นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 1020 ก่อไฟ,มันก็มีคนที่เห็นใจผู้อื่นแม้ตนเองลำบากกว่า
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 1020 ก่อไฟ,มันก็มีคนที่เห็นใจผู้อื่นแม้ตนเองลำบากกว่า
ตระกูลลู่ไม่เคยคิดจะทำลายงานวันเกิดของเฟิ่งชิงเฉินมาก่อน ในงานวันเกิดของเฟิ่งชิงเฉิน เสด็จอาเก้าได้เชิญเหล่าคนมีหน้ามีตาทั้งหมดในซานตง มีเพียงตระกูลลู่เท่านั้นที่ตกหล่น หากเกิดปัญหาอะไรในงานวันเกิดของเฟิ่งชิงเฉิน ตระกูลลู่จะตกเป็นผู้ต้องสงสัยโดยปริยาย แต่……
โอกาสมาอยู่ตรงหน้าเช่นนี้ ตระกูลลู่เองก็ไม่มีทางปล่อยหลุดมือไปง่าย ๆ
งานวันเกิดดำเนินไปอย่างราบรื่น เนื่องจากมีคนเฉกเช่นเสด็จอาเก้าอยู่ในงาน หลังจากที่เขาปรากฏตัวออกมาในงานเลี้ยง แม้จะนั่งนิ่งโดยไม่พูดอะไรสักคำ แต่เหล่าขุนนางก็ไม่กล้าเคลื่อนไหวหรือกลับบ้านก่อนเวลาอันควร
ส่วนเจ้าเมืองซานตง? ต่อให้เขาไม่พอใจแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถแสดงออกมาให้เห็นได้ อีกอย่าง เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาอันเยือกเย็นของเสด็จอาเก้า เขากลัวจนไม่กล้าแม้แต่แสดงสีหน้าของความสงสัย
สวนฮวาหยวนครื้นเครงเป็นอย่างมาก พวกผู้ชายดื่มกินกันอย่างสนุกสนาน แม้ว่าการมีอยู่ของเสด็จอาเก้าจะทำให้บรรยากาศค่อนข้างเยือกเย็น แต่เวลานี้อย่างน้อยมันก็เป็นเวลาแห่งความสนุกสนาน
เฟิ่งชิงเฉินให้การต้อนรับกับแขกผู้หญิงที่เข้ามาในสวนฮวาหยวนเป็นอย่างดี แต่ผู้หญิงในกลุ่มฮูหยินของเจ้าเมืองซานตง พวกนางต่างพากันดูถูกเฟิ่งชิงเฉิน มองว่านางเป็นผู้หญิงเจ้าเล่ห์ ที่มีทุกวันนี้ได้ก็เพราะบารมีของเสด็จอาเก้า
แต่ถึงจะดูถูกก็ทำได้เพียงดูถูกเท่านั้น พวกนางไม่อาจแสดงออกมาให้เห็นได้ ทำได้เพียงพูดประจบสอพลอออกมาเป็นครั้งคราว ซึ่งแตกต่างจากคุณหนูของตระกูลขุนนางเหล่านั้น
ความรู้สึกที่พวกนางมีต่อเฟิ่งชิงเฉินนั้นแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง แม้จะรู้สึกดูถูก แต่พวกนางก็รู้สึกอิจฉาเช่นกัน
สุภาพบุรุษผู้สง่างามอย่างเสด็จอาเก้า เขาคือชายผู้มีเกียรติสูงส่ง แต่กลับมาพัวพันกับผู้หญิงเช่นนี้ มันน่าขยะแขยงเหลือเกิน ผู้หญิงที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ทุกคนต่างต้องการเข้ามาแทนที่ หากพวกนางได้มาอยู่ข้างกายเสด็จอาเก้า ไม่ว่าชื่อเสียงหรือตำแหน่งก็สามารถหาได้ตามที่ต้องการ
