมาอย่างชัดเจน หากในอนาคตโจ่วอันยังกล้ารังแกนางอีก นางจะไปหาเสด็จอาเก้าทันที……