นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 1024 ยืมกำลัง,กระบวนการนี้ทำให้คนชอบไม่ได้จริง ๆ
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 1024 ยืมกำลัง,กระบวนการนี้ทำให้คนชอบไม่ได้จริง ๆ
มีคำกล่าวไว้ว่า เมื่อสองประเทศสู้รบกัน จำเป็นต้องมีทูตในการเจรจากันเพื่อถ่ายทอดข้อมูล และทูตอย่างเขาไม่ว่าอย่างไรก็ควรอยู่ในสถานะปลอดภัย แต่เวลานี้ เซียวหยางกลับรู้สึกว่าตนเองกำลังตกอยู่ในอันตราย และอาจตายได้ทุกเมื่อ
เสด็จอาเก้าแห่งตงหลิงนั้นสมกับคำร่ำลือจริง ๆ เขาน่ากลัวเป็นอย่างมาก ตอนแรกเขาพอจะรักษาท่าทีที่สงบเอาไว้ได้ แต่หลังจากเสด็จอาเก้าอ่านข้อความที่เขาเป็นคนส่งจนจบ แม้แต่ยืนให้นิ่งเขายังไม่สามารถทำได้
จิตสังหารอันแรงกล้าแผ่ซ่านออกมาจากร่างกายของเสด็จอาเก้าแห่งตงหลิง มันสามารถทำให้แม่ทัพผู้แข็งแกร่งก้มศีรษะลงและคุกเข่าลง เต็มใจที่จะยอมจำนนในฐานะเสนาบดี คงไม่ต้องพูดถึงตัวตนอันต่ำต้อยอย่างเขา
หากเขาไม่คิดว่าอาจทำให้เมืองไถจงต้องเสียหน้า เวลานั้นเซียวหยางคงจะคุกเข่าลงพื้นเป็นแน่ แต่หลังจากที่สงบสติอารมณ์ได้ เขาก็แสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เงียบ!
เงียบสนิท แม้แต่ลมก็ยังหยุดพัด
หลังจากเสด็จอาเก้าอ่านข้อความจบ เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว เพียงแค่จ้องมองมายังเซียวหยาง แค่เพียบแวบเดียวก็ทำให้เซียวหยางรู้สึกถึงแรงกดดันอันตึงเครียด อยากจะเอ่ยปากออกไปหลายครั้ง แต่เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาอันเยือกเย็นของเสด็จอาเก้า เขาก็พูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว
นี่เป็นครั้งแรกที่เซียวหยางพบว่า ช่วงเวลาแห่งความทุกข์ทรมานมันยากลำบากถึงเพียงนี้ เมื่อเทียบกับการยื่นเผชิญหน้ากับเสด็จอาเก้าอยู่ที่นี่ เขายอมแลกกับเฟิ่งชิงเฉิน ยอมถูกขังอยู่ในถ้ำอันมืดมิดและไม่ออกมาเสียมากกว่า อย่างน้อยก็ไม่ต้องมาเผชิญหน้ากับความรู้สึกใกล้ตายเช่นนี้
โชคดีที่เสด็จอาเก้ายังเมตตา ในตอนที่ขาทั้งสองข้างของเซียวหยางสั่นเทา เห็นว่ากำลังจะคุกเข่าลงพื้น เสด็จอาเก้าก็เอ่ยปากออกมาว่า “ไปบอกกับเจ้าเมืองไถจง ข้าจะไปตามที่ได้นัดหมาย และจะมอบสิ่งที่ต้องการให้กับเจ้าเมืองไถจง”
พูดจบเสด็จอาเก้าก็ลุกขึ้นและเดินออกไปด้านนอก ในตอนที่เดินผ่านเซียวหยาง เขาโยนจดหมายในมือไว้ตรงหน้าของเซียวหยาง “ฝากไปบอกเจ้าเมืองไถจงแทนข้า ขอบคุณสำหรับของขวัญล้ำค่า และขอโทษที่ไม่ได้เสด็จไปหาด้วยตัวเอง เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ข้าขอจดจำมันไว้ในใจ”
“ควับ……” กระดาษสีขาวปลิวผ่านหน้าเซียวหยางไป เซียวหยางไม่กล้าแม้แต่ขยับ ปล่อยให้กระดาษสีขาวปาดแก้มของเขาไปพร้อมกับเลือดสีแดงสด ในตอนที่เสด็จอาเก้ากำลังเดินออกไปด้านนอก ในที่สุดเซียวหยางก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ล้มลงพื้นด้วยความทรมาน ราวกับเลือดไม่สูบฉีดขึ้นไปหล่อเลี้ยงใบหน้า เหงื่อเย็นไหลออกมา หัวใจของเขาเต้นแรงผิดปกติ
“บ้าที่สุด เสด็จอาเก้าแห่งตงหลิงผู้นี้น่ากลัวเกินไป หากรู้เช่นนี้แต่แรก ข้าคงไม่มาส่งจดหมายด้วยตัวเอง” ริมฝีปากของเซียวหยางสั่น ด้านนอก เหล่าทหารที่รออยู่ พวกเขาเห็นสภาพเช่นนี้ของเซียวหยาง พวกเขาไม่ได้เย้ยหยันแต่อย่างใด เพียงแค่มองมาที่เขาด้วยความเห็นใจ
ทำให้เสด็จอาเก้าขุ่นเคือง แน่นอนว่าสิ่งที่พบเจอในอนาคตจะต้องไม่ใช่สิ่งที่ดีเป็นแน่ และหากเผชิญหน้ากับความโกรธของเสด็จอาเก้า มันก็สรุปได้เลยว่าเจ้าคือผู้เคราะห์ร้าย
เมื่อรู้เบาะแสของเฟิ่งชิงเฉิน หัวใจของเสด็จอาเก้าสงบลงเล็กน้อย อย่างน้อยเฟิ่งชิงเฉินก็ไม่มีอันตรายถึงชีวิต แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่เขียนอยู่บนจดหมาย สีหน้าของเสด็จอาเก้าก็ดูเคร่งขรึมมากกว่าทุกครั้ง
เหมืองทองคำ!