อีกพวกหนึ่งคือพวกของฮูหยินและคุณหนูของตระกูลพ่อค้า พวกนางคิดถึงความเป็นไปได้ในทุกวิถีทางของเฟิ่งชิงเฉิน แสร้งทำเป็นอวดฉลาด เหล่าคุณหนูของตระกูลพ่อค้าเองก็ดูเหมือนว่าต้องการปีนขึ้นมาอยู่ข้างกายของเสด็จอาเก้า แต่พวกนางไม่กล้าที่จะอิจฉาเฟิ่งชิงเฉิน เนื่องจากหวังว่าจะใช้เฟิ่งชิงเฉินให้เป็นประโยชน์ในการปีนขึ้นไปสู่ตำแหน่งนั้น
ไม่ต้องพูดถึงตัวตนของเสด็จอาเก้า เพียงแค่รูปลักษณ์ของเขาก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้หญิงตกหลุมรัก สำหรับความคิดของคุณหนูเหล่านี้ เฟิ่งชิงเฉินรู้ดีอยู่แก่ใจ เพียงแค่ไม่พูดออกมาเท่านั้น
อย่างไรคนพวกนี้ก็ไม่มีโอกาส อย่าว่าแต่ปีนขึ้นไปบนร่างกายของเสด็จอาเก้าเลย ผู้หญิงพวกนี้แค่ได้เห็นหน้าเสด็จอาเก้าอีกสักครั้งยังเป็นเรื่องยาก หากเสด็จอาเก้าสามารถปีนป่ายได้ง่ายถึงเพียงนั้น เหล่านางสนมในคอกม้าคงไม่เกลียดจนขูดเลือดขูดเนื้อตนเอง
เสด็จอาเก้ามีชื่อเสียงในเรื่องของการซื่อสัตย์ต่อผู้หญิง เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามเกี่ยวกับเสด็จอาเก้าจากผู้หญิงเหล่านี้ เฟิ่งชิงเฉินไม่รู้สึกกดดันเลยแม้แต่น้อย นางบอกและเล่าความจริงทุกอย่างต่อพวกนางอย่างสบายใจ
ส่วนจะมีประโยชน์หรือไม่ เรื่องนี้นางไม่จำเป็นต้องใส่ใจ
การอยู่ร่วมกับผู้หญิงกลุ่มหนึ่ง พูดคุยกับพวกนางที่มีนิสัยตีสองหน้านั้นไม่ใช่เรื่องเจ็บปวดแบบธรรมดา เฟิ่งชิงเฉินระงับอารมณ์อันเบื่อหน่าย จึงบอกให้คนรับใช้นำขนมหวานมาเติม แต่ในตอนนั้นเอง สาวใช้ผู้หนึ่งก็ตะโกนออกมาจากด้านนอกว่า “แย่แล้ว แย่แล้ว ไฟไหม้ ไฟไหม้”
เฟิ่งชิงเฉินเงยหน้าไปมอง นางเห็นกลุ่มควันหนาทึบพวยพุ่งขึ้นอยู่ตรงหน้า และในไม่ช้าก็เกิดเปลวไฟขึ้น
“ด้านนอกเกิดเพลิงไหม้ เร็วเข้า รีบหนีเร็วเข้า” เปลวเพลิงลุกลามไปรอบๆ อย่างแปลกประหลาด และหลังจากนั้นไม่นาน ควันหนาทึบก็ลอยขึ้นจากหลายแห่งนอกบ้าน
สวนฮวาหยวนเต็มไปด้วยผู้หญิง ผู้หญิงเหล่านี้ไม่มีความสามารถอื่นนอกจากร้องตะโกน ดีแต่สร้างความวุ่นวายด้วยเสียงกรีดร้องของพวกนาง
ทันใดนั้นสวนฮวาหยวนก็ตกอยู่ในความโกลาหล เหล่าคุณหนูและฮูหยินต่างลุกขึ้นและวิ่งด้วยความตื่นตระหนก แต่ละคนตะโกนออกมาดังลั่น วิ่งออกไปด้านนอกอย่างโกลาหล อัดแน่นอยู่หน้าประตู ในขณะที่คนรับใช้ซึ่งอยู่ด้านนอกกำลังยุ่งอยู่กับการดับไฟ
เฟิ่งชิงเฉินเห็นฉากที่เกิดขึ้น นางตบโต๊ะด้วยความไม่พอใจ “เงียบเดี๋ยวนี้”
