นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 1012 มาถึงที่,เต็มใจที่จะเป็นหมากของเสด็จอาเก้า
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 1012 มาถึงที่,เต็มใจที่จะเป็นหมากของเสด็จอาเก้า
เสด็จอาเก้าบอกว่าตระกูลเฉินเป็นคนฉลาด คนของตระกูลเฉินก็ไม่ทำให้เสด็จอาเก้าผิดหวัง ช่วงเช้าของวันนั้น ผู้นำตระกูลเฉินรวมถึงลูกชายคนโตของเขามาหาเสด็จอาเก้าถึงที่พัก แต่ด้วยสถานะของพวกเขา เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะขอเข้าพบเสด็จอาเก้า แค่ให้คนรับใช้นำของขวัญมามอบให้เท่านั้น
ช่องว่างระหว่างสถานะของขุนนางกับพ่อค้านั้นมีมาก และเสด็จอาเก้าก็ไม่ใช่ขุนนางทั่วไป แน่นอนว่าตระกูลเฉินไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าพบเสด็จอาเก้า พวกไม่ได้เอ่ยปากขอพบ และไม่ได้แสดงป้ายของผู้นำตระกูล นี่ถือเป็นการกระทำที่ชาญฉลาด
ตระกูลเฉินเป็นเพียงพ่อค้า เสด็จอาเก้าอาศัยอยู่ในที่พักในของตระกูลเฉิน นี่คือเกียรติของตระกูลเฉิน ตระกูลต้องการมาเพื่อตามหาเจ้านาย แม้เสด็จอาเก้าจะออกไปพบพวกเขา แต่ก็ไม่มีทางชอบใจในสิ่งที่พวกเขาทำเป็นแน่
“เป็นคนฉลาดอย่างที่คิด” เสด็จอาเก้ามองกล่องของขวัญ เขาไม่ได้มีความคิดที่จะเปิดมันออก วางมือไว้บนโต๊ะและใช้นิ้วเคาะเบา ๆ
“ไม่ดูหน่อยหรือว่าด้านในเป็นสิ่งใด?” เฟิ่งชิงเฉินใช้มือทั้งสองข้างดันหน้าผากด้วยความเบื่อหน่าย
“ก็แค่ของขวัญชิ้นเดียวเท่านั้น จะดูหรือไม่ก็ไม่เห็นมีอะไรแตกต่างกัน” ของขวัญเป็นเพียงการแสดงทัศนคติ เสด็จอาเก้าไม่เห็นของขวัญเหล่านี้อยู่ในสายตา อย่างไรเสียมันก็เป็นแค่สิ่งของหรือไม่ก็เงิน
“เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่าสามารถดูว่าอีกฝ่ายเป็นอย่างไรจากของขวัญที่อีกฝ่ายให้มา เช่นนั้นเจ้าก็ลองเดาดูว่าตระกูลเฉินมอบสิ่งใดให้เจ้า และมีความต้องการในเรื่องใด?” ตระกูลเฉินไม่ลังเลที่จะเลี่ยงอันตราย ยอมขุ่นเคืองกับตระกูลลู่เพื่อเข้าหาเสด็จอาเก้า หากบอกว่าไม่มีความต้องการเช่นนั้นก็คงเสียสติไปแล้ว
ตระกูลเล็ก ๆ อย่างตระกูลเฉิน เสด็จอาเก้าไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตา แต่เมื่อเห็นความสนใจของเฟิ่งชิงเฉิน เขาจึงเอ่ยปากออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “สิ่งของที่ตระกูลเฉินให้มาคงเป็นสิ่งของที่ฉูดฉาด”
“ตลอดเส้นทางที่ผ่านมา มีของขวัญชิ้นไหนบ้างไม่ฉูดฉาดและล้ำค่า” เฟิ่งชิงเฉินกล่าวออกไปอย่างไม่พอใจ นางสงสัยว่าเสด็จอาเก้าเพียงแค่ต้องการหยอกล้อนางเล่นเท่านั้น ไม่ได้จริงจังแม้แต่น้อย
เสด็จอาเก้ากล่าวออกมาอีกว่า “ของขวัญจากตระกูลเฉิน มันล้ำค่ามากกว่าใครอื่น”
“จริงหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินขมวดคิ้ว เวลานั้นนางถึงเชื่อว่าเสด็จอาเก้าตอบคำถามของนางอย่างจริงจัง
“ไม่เชื่อเจ้าก็ลองเปิดดู”
เฟิ่งชิงเฉินเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เมื่อเปิดกล่องของขวัญออกมาดู พบว่าของขวัญที่อยู่ด้านในนั้นล้ำค่าอย่างที่เสด็จอาเก้ากล่าวไว้ แม้แต่เฟิ่งชิงเฉินก็อดไม่ได้ที่จะตกใจพร้อมกล่าวออกมาว่า “ตระกูลเฉินร่ำรวยเกินขนาดนี้เลยงั้นหรือ”
ของขวัญที่ได้มาตลอดเส้นทางถือว่าไม่ใช่น้อย ๆ แต่เมื่อรวบของขวัญทั้งหมดเข้าด้วยกันมันยังมีค่าไม่เท่าของขวัญของตระกูลเฉิน ไม่แปลกเลยที่เฟิ่งชิงเฉินจะตกใจถึงเพียงนี้
เสด็จอาเก้าไม่ตกใจเลยแม้แต่น้อย ยิ้มออกมาพร้อมกับกล่าวว่า “ดังนั้น ความต้องการของตระกูลเฉินจึงมากกว่าใคร”
พ่อค้าทำการค้าโดยหวังผลกำลัง พวกเขาไม่มีทางทำการค้าแบบขาดทุน
“เช่นนั้นเจ้าจะตอบรับเงื่อนไขของตระกูลเฉินหรือไม่?” เฟิ่งชิงเฉินกล่าวออกมาพร้อมกับปิดกล่อง
แม้ว่าของขวัญจากตระกูลเฉินจะล้ำค่า แต่หากคิดจะดึงดูดหัวใจของเฟิ่งชิงเฉิน เท่านี้มันยังไม่เพียงพอ
“ตอบรับ? ตอบรับสิ่งใด? ข้าต้องตอบรับสิ่งใดกับตระกูลเฉิน?” เสด็จอาเก้ากล่าวออกมาด้วยใบหน้าที่ไร้เดียงสา “ของขวัญที่ตระกูลเฉินมอบให้เป็นเพียงน้ำใจจากพวกเขา การที่ข้ารับไว้ก็ถือเป็นเกียรติของพวกเขา เจ้าคงไม่คิดว่าเมื่อข้ารับของขวัญจากพวกเขาแล้ว ข้าจะต้องทำในสิ่งที่พวกเขาต้องการ? เจ้าคิดว่าข้าเป็นใคร อีกอย่าง ต่อให้ข้ายินดีที่จะให้ความร่วมมือกับตระกูลเฉิน แต่ตระกูลเฉินจะเอาความกล้าที่ไหนมาขอร้องการช่วยเหลือจากข้า”
ตลอดเส้นทางที่ผ่านมา เสด็จอาเก้ารับของขวัญมาโดยตลอด มันเป็นการแสดงออกในเรื่องของการจัดการ อย่าเอามาปะปนกัน
“อ่า……” เฟิ่งชิงเฉินไม่มีอะไรจะพูดกับเสด็จอาเก้า สิ่งที่เสด็จอาเก้าพูดออกมานั้นถูกต้อง ของขวัญจากตระกูลเฉินเป็นเพียงน้ำใจอย่างหนึ่ง การที่เสด็จอาเก้ารับของขวัญจากตระกูลเฉินเป็นเพียงการตอบรับน้ำใจจากเขา หากพวกเขาต้องการให้เสด็จอาเก้าช่วยเหลือพวกเขาเพียงเพราะของสิ่งนี้ ยอมรับเงื่อนไขของตระกูลเฉิน เช่นนั้นตระกูลเฉินก็คงไร้เดียงสาเกินไป
“ท่านพ่อ ท่านคิดว่าเสด็จอาเก้าจะรับของขวัญจากพวกเราหรือไม่?” บนรถม้า สองพ่อลูกตระกูลเฉินนั่งอยู่ด้วยใบหน้าอันเคร่งขรึม ลูกชายคนโตของตระกูลเฉิน เฉินหมิงสงบใจไม่ได้ ถามออกมาด้วยความร้อนใจ
“เหตุใดจึงไม่รับ?” ผู้นำของตระกูลเฉินเงยหน้าขึ้น จ้องมองลูกชายคนโตของตระกูลเฉิน นัยน์ตาส่วนลึกที่ดุดันในยามปกติมีความโศกเศร้าแทรกเข้ามา
“หากเป็นเช่นนี้ ตระกูลเฉินของพวกเราก็ไม่ต้องกังวลแล้วงั้นหรือ? เสด็จอาเก้าจะยอมรับข้อเสนอของพวกเรางั้นหรือ?” เฉินหมิงไม่เห็นความมืดมนในดวงตาของพ่อ กล่าวออกมาด้วยใบหน้าแห่งความดีใจ
แม้ว่าตระกูลเฉินจะยอมทุ่มเทอย่างหนัก แต่หากมันสามารถทำให้บุคคลอันยิ่งใหญ่อย่างเสด็จอาเก้าเคลื่อนไหว เท่านั้นก็ถือว่าคุ้มค่า
“ไม่” ผู้นำตระกูลเฉินสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ส่ายหน้าและกล่าวออกมาว่า “หมิงเอ๋อร์ อย่ามองเรื่องนี้ง่ายเกินไป เสด็จอาเก้าจะต้องรับของขวัญจากพวกเราเป็นแน่ แต่นั่นเป็นเพียงทำให้เสด็จอาเก้ารับรู้ว่าในซานตงมีตระกูลเฉินอย่างพวกเราอยู่ แต่ในสายตาของเสด็จอาเก้า พวกเราก็ยังคงไม่ใช่อะไรทั้งนั้น”
หากต้องการให้เสด็จอาเก้าหันมาสนใจตระกูลเฉินเพียงเพราะของขวัญชิ้นเดียว เช่นนั้นก็คงไร้เดียงสาเกินไป ต่างบอกว่าพ่อค้านั้นเจ้าเล่ห์ แต่ในความเป็นจริง พวกขุนนางอาจเป็นฝั่งที่เจ้าเล่ห์เสียมากกว่า และความเจ้าเล่ห์ของพวกเขาก็ไม่สนใจว่าผู้อื่นจะต้องทนทุกข์ทรมานเพียงใด
“เป็นไปได้อย่างไร สิ่งที่พวกเรามอบให้เป็นถึงสวนฮวาหยวน เป็นหนึ่งในพำนักที่งดงามที่สุดในตงหลิง เป็นสิ่งที่ล้ำค่าในเมืองแห่งนี้ เสด็จอาเก้าจะมองไม่เห็นความดีหรือไม่สนใจพวกเราได้อย่างไร?” คุณชายคนโตของตระกูลเฉินคิดว่าแค่พวกเขามอบสิ่งสำคัญและล้ำค่าให้แก่เสด็จอาเก้า เสด็จอาเก้าก็ปฏิบัติต่อพวกเขาแตกต่างจากตระกูลอื่น ๆ การที่เสด็จอาเก้ารับของขวัญจากพวกเขาก็เหมือนกับยอมรับความต้องการของพวกเขา
“หมิงเอ๋อร์ เจ้าช่างไร้เดียงสายิ่งนัก สำหรับพวกเราแล้ว สวนฮวาหยวนเป็นเหมือนสมบัติที่สืบทอดจากบรรพบุรุษ สำหรับคนในซานตง นั่นคือตำหนักที่ดีที่สุด แต่ในสายตาของเสด็จอาเก้า สวนฮวาหยวนเป็นเพียงแค่สถานที่พักอาศัยชั่วคราวเท่านั้น ต่อให้ดีและล้ำค่าแล้วอย่างไร เสด็จอาเก้าไม่ได้ต้องการอยู่ที่ซานตงเป็นเวลานาน สำหรับเสด็จอาเก้า สวนฮวาหยวนเป็นเพียงตำหนักที่งดงามแต่ไร้ประโยชน์ อย่าว่าแต่สวนฮวาหยวนเลย ต่อให้ยกทั้งตระกูลเฉินไป พวกเราก็ยังไม่อยู่ในสายตาของเสด็จอาเก้าอยู่ดี อย่าลืมว่าเสด็จอาเก้าเป็นชินอ๋อง เป็นตัวตนต้องห้ามและไม่ใช่สิ่งที่พวกเราจะเอื้อมถึง”
คำพูดของผู้นำตระกูลเฉินทำให้เฉินหมิงถึงกับพูดไม่ออก หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเขาถึงกล่าวออกมาว่า “ท่านพ่อ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดท่านยังมอบสวนฮวาหยวนให้แก่เสด็จอาเก้า”
ผู้นำตระกูลเฉินยิ้มออกมา “หมิงเอ๋อร์ สวนฮวาหยวนไม่ได้เป็นเพียงแค่ตำหนักแห่งหนึ่งเท่านั้น แต่มันยังเป็นตัวแทนของตระกูลเฉินอย่างพวกเรา นี่เป็นแรงกดดันจากหลายฝ่ายที่เจ้าเมืองมอบให้ และเป็นเหตุผลที่ข้าไม่ยอมขายมันให้กับตระกูลลู่ทั้ง ๆ ที่มูลค่าของมันสูงเฉียดฟ้า สวนฮวาหยวนสามารถมอบให้ผู้อื่นได้ แต่ห้ามนำไปขาย นอกจากตระกูลเฉินของพวกเราจะล่มสลาย”
แม้ว่าเสด็จอาเก้าจะไม่สนใจสวนฮวาหยวน แต่สำหรับพวกเขาแล้วมันแตกต่างออกไป ข้ามอบสวนฮวาหยวนอันล้ำค่าที่สุดให้กับเสด็จอาเก้า สิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าตราบใดที่เสด็จอาเก้าต้องการ ตระกูลเฉินของพวกเราจะทำตามความปราณนาของเสด็จอาเก้าไม่ว่าเรื่องใด
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ผู้นำของตระกูลเฉินก็หยุดลง ถอนหายใจอย่างหนักอึ้งและพูดออกมาอีกครั้งว่า “หมิงเอ๋อร์ สวนฮวาหยวนเป็นมรดกจากบรรพบุรุษแห่งตระกูลเฉินของพวกเรา เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของตระกูลเฉิน ข้ายอมทำลายมันให้สิ้นซากดีกว่าที่จะปล่อยให้มันตกเป็นของตระกูลลู่ การที่ข้ามอบสวนฮวาหยวนให้แกเสด็จอาเก้า มันเป็นบ่งบอกว่าตระกูลเฉินยอมมอบแม้แต่รากฐานของบรรพบุรุษให้แก่เสด็จอาเก้า เช่นนั้นยังมีสิ่งใดที่ตระกูลเฉินของพวกเราจะมอบให้กับเสด็จอาเก้าไม่ได้”
“ท่านพ่อ ท่านหมายความว่า การที่พวกเรามอบสวนฮวาหยวนให้กับเสด็จอาเก้า มันเป็นการบอกว่าตระกูลเฉินของพวกเรายินดีที่จะทำทุกอย่างตามที่เสด็จอาเก้าต้องการ และมันก็ไม่ใช่การร้องขอจากเสด็จอาเก้า” เฉินหมิงถามอย่างระมัดระวัง
ผู้นำตระกูลเฉินพยักหน้า “การมอบสวนฮวาหยวนให้กับเสด็จอาเก้าถือเป็นการแสดงออกอย่างเด็ดขาดของตระกูลเฉิน ขอแค่เสด็จอาเก้าเต็มใจ ตระกูลเฉินของพวกเราก็พร้อมจะติดตามเสด็จอาเก้า เป็นหมากตัวหนึ่งที่อยู่ในมือของเสด็จอาเก้า เป็นเบี้ยที่ยอมทำทุกอย่าง ตระกูลเฉินของพวกเราเพียงแค่ต้องการทำสิ่งต่าง ๆ ให้กับเสด็จอาเก้า ไม่ใช่ขอร้องให้เสด็จอาเก้าทำเพื่อตระกูลเฉินของพวกเรา”
ผู้นำตระกูลเฉินหลับตาลงอย่างไร้เรี่ยวแรง หากไม่ใช่เพราะเขาถูกบีบบังคับมากเกินไป เขาคงไม่มีทางทำอะไรที่เสี่ยงเช่นนี้
การที่ยอมเป็นหมากด้วยตัวเอง แน่นอนว่าจะถูกลดความสำคัญ แต่เวลานี้เขาไร้ซึ่งหนทาง เจ้าเมืองซานตงเป็นผู้ซึ่งยิ่งใหญ่ที่สุดในเมือง หากต้องการต่อต้านตระกูลลู่ มีเพียงต้องพึ่งพาต้นไม้ที่ใหญ่กว่าเท่านั้น และเสด็จอาเก้าก็เป็นเพียงทางเลือกเดียวของพวกเขา
“ท่านพ่อ แบบนี้มันไม่อันตรายเกินไปงั้นหรือ เสด็จอาเก้าเป็นน้องชายของจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน เขา……” คำพูดหลังจากนี้เฉินหมิงไม่ได้พูดมันออกมา แต่ทั้งสองคนเข้าใจมันดี
ในตำแหน่งที่เป็นอยู่ และไม่ใช่ท่านอ๋องที่เกียจคร้าน หากกล่าวว่าเสด็จอาเก้าไม่มีความคิดใด ๆ อยู่ในหัวก็คงไม่มีใครเชื่อ
ผู้นำตระกูลเฉินยิ้มออกมาอย่างแปลกประหลาด “หมิงเอ๋อร์ ความมั่งคั่งได้มาด้วยความเสี่ยงไม่ใช่การร้องขอ เจ้ายังต้องเรียนรู้อะไรอีกมาก หากเป็นเพียงท่านอ๋องที่เกียจคร้าน ตระกูลเฉินของข้าก็คงไม่มีทางชายตามอง”
เป็นธรรมชาติของพ่อค้าที่จะไม่ทำการค้าที่ขาดทุน ตระกูลเฉินของพวกเขายอมจ่ายมากถึงเพียงนี้ แน่นอนว่าสิ่งที่ต้องการก็คงไม่ใช่สิ่งเล็กน้อย
เฉินหมิงรับรู้ถึงสิ่งที่พ่อเขาคิด เขาสูดลมหายใจเข้า เมื่อนึกถึงผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่ เลือดในร่างกายของเขาก็เดือดพล่าน……
เช่นเดียวกับความคิดของเสด็จอาเก้า สิ่งที่ตระกูลเฉินต้องการนั้นไม่ธรรมดา……