นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 1017 มาเยือน,ก็แค่พ่อค้าเท่านั้น
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 1017 มาเยือน,ก็แค่พ่อค้าเท่านั้น
ลูกชายคนโตของตระกูลเฉิน เฉินหมิง กระวนกระวายจนกล่าวออกมาว่า “ท่านพ่อ เสด็จอาเก้าไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย หรือว่าพวกเราจะทิ้งรากฐานของบรรพบุรุษไปโดยเปล่าประโยชน์?”
“อะไรคือทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์ เวลานี้สวนฮวาหยวนเป็นของเสด็จอาเก้า เสด็จอาเก้ายินดีที่จะรับสวนฮวาหยวนไว้ เท่านั้นก็ถือเป็นโชคของตระกูลเฉินอย่างพวกเรา” ผู้นำตระกูลเฉินเองก็ร้อนใจ แต่เขาไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเรื่องสวนฮวาหยวน เขากังวลเกี่ยวกับทัศนคติของเสด็จอาเก้า
ไม่โลภทรัพย์สมบัติ จะทำให้หลีกเลี่ยงหายนะได้ เผชิญหน้ากับการร่วมมือกันระหว่างตระกูลลู่และเจ้าเมืองซานตง ตระกูลเฉินไม่อาจปกป้องสวนฮวาหยวนไว้ได้ มอบสวนฮวาหยวนให้เสด็จอาเก้า เขาไม่รู้สึกเสียดายเลยแม้แต่น้อย
“แต่……ตระกูลลู่ในเวลานี้ พวกเราควรทำเช่นไร?” เฉินหมิงเลิกพูดถึงเรื่องสวนฮวาหยวน เวลานี้เขากังวลเรื่องที่ตระกูลลู่ไปเกาะแข้งเกาะขาของเสด็จอาเก้าเพียงเท่านั้น
ตระกูลเฉินไม่อาจเทียบกับตระกูลลู่ได้ หากเขาเป็นเสด็จอาเก้า เขาจะต้องเลือกตระกูลลู่ และไม่แม้แต่จะชายตามองตระกูลเฉิน
“ตระกูลลู่จะเป็นเช่นไร เรื่องนี้พวกเราไม่อาจทำอะไรได้ เวลานี้สิ่งที่พวกเราทำได้มีเพียงแค่รอต่อไปเท่านั้น หมิงเอ๋อร์ คนผู้นั้นคือเสด็จอาเก้า ไม่สนว่าท้ายที่สุดแล้วเขาจะเลือกใคร พวกเราก็ทำได้เพียงแค่เชื่อมั่น” ใบหน้าของผู้นำตระกูลเฉินเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม หลับตาลงเพื่อระงับความกังวลในดวงตาของเขา
ฟ้า ฝน และน้ำค้างล้วนเป็นพระคุณของกษัตริย์ สำหรับพวกเขาแล้วเสด็จอาเก้าคือราชา ราชาผู้ควบคุมชีวิตแล้วความตายของพวกเขา ไม่ว่าเสด็จอาเก้าจะปฏิบัติต่อตระกูลเฉินเช่นไร ตระกูลเฉินทำได้เพียงยอมรับ แค่คิดขัดขืนก็ไม่อาจทำได้
การเต็มใจที่จะเป็นหมาก ไม่ใช่เป็นเพียงแค่คำพูดนั้นเท่านั้น พวกเขาต้องแสดงออกให้เห็นอย่างชัดเจน
“แต่แบบนี้พวกเราเป็นฝ่ายถูกกระทำเกินไป” เฉินหมิงยังเด็ก เขาไม่เต็มใจที่จะมอบชะตากรรมของตระกูลเฉินไว้ในมือของเสด็จอาเก้าที่ไม่เคยเห็นตระกูลเฉินอยู่ในสายตา
“เป็นฝ่ายถูกกระทำก็ยังดีกว่าหมดโอกาส เวลานี้ยิ่งพวกเราเคลื่อนไหวมากเท่าไหร่ก็มีแต่จะทำให้เสด็จอาเก้ารู้สึกต่อต้านมากขึ้นเท่านั้น หมิงเอ๋อร์ เจ้าจำเอาไว้ ตระกูลเฉินของพวกเรายินดีที่จะเป็นหมากในมือของเสด็จอาเก้า ไม่ว่าเสด็จอาเก้าจะมีทัศนคติเช่นไร ในฐานะหมากก็ต้องควรใช้ความรู้สึกของผู้เป็นหมาก เว้นแต่เสด็จอาเก้าจะเอ่ยปากออกมา ไม่เช่นนั้นพวกเราก็ไม่สามารถทำอะไรได้ทั้งนั้น เข้าใจไหม?” ในเมื่อเต็มใจเป็นหมาก ต่อให้เสด็จอาเก้าจะไม่ยอมรับหรือเห็นค่าพวกเขา พวกเขาก็ทำได้เพียงยอมรับกับสิ่งที่ตนเองเป็น ไม่สามารถต่อต้านหรือปฏิเสธการตัดสินใจของเสด็จอาเก้าได้