ไม่รู้ว่ารัศมีที่แพร่ออกมาจากร่างกายของเฟิ่งชิงเฉินนั้นรุนแรงเกินไปหรือว่าอย่างไร แต่มันก็สามารถทำให้หญิงสาวเหล่านั้นสงบสติอารมณ์ลงได้ คำพูดของเฟิ่งชิงเฉินทำให้ทุกคนสงบลง แต่ละคนหันมามองที่เฟิ่งชิงเฉิน เวลานี้เฟิ่งชิงเฉินเองก็รู้สึกโกรธเช่นกัน นางตะโกนออกมาว่า “ดูสภาพของพวกเจ้าในตอนนี้ ไฟเพิ่งจะลุกไหม้ขึ้นมาได้ไม่นาน ยังไม่ทันลามเข้ามาด้านในเลยด้วยซ้ำ แต่พวกเจ้ากลับตื่นตระหนก สร้างความวุ่นวายไปทั่ว ข้าว่าเปลวไฟคงไม่ทันได้ทำอะไรพวกเจ้า พวกเจ้าก็ตกใจตายกันหมดแล้ว”
เปลวไฟที่ลุกไหม้ขึ้นในเวลานี้มันเป็นสิ่งซึ่งแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก ในฐานะเจ้าบ้าน เฟิ่งชิงเฉินไม่ต้องการให้เกิดอุบัติเหตุใด ๆ ขึ้นกับแขกเหล่านี้ ไม่เช่นนั้นนางจะต้องขายหน้า ทำให้นางหลีกเลี่ยงในการใช้คำพูดที่รุนแรงไม่ได้ แต่นางก็ไม่อยากให้คุณหนูพวกนี้ไม่พอใจเช่นกัน
“ฮึ เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร มีสิทธิ์อะไรมาสั่งสอนพวกข้า หากไม่ใช่เพราะเจ้า พวกข้าจะมาเจอกับเรื่องพวกนี้ได้อย่างไร” ลูกสาวของเจ้าเมืองเป็นผู้นำของผู้หญิงเหล่านั้น แต่เมื่อเฟิ่งชิงเฉินปรากฏตัวออกมา นางก็เป็นได้เพียงหดหัวอยู่ในกระดอง ตอนแรกนางก็ไม่ชอบหน้าเฟิ่งชิงเฉินอยู่แล้ว แต่นางก็ทำได้เพียงอดทน เมื่อถูกเฟิ่งชิงเฉินตวาดเช่นนี้ นางก็ลืมคำสั่งที่พ่อของนางกำชับไว้ในทันที
เมื่อเห็นท่าทางอันเย่อหยิ่งของลูกสาวเจ้าเมือง เฟิ่งชิงเฉินทำแค่เพียงส่ายหน้า นางไม่มีความจำเป็นต้องไปโกรธคนพวกนี้ แต่คำพูดของลูกสาวเจ้าเมืองประโยคนี้ กลับเป็นเหมือนสิ่งที่แจ้งเตือนนาง
เฟิ่งชิงเฉินยิ้มออกมาเล็กน้อยพร้อมกับหันไปพูดกับทุกคนว่า “ฮูหยินทุกท่าน พร้อมกับเหล่าคุณหนูทั้งหลาย ชิงเฉินต้อนรับได้ไม่ดีพอ ทุกท่านได้โปรดให้อภัยด้วย เกิดเพลิงไหม้ที่สวนฮวาหยวนกะทันหัน เกรงว่าอยู่ที่นี่ต่อไปคงจะไม่ปลอดภัย ดังนั้นขอเชิญทุกท่านค่อย ๆ ออกไปจากที่นี่ทีละคน”
หลังจากความวุ่นวาย ควันที่หนาทึบก็กลายเป็นเปลวไฟ แต่คนรับใช้ทำทุกอย่างได้ทันท่วงที เปลวไฟเหล่านั้นจึงไม่ได้ลุกไหม้ขึ้นมา ทุกคนรู้ว่าเมื่อสักครู่ตนเองเสียสติไป จึงพยายามควบคุมและสงบสติอารมณ์พร้อมกับฝืนยิ้มออกมา
ลูกสาวเจ้าเมืองยังอยากพูดอะไรออกมา แต่ก็ถูกฮูหยินของเจ้าเมืองห้ามเอาไว้ เฟิ่งชิงเฉินบอกให้ทยอยออกไปจากที่นี่ นางในฐานะฮูหยินของเจ้าเมือง แน่นอนว่าต้องเป็นคนแรกที่ออกไป ฮูหยินจูงมือลูกสาวของนางไปด้านหน้า คนอื่นที่เห็นเช่นนั้นก็ตามกันไปติด ๆ