บริเวณรอยต่อระหว่างซานตงกับเมืองไถจง มีการค้นพบเหมืองทองคำ แต่มันถูกครอบครองไว้โดยซานตง แต่เหตุใดเขาจึงไม่รู้เรื่องพวกนี้? ทางการเองก็ไม่รู้เลยแม้แต่น้อย
“ไปตรวจสอบ ตรวจสอบมาว่าเหมืองทองคำอยู่ในมือของใคร?” เสด็จอาเก้ารู้ว่าเมืองไถจงไม่มีทางกำหมดเป้าหมายตามอำเภอใจ หากไม่แน่ใจว่ามีเหมืองทองคำอยู่จริง เมืองไถจงคงไม่เสี่ยงเข้ามาชิงตัวเฟิ่งชิงเฉินออกไป
“ขอรับ” มีเพียงเงาที่เคลื่อนไหม ไม่มีผู้ใดปรากฏออกมา ได้ยินเพียงเสียงตอบรับเท่านั้น
สิ่งที่ตรวจสอบก็คือตรวจสอบ สิ่งที่ควรเตรียมพร้อมก็ต้องเตรียมพร้อม เสด็จอาเก้าเรียกเจ้าเมืองซานตงเข้าพบในทันที
ในพื้นที่ของซานตง มีอำนาจในการปกปิดเรื่องราวของเหมืองทองคำจากเจ้าเมืองซานตง แต่เสด็จอาเก้าไม่ได้พูดถึงเรื่องเหมืองทองคำ เวลานี้พูดออกไปก็มีแต่เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น
เสด็จอาเก้าเพียงบอกว่าเวลานี้เขาพบเบาะแสของเฟิ่งชิงเฉินเป็นที่เรียบร้อย ต้องการให้เจ้าเมืองซานตงนำกำลังทหารสามพันนายมาให้เขา เขาต้องการไปช่วยเฟิ่งชิงเฉิน
“คือ……เรื่อง เรื่องนี้……” เจ้าเมืองซานตงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง พูดติดอ่างด้วยร่างกายที่สั่นเทา
แม้ว่าเสด็จอาเก้าจะทำเรื่องที่เลยเถิดมากมายในซานตง โดยที่เขาทำเป็นไม่สนใจมาโดยตลอด แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะยอมมอบกำลังทหารให้กับเสด็จอาเก้า ทหารที่เขาระดมพลเพื่อปกป้องเมืองมีเพียงหนึ่งหมื่นนาย เสด็จอาเก้าต้องการทหารจากเขาสามพันนาย นี่มันออกจากเกินไป……
“ทำไมงั้นหรือ? ตระกูลลู่สามารถเลี้ยงดูทหารส่วนตัวไว้ในซานตงได้ห้าพันนาย แต่ข้าที่ต้องการทหารสามพันนายกลับทำไม่ได้? หรือว่าข้าไม่ดีเท่าตระกูลลู่?” เรื่องที่ตระกูลลู่เลี้ยงดูทหารส่วนตัวนั้นเป็นความจริง แต่จำนวนที่แน่นอนนั้นมากแค่ไหน เรื่องนี้เสด็จอาเก้าเองก็ไม่แน่ใจ แต่ที่มั่นใจก็คือมันไม่น้อยไปกว่าห้าพันนาย
ตอนแรกเจ้าเมืองซานตงผงะเล็กน้อย หลังจากนั้นไม่นานก็สงบลง เขากล่าวออกมาอย่างใจเย็นว่า “ท่านอ๋องอย่าได้โกรธ ข้าเองก็ต้องทำตามกฎหมายเช่นกัน ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากมอบกำลังทหารให้ท่าน แต่ท่านอ๋องไม่มีสิทธิ์ในการระดมพลกองทหาร ส่วนเรื่องที่ตระกูลลู่เลี้ยงดูทหารส่วนตัวนั้น ทั้งหมดเป็นเพียงแค่ข่าวลือ ท่านอ๋องโปรดตรวจสอบให้ชัดเจน”
“กฎหมาย? พระสนมอันเป็นที่รักของข้าหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยในซานตง ใต้เท้าคิดว่ากฎหมายควรปฏิบัติอย่างไร?” เสด็จอาเก้ารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเจ้าเมืองไม่มีทางยอมรับเรื่องที่ตระกูลลู่เลี้ยงดูทหารส่วนตัว ที่เขาพูดออกไปเป็นเพียงการแจ้งเตือนเจ้าเมืองเท่านั้นว่าเขาไม่ใช่คนที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับซานตง
ต้องรับผิดชอบตามกฎหมาย เพียงแต่……
“ท่านอ๋อง พระชายาชินอ๋องจำเป็นต้องผ่านพิธีเส้นไหว้จากจักรพรรดิ แต่แม่นางเฟิ่งนั้นยังไม่ได้แต่งงาน” ดังนั้นคนที่หายตัวไปเป