ผู้มีอำนาจอันยิ่งใหญ่เกลียดผู้ที่มีความคิดเป็นอิสระและดื้อรั้นอย่างยิ่ง หากตระกูลเฉินต้องการมีชีวิตอยู่ต่อไป พวกเขาก็ทำได้เพียงทุ่มสุดตัวเท่านั้น
แม้เฉินหมิงจะยังไม่ค่อยเข้าใจ แต่เขาก็คุ้นชินกับคำพูดของพ่อ เขารับปากโดยไม่พูดอะไร นี่คือความเห็นของผู้นำตระกูลเฉิน เฉินหมิงยอมรับด้วยความชื่นชม
แม้ว่าลูกชายคนนี้ของเขายังขาดประสบการณ์และความตรากตรำ แต่เขาก็เป็นคนที่ฟังคำแนะนำของผู้อื่น หากให้เวลาเขาสั่งสมประสบการณ์อีกสองสามปี เขาจะรักษาตระกูลเฉินไว้ได้อย่างไม่มีปัญหา
พ่อและลูกชายของตระกูลเฉินกระวนกระวายใจเป็นอย่างมาก เจ้าเมืองซานตงเองก็เข้ามาในห้องหนังสือด้วยความร้อนใจ เขารอในห้องหนังสือมานานกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของเสด็จอาเก้า
ยิ่งรอ ความโกรธในใจของเจ้าเมืองเสด็จอาเก้าก็ยิ่งเพิ่มขึ้น ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นเสนาบดีใหญ่ที่รับผิดชอบในการดูแลชายแดน ด้วยสถานะของเขา อย่าว่าแต่ไม่มีใครในซานตงกล้าแตะต้องเขาเลย ต่อให้เขาไปที่คอกม้า ขุนนางในเมืองหลวงเหล่านั้นก็ยังต้องเกรงใจเขา จักรพรรดิเองก็ไม่มีทางปล่อยให้เขาต้องรอนานถึงเพียงนี้ แต่……
เจ้าเมืองซานตงอดคิดไม่ได้ หรือว่าเขาทำอะไรให้เสด็จอาเก้าไม่พอใจโดยที่ไม่รู้ตัว ไม่เช่นนั้นเสด็จอาเก้าจะทำให้เขาเสียหน้าถึงเพียงนี้ได้อย่างไร แต่หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เจ้าเมืองซานตงก็คิดไม่ออกว่าเหตุผลดังกล่าวนั้นคืออะไร
เขาคิดว่าตนเองให้เกียรติและเคารพเสด็จอาเก้าเป็นอย่างมาก เมื่อเผชิญหน้ากับการละเมิดกฎของเสด็จอาเก้าครั้งก่อน เขาก็ทำเป็นหลับตาข้างหนึ่ง ต้องการปรนนิบัติรับใช้เสด็จอาเก้าเป็นอย่างดีจนกระทั่งเสด็จอาเก้าจากไป เขาก็ยังคงดำรงตำแหน่งของเขา แต่คิดไม่ถึงว่า……
เขาทำดีกับเสด็จอาเก้าถึงเพียงนี้ แต่เสด็จอาเก้ากลับไม่ไว้หน้าเขาเลยแม้แต่น้อย เมื่อคิดอย่างนั้น เจ้าเมืองซานตงก็ยิ่งรู้สึกไม่พอใจเสด็จอาเก้ายิ่งขึ้น
ลูกหลานของจักรพรรดิแล้วอย่างไร ที่นี่คืออาณาเขตของเขา ต่อให้เสด็จอาเก้าจะมาสถานะสูงส่งเพียงใดก็ทำอะไรเขาไม่ได้ ยิ่งคิดเจ้าเมืองซานตงก็ยิ่งโกรธ เวลานี้เขานั่งไม่อยู่อีกต่อไป เขาลุกขึ้นยืนด้วยนิสัยของเขาและเดินไปเดินมาอยู่ในห้องหนังสือ
แต่ในตอนที่เขากำลังเดินไปมาอย่างร้อนใจ ด้านหลังของเขาก็มีเสียง เอี๊ยดอ๊าด ดังขึ้น เจ้าเมืองซานตงหันกลับไปก็เห็นเสด็จอาเก้ายืนอยู่หน้าประตู
เจ้าเมืองซานตงผงะโดยไม่รู้ตัว เสด็จอาเก้ายืนอยู่ที่นั่นเพื่อไม่ให้ผู้คนเพิกเฉยต่อเขา ความแข็งแกร่งและความสง่างามที่หลั่งออกมาจากร่างกายของเขาทำให้ผู้คนไม่กล้ามองเขาโดยตรง
เจ้าเมืองซานตงตกใจจนเหงื่อเย็นไหลไปทั่วร่างกาย สลัดความคิดทั้งหมดในใจออกไป และโค้งคำนับด้วยความเคารพ “ข้าน้อยขอคารวะเสด็จอาเก้า”
“อื้อ” ไม่มีความสุภาพเลยแม้แต่น้อย และไม่มีการพูดถึงเรื่องที่ปล่อยให้เจ้าเมืองซานตงต้องรอนาน เสด็จอาเก้าเดินตรงเข้ามา นั่งลงตรงตำแหน่งของเขา “ไม่รู้ว่าเจ้าเมืองมาหาข้าด้วยเหตุอันใด?”
“กราบทูลท่านอ๋อง ข้าน้อยมาด้วยเรื่องของงานเลี้ยงวันเกิดแม่นางเฟิ่ง” เจ้าเมืองซานตงควบคุมสติอารมณ์ของเขาและตอบกลับไปอย่างใจเย็น
“งานเลี้ยงวันเกิด? มีอะไรงั้นหรือ?” เสด็จอาเก้ายกเปลือกตาขึ้น แสดงความไม่พอใจ ปล่อยให้เจ้าเมืองซานตงยืนอยู่อย่างนั้น ไม่ยอมให้เขานั่งลง
ไม่มีคำเชื้อเชิญจากเสด็จอาเก้า เจ้าเมืองซานตงก็ไม่กล้านั่ง เขาทำได้เพียงระงับความไม่พอใจและยืนอย่างเชื่อฟัง “ท่านอ๋อง ข้าเพิ่งจะรู้มาว่าในงานเลี้ยงวันเกิดของแม่นางเฟิ่ง ท่านอ๋องได้เชิญเหล่าพ่อค้าในเมืองมาด้วย แบบนี้จะเป็นการไม่เหมาะหรือไม่??”
“ไม่เหมาะ? ไม่เหมาะอย่างไร?” เสด็จอาเก้าขยับเปลือกตาเบา ๆ เพื่อปกปิดความเย้ยหยันในดวงตาของเขา
ซานตงแห่งนี้เป็นของตระกูลลู่จริง ๆ เจ้าเมืองผู้ยิ่งใหญ่ถึงกับออกหน้ามาพูดเพื่อตระกูลลู่แม้ว่าต้องรอเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง เขาดูถูกตระกูลลู่มากไปจริง ๆ
หากทำดีด้วยแล้วไม่ดีก็เปลี่ยนเป็นคำขู่ ตระกูลลู่แห่งซานตงนี่มีนิสัยเหมือนงูเจ้าถิ่นจริง ๆ
“ท่านอ๋อง แม่นางเฟิ่งสูงส่งถึงเพียงนี้ จะปล่อยให้เหล่าพ่อค้าเข้าร่วมงานเลี้ยงวันเกิดได้อย่างไร” เจ้าเมืองซานตงหยิบยกเฟิ่งชิงเฉินขึ้นมา เหยียบย่ำเหล่าพ่อค้า ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการปูทางเพื่อสิ่งที่จะพูดต่อไป
“พ่อค้าทำไมงั้นหรือ ข้าเดินทางมาซานตงในครั้งนี้ก็เพื่อหาวัสดุในการสร้างสุสานจักรพรรดิ ต้องการหิน ต้องหารไม้ หากไม่คบค้ากับพวกพ่อค้า เช่นนั้นข้าจะไปหาวัสดุได้จากที่ใด?”
สิ่งที่เจ้าเมืองซานตงกำลังรออยู่คือคำพูดนี้ของเสด็จอาเก้า เมื่อได้ยินเช่นนั้น เขายิ้มและตอบกลับไปทันใด “ท่านอ๋องพูดถูก ข้าน้อยนั้นโง่เขลา เพียงแต่……”
เมื่อเจ้าเมืองซานตงพูดมาถึงตรงนี้ เสด็จอาเก้าก็รู้แล้วว่าเขาต้องการจะใช้เล่ห์เหลี่ยมอะไร แต่เสด็จอาเก้าก็ทำเป็นไม่รู้และกล่าวออกไปว่า “เพียงแต่อะไร?”
“กราบทูลท่านอ๋อง วัสดุในการก่อสร้างที่ดีที่สุดในซานตงนั้นล้วนมาจากตระกูลลู่ ดูเหมือนว่างานเลี้ยงครั้งนี้ตระกูลลู่จะตกหล่นไป” ความจริงคืออะไรทุกคนต่างรู้อยู่แก่ใจ ตระกูลลู่ ในฐานะตระกูลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในซานตง ตระกูลไหนจะตกหล่นก็ได้ แต่ไม่ใช่ตระกูลเขา แค่คำว่าตกหล่นเพียงคำเดียวก็ทำให้เสด็จอาเก้ามีบันไดก้าวเดินต่อไป
“ตระกูลลู่? ตกหล่นไปอย่างนั้นหรือ?” เสด็จอาเก้าแสร้งทำเป็นไม่แน่ใจ แต่ก็ยิ้มอย่างเย้ยหยันอยู่ในหัวใจของเขา
เจ้าเมืองซานตงตัวดี ใช้ประโยชน์จากคำว่าตกหล่นมาบังคับให้เขาชดใช้ให้ตระกูลลู่ น่าเสียดาย……เขาไม่เหมือนกับคนอื่นที่จะยอมไว้หน้าเจ้าเมืองซานตง
“กราบทูลท่านอ๋อง ในบัตรเชิญไม่มีรายชื่อของตระกูลลู่อยู่ขอรับ” เจ้าเมืองซานตงบังคับให้เสด็จอาเก้าเชิญตระกูลลู่มาร่วมงาน
เจ้าเมืองซานตงรู้ว่าเสด็จอาเก้าและตระกูลลู่ไม่เคยมีความติดต่อกันมาก่อน แต่ไม่มีปัญหาเรื่องความขัดแย้ง การที่เสด็จอาเก้าจงใจไม่เชิญตระกูลลู่มาในครั้งนี้มันก็ไม่น่าใช่เรื่องที่ยิ่งใหญ่อะไร
ในฐานะขุนนางแห่งซานตง เขาก็ยังพอมีเกียรติและมีหน้ามีตาอยู่บ้าง เสด็จอาเก้าคงจะเห็นแต่หน้าของเขา แต่คิดไม่ถึงว่า……
เสด็จอาเก้าไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย ยิ้มออกมาอย่างเยือกเย็น “ในเมื่อตกหล่นก็ปล่อยมันไป”
ความหมายจากคำพูดของเสด็จอาเก้าได้บ่งบอกอย่างชัดเจนแล้วว่าเขาไม่คิดจะเชิญตระกูลลู่มาตั้งแต่แรก เจ้าเมืองซานตงรู้อยู่แก่ใจ แต่เขาก็ไม่ยินดีที่จะถอย เขาแสร้งทำเป็นไม่รู้และพูดอย่างหน้าด้าน “ท่านอ๋อง ในเมื่อตระกูลลู่ตกหล่นจากรายชื่อ เช่นนั้นท่านควรจะส่งบัตรเชิญไปให้ตระกูลลู่สักใบเพื่อเป็นการชดเชยไม่ใช่หรือ?”
“ชดเชย?” ราวกับเสด็จอาเก้าได้ยินเรื่องตลกอะไรบางอย่าง เขาพ่นลมหายใจออกมาอย่างเยือกเย็น “แม้ว่าตระกูลลู่จะยิ่งใหญ่ในซานตง แต่ก็เป็นเพียงแค่ตระกูลของพ่อค้าเท่านั้น ตกหล่นก็คือตกหล่น ทำไมงั้นหรือ? เจ้าต้องการให้ข้าเป็นคนเขียนจดหมายเชิญพวกเขาด้วยตนเองหรืออย่างไร?”
“ข้าน้อยไม่อาจ ข้าน้อยไม่อาจ” เจ้าเมืองซานตงรับรู้ถึงความโกรธจากน้ำเสียงของเสด็จอาเก้า เขารีบก้มหน้ารับผิดทันที
“ไม่กล้าก็ดีแล้ว จำเอาไว้ เจ้าคือเจ้าเมืองซานตง ไม่ใช่ผู้ดูแลตระกูลลู่” เสด็จอาเก้าพูดจบก็ทิ้งเจ้าเมืองซานตงที่เหงื่อท่วมหน้าผากไว้เพียงลำพัง สะบัดแขนเสื้อและจากไป……
ซานตงเป็นของตระกูลลู่จริง ๆ แค่บัตรเชิญเพียงใบเดียวตระกูลลู่ยังกล้าบอกให้เจ้าเมืองซานตงคุยกับเขาถึงที่ ความกล้าของพวกเขาไม่ธรรมดา!