เรื่องราวดำเนินมาถึงจุดนี้แล้ว ทุกอย่างอยู่ในการควบคุม แต่ในตอนนั้นเอง ชายชุดดำสวมหน้ากากกลุ่มหนึ่ง ไม่รู้ว่าพวกเขามาจากที่ใด เวลานี้พวกเขาบุกเข้ามาในสวนฮวาหยวนโดยตรง
“หลีกไป ใครขวาง ฆ่าให้หมด” ชายในชุดดำตะโกนอย่างเคร่งขรึม และเหล่าฮูหยินที่สงบสติอารมณ์ได้แล้วก็ตื่นตระหนกขึ้นมาอีกครั้ง ความกล้าหาญอันน้อยนิดปรากฏขึ้นมาตรงขอบตา ดวงตาทั้งสองปิดลงและหมดสติไป
รูม่านตาของเฟิ่งชิงเฉินหดตัวลงในทันที ยกเท้าขึ้นเตรียมที่จะหนี แต่เมื่อนึกถึงสภาพของตนเองในตอนนี้ ประกอบกับความเร็วของอีกฝ่าย เฟิ่งชิงเฉินก็หยุดความคิดนั้นไว้
ดูจากท่าทางของคนพวกนี้แล้ว เป้าหมายของพวกเขาก็คือนาง และจากเส้นทางที่พวกเขาบุกเข้ามา นางไม่มีทางหนีเลยแม้แต่น้อย
“อร๊าย……ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยด้วย” คนอื่นเองก็ไม่ได้ดีไปกว่านาง แต่ละคนนำมือขึ้นมากุมศีรษะพร้อมกับร้องตะโกน
หลังจากชายชุดดำกลุ่มนี้บุกเข้ามา พวกเขาไม่ได้สังหารใครแม้แต่คนเดียว เมื่อพบกับผู้ที่ขวางทาง พวกเขาก็แค่เตะหรือถีบออกไปเท่านั้น ชายชุดดำพวกนี้ไม่สนใจความวุ่นวายที่เกิดขึ้นด้านนอก พวกเขาตรงเข้ามาด้านใน เมื่อเห็นเฟิ่งชิงเฉินซึ่งกำลังยืนอยู่ตรงกลางด้วยความสงบและสง่างาม พวกเขาก็หยุดและถามออกมาโดยไม่แน่ใจ “เฟิ่งชิงเฉิน?”
“ใช่ ข้าเอง และพวกเจ้าเป็นใคร?” รอบ ๆ ของเฟิ่งชิงเฉินไม่มีผู้ใด มีเพียงสาวใช้สองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังของนางด้วยใบหน้าอันซีดขาว ด้วยสภาพของพวกนาง อย่าว่าแต่จะปกป้องเฟิ่งชิงเฉินเลย แค่ไม่เป็นตัวถ่วงของนางก็เกินพอแล้ว
ส่วนคนอื่น ๆ ในช่วงที่ชายชุดดำเข้ามาล้อมเฟิ่งชิงเฉินไว้ พวกนางก็ใช้ช่วงเวลาดังกล่าวในการล้มลุกคลุกคลานหนีออกไป ไม่สนใจว่าเฟิ่งชิงเฉินจะเป็นหรือตาย เมื่อเทียบกับความตายที่อยู่ตรงหน้าความสัมพันธ์ที่ดี ความเป็นมิตร ทุกอย่างล้วนไม่สำคัญ
ชายชุดดำไม่พูดจาไร้สาระกับเฟิ่งชิงเฉิน หลังจากที่พวกเขาแน่ใจแล้วว่าเป็นเฟิ่งชิงเฉิน ชายชุดดำผู้หนึ่งก็ยกมีดขึ้นและพุ่งมาด้านหน้า “ในเมื่อเจ้าคือเฟิ่งชิงเฉิน เช่นนั้นเจ้าก็ตายไปเสียเถอะ”
มีดขนาดใหญ่ฟันเข้ามาจากทางด้านบนของศีรษะ เฟิ่งชิงเฉินขมวดคิ้ว ไม่มีทีท่าว่าจะหลบ ทุกการเคลื่อนไหวของนางอยู่ในสายตาของเหล่าชายชุดดำ นางจะหวาดกลัวไปเพื่ออะไร แววตาจริงจังฉายชัดในดวงตาของชายชุดดำ เจตนาฆ่าที่แผ่ออกมาจากร่างกายไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย คิดว่าครั้งนี้ต้องสังหารเฟิ่งชิงเฉินสำเร็จเป็นแน่ แต่คิดไม่ถึงว่า……