นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 1016 เชิญมางานเลี้ยง,ตระกูลลู่ร้อนรน
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 1016 เชิญมางานเลี้ยง,ตระกูลลู่ร้อนรน
ผู้ที่ต่อสู้เพื่ออำนาจแห่งจักรพรรดิมักมีเจตนาในการทำร้ายผู้อื่น จึงไม่ต้องพูดถึงหัวใจของการป้องกันผู้อื่น แม้มิตรภาพแรกเริ่มระหว่างเสด็จอาเก้ากับซีหลิงเทียนอวี่จะไม่มีเรื่องของอำนาจเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่เมื่อต่างฝ่ายต่างเติบโตขึ้น มิตรภาพก็ยิ่งลดลง และผลประโยชน์ก็จะเพิ่มมากขึ้น
นับตั้งแต่ขาของซีหลิงเทียนอวี่ดีขึ้น ซีหลิงเทียนอวี่ก็ไม่เคยพูดถึงคำสัญญาในวัยหนุ่มของพวกเขาเลย และบางครั้งเมื่อถึงพูดถึงเรื่องนี้ ซีหลิงเทียนอวี่ก็มักจะบ่ายเบี่ยง จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดเสด็จอาเก้าจึงสงสัยว่าซีหลิงเทียนอวี่จะสามารถทนต่อการล่อลวงของราชบัลลังก์ได้หรือไม่
ไม่เพียงแค่เสด็จอาเก้าเท่านั้นที่ไม่เชื่อ เฟิ่งชิงเฉินเองก็ไม่เชื่อซีหลิงเทียนอวี่เช่นกัน อย่าพูดเรื่องความเชื่อใจกับองค์รัชทายาทและนักการเมือง ภายใต้ตำแหน่งดังกล่าว ผู้คนจำนวนมากสังหารพี่น้องของตัวเอง บุญคุณแห่งการช่วยชีวิตจะไปมีค่าอะไร
เฟิ่งชิงเฉินนึกถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด “หากไปถึงขั้นนั้นจริง เจ้าจะทำเช่นไร?”
เวลานี้ซีหลิงเทียนอวี่ยังไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ก็ไม่มีใครรับประกันได้ว่าหากเขามีอำนาจอยู่ในมือ และคิดที่จะต้องการตำแหน่งนั้นมา เวลานี้ซีหลิงเทียนอวี่เข้าใกล้ตำแหน่งนั้นขึ้นทุกวัน แม้จะไม่มีการช่วยเหลือจากเสด็จอาเก้า แต่หากต้องการก้าวไปตำแหน่งนั้นก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้
“ไม่ทำอะไรทั้งนั้น ข้าไม่เคยเดิมพันไว้กับใครเพียงคนเดียวมาก่อน หากเทียนอวี่ต้องการตำแหน่ง มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายถึงขนาดนั้น” หากไปถึงขั้นนั้นจริง ก็อย่ามาหาว่าเขาไร้คุณธรรม
เขาเป็นคนช่วยชีวิตของซีหลิงเทียนอวี่เอาไว้ และเป็นคนสั่งให้เฟิ่งชิงเฉินรักษาขาทั้งสองข้างของซีหลิงเทียนอวี่ ซีหลิงเทียนอวี่มีวันนี้ได้ก็เพราะเขาเป็นคนวางแผนลับ ๆ ไว้ในดินแดนซีหลิง หากวันนั้นมาถึงจริง เขาก็ไม่รังเกียจที่จะบดขยี้และทำลายซีหลิงเทียนอวี่ทิ้ง
“เรื่องแบบนี้จำเป็นต้องวางแผนไว้ล่วงหน้า อำนาจและความมั่งคั่งดึงดูดหัวใจผู้คน ทำให้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา” พูดถึงตรงนี้ เฟิ่งชิงเฉินก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงหนานหลิงจิ่นสิง
ที่จริงจิ่นสิงก็ดีแล้ว เพียงแต่……ยังรู้สึกอดเสียใจไม่ได้
อย่างไรก็ตาม ชีวิตของสามัญชนกับองค์ชายนั้นต่างกัน สามัญชนไม่มีความคิดในเรื่องของการแย่งชิงตำแหน่ง แต่องค์ชายนั้นต่างกันออกไป พวกเขาห่างจากตำแหน่งนั้นเพียงแค่เอื้อม ขอแค่ก้าวขึ้นไปถึงตำแหน่งนั้น ณ บัดนั้นเขาก็จะกลายเป็นราชาและไม่ต้องคุกเข่าให้ใครอีกเลย
ไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงความเย้ายวนของอำนาจได้ อำนาจสามารถควบคุมชีวิตและความตายของผู้อื่นได้ มันช่างมีเสน่ห์เหลือเกิน……
การที่อยู่ในตำแหน่งสูง ไม่เพียงจะนำมาซึ่งอำนาจที่ไร้สิ้นสุดเท่านั้น แต่ยังทำให้หลุดพ้นจากกฎเกณฑ์ทั้งหลาย และมีอิสระมากกว่าสามัญชนทั่วไป
แม้เสด็จอาเก้าจะไม่มีอำนาจทางการทหารและการเมืองในซานตง แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ด้วยสถานะของเขาแล้ว เขายังเป็นผู้ซึ่งน่านับถือที่สุดของคนในซานตง
เสด็จอาเก้าเพียงแค่บอกว่าตนเองต้องการจัดงานวันเกิดให้เฟิ่งชิงเฉิน ผู้คนด้านล่างก็แห่กันมาหาเขา โดยไม่จำเป็นต้องให้เสด็จอาเก้าพูดอะไร ฮูหยินของเจ้าเมืองซานตงเดินทางมาหาด้วยตัวเอง กล่าวว่าการเสด็จครั้งนี้ของเสด็จอาเก้า ไม่ได้นำสาวรับใช้ติดตามมาด้วย ดังนั้นนางจึงขออาสาทำหน้าที่จัดการ และจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด
ด้วยการลงแรงโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินจะปฏิเสธได้อย่างไร ดังนั้นเรื่องทั้งหมดจึงปล่อยให้ฮูหยินของเจ้าเมืองซานตงเป็นผู้จัดการ เนื่องจากการเตรียมจัดงานวันเกิด มีเพียงผู้หญิงเท่านั้นที่รับรู้และเข้าใจมันอย่างชัดเจน
การเตรียมงานเลี้ยงเป็นไปอย่างราบรื่น เสด็จอาเก้าเป็นคนสั่งการ ฮูหยินของเจ้าเมืองเป็นผู้ดำเนินงาน ในซานตงใครจะกล้าไม่ไว้หน้า ตระกูลลู่รู้ว่านี่เป็นโอกาสดีที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่าย คิดจะใช้งานเลี้ยงในครั้งนี้ทำลายความเข้าใจผิดก่อนหน้านี้ทั้งหมด
แต่ตระกูลลู่เองก็เป็นคนฉลาด พวกเขาไม่ได้เข้าหาเสด็จอาเก้าโดยตรง พวกเขาเลือกที่จะเข้าหาฮูหยินของเจ้าเมือง ฮูหยินของเจ้าเมืองเป็นคนจัดการเรื่องทุกอย่างให้เสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉิน พวกเขาก็แค่ให้ความช่วยเหลือฮูหยินของเจ้าเมือง ไม่ว่าราคาที่ต้องจ่ายนั้นมากเพียงใด พวกเขาต้องจัดงานวัดเกิดของเฟิ่งชิงเฉินออกมาให้ดีที่สุด เพื่อทำให้เสด็จอาเก้าเห็นความจริงใจของพวกเขา
“แค่งานวันเกิด เหตุใดจึงต้องอาศัยผู้คนมากมายและทำให้ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้?” เฟิ่งชิงเฉินมองไปยังสวนฮวาหยวนอันหรูหรา อดไม่ได้ที่จะถามออกมา
แค่งานวันเกิดในครั้งนี้ก็ใช้เงินมากถึงหลายหมื่นตำลึง ซึ่งมันถือเป็นเงินการชดเชยงานวันเกิดทั้งหมดของนางตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมาได้เลย
“เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลกับเรื่องพวกนี้ ขอแค่เจ้าเข้าร่วมงานวันเกิดครั้งนี้ก็เพียงพอ” เมื่องานวันเกิดของเฟิ่งชิงเฉินใกล้เข้ามา สวนฮวาหยวนก็เต็มไปด้วยความวุ่นวาย ฝ่ายที่เกี่ยวข้องในการจัดงาน นั่งดื่มชาอยู่ในศาลา ไม่รู้จะใช้คำไหนมาบรรยายถึงความสุขสบายของพวกเขา
“ข้าเพียงคิดว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนไม่จำเป็น พวกเราเพียงต้องการทดสอบตระกูลลู่ เหตุใดจึงต้องทำให้ทั่วทั้งซานตงต้องมาวุ่นวายเพราะวันเกิดของข้า ผู้คนตามท้องถนนและตรอกซอกซอยต่างก็พูดถึงงานเลี้ยงวันเกิดของข้า หากเรื่องนี้แพร่ไปถึงเมืองหลวง พวกเขาอาจกล่าวหาเจ้าว่าเป็นพวกกดขี่ข่มเหงราษฎร” แม้ว่าจะเป็นงานวันเกิดอายุครบสิบห้าปี แต่มันก็ไม่จำเป็นต้องทำให้ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกว่ามันสิ้นเปลืองเกินไป
“สำหรับตระกูลของราชวงศ์แล้ว สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรเลย” สำหรับผู้ที่จะมาเป็นพระชายาอ๋องเก้า งานวันเกิดเช่นนี้ไม่มีค่าอะไรเลย อย่าว่าแต่ทั่วทั้งซานตงเลย ต่อให้เป็นทั่วจิ่วโจว เฟิ่งชิงเฉินก็มีค่ามากกว่านั้น
“แต่ข้า……”
“เจ้าทำไมงั้นหรือ” เสด็จอาเก้ารู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินคิดจะพูดอะไร เขาไม่รอให้นางเอ่ยปาก จึงพูดออกมาว่า “ชิงเฉิน สถานะของเจ้าสูงส่งกว่าคนในทั่วทั้งใต้หล้า เจ้าสามารถรับมันได้ การจัดงานวันเกิดให้เจ้าในซานตงเช่นนี้ ข้ายังคิดว่ามันไม่สมเกียรติของเจ้าเสียด้วยซ้ำ”
“นี่ยังไม่สมเกียรติอีกอย่างนั้นหรือ มาตรฐานของเจ้าสูงยิ่งนัก” เสด็จอาเก้ากล่าวออกมาด้วยความจริงจัง แต่เฟิ่งชิงเฉินกลับไม่คิดจริงจัง เพียงแค่รู้สึกว่าที่เสด็จอาเก้าพูดออกมาทั้งหมดนั้นเพราะความหลงใหลในตัวนาง ในสายตาของเสด็จอาเก้าไม่ว่านางจะทำอะไรก็ดีทั้งนั้น
แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร นี่ถือเป็นความปรารถนาของเสด็จอาเก้า แม้เฟิ่งชิงเฉินจะรู้สึกไม่ชอบใจเท่าไหร่ แต่นางก็พูดอะไรได้ไม่มาก
เสด็จอาเก้าเห็นเฟิ่งชิงเฉินไม่ใส่ใจในคำพูดของเขา เสด็จอาเก้าจึงตั้งใจพูดออกมาอีกครั้ง แต่ในตอนนั้นเขาเห็นคนรับใช้กำลังเดินเข้ามา เสด็จอาเก้าจึงหยุดคำพูดเหล่านั้นไว้ในใจชั่วคราว
“คารวะท่านอ๋อง คารวะแม่นางเฟิ่ง ท่านเจ้าเมืองมาขอพบขอรับ” คนรับใช้ก้าวเข้ามาทำความเคารพ จากนั้นกล่าวออกมาอย่างสุภาพ
เจ้าเมือง? มาเร็วยิ่งนัก
แสงแห่งความเย้ยหยันปรากฏขึ้นในดวงตาของเสด็จอาเก้า ลุกขึ้นพร้อมกล่าวว่า “พาเขาไปยังห้องหนังสือ”
“ขอรับ” คนรับใช้รีบตอบรับ ไม่กล้าชักช้า หันหลังและเดินจากไป ร่างกายของเขาเกร็งและดูจริงจังเป็นอย่างมาก
จนกระทั่งหลุดพ้นจากขอบเขตสายตาของเสด็จอาเก้า คนรับใช้ผู้นั้นถึงจะผ่อนคลาย คลำหัวใจของตนเองพร้อมพูดในใจว่า “ความสูงศักดิ์ของราชวงศ์นั้นแตกต่างจากสามัญชนทั่วไปอย่างชัดเจน เมื่ออยู่ต่อหน้าเสด็จอาเก้า แม้แต่หายใจก็ยังไม่กล้า”
“เจ้าเมืองมาในเวลานี้ หรือว่าจะมาเพื่อตระกูลลู่?” เฟิ่งชิงเฉินเองก็ยืนขึ้นพร้อมกับยกมุมริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย ยิ้มเหมือนสุนัขจิ้งจอก
“ข้าไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น แต่ความเป็นไปได้นั้นสูงมาก ตระกูลลู่เริ่มร้อนใจแล้ว” ไม่มีใครอื่นอยู่รอบ ๆ เสด็จอาเก้าไม่ได้ปกปิดความเย้ยหยันของเขาเลยแม้แต่น้อย
หลายวันที่ผ่านมา คนของตระกูลลู่ได้เข้ามาให้ความช่วยเหลือ เสด็จอาเก้าไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด เนื่องจากคนเหล่านั้นมีจำนวนมาก หากเขาต้องปฏิเสธไปทีละคน เช่นนั้นเขาคงไม่ต้องทำอะไร แค่ปฏิเสธเพียงอย่างเดียวก็หมดเวลาแล้ว
แต่คิดไม่ถึงว่า การที่เสด็จอาเก้าไม่เคลื่อนไหวกลับทำให้ตระกูลลู่คิดว่ามันคือความเมตตาของเสด็จอาเก้า หลายวันที่ผ่านมาคนของตระกูลลู่จึงมีความสุขเป็นอย่างมาก เหน็บแนมตระกูลเฉินทั้งภายในและภายนอก อย่าคิดว่าเสด็จอาเก้ารับสวนฮวาหยวนไว้แล้วจะต้องสนับสนุนเสด็จอาเก้า คนอย่างเสด็จอาเก้าจะเห็นค่าสวนฮวาหยวนเล็ก ๆ เช่นนี้ได้อย่างไร
ในซานตง ตระกูลลู่เป็นตระกูลที่มีอำนาจเหนือกว่า เมื่อเผชิญกับการเยาะเย้ยจากตระกูลลู่ ตระกูลเฉินทำได้เพียงแสร้งทำเป็นเจียมตัว หลายวันที่ผ่านมาพวกเขาไม่ออกจากบ้านเพราะเกรงว่าจะถูกคนอื่นดูถูกและเย้ยหยันทั้งซึ่งหน้าและลับหลัง
แต่แม้พวกเขาจะถูกเยาะเย้ย พวกเขาก็ยังไม่กล้าทำอะไร พวกเขาทำได้เพียงภาวนาอย่างเงียบ ๆ ในหัวใจ หวังว่าเสด็จอาเก้าจะเห็นความจริงใจและความภักดีของตระกูลเฉินอย่างพวกเขา และพวกเขาก็ไม่มีทางทำเช่นเดียวกับตระกูลลู่ ไม่มีวันแว้งกัดเมื่ออีกฝ่ายหมดประโยชน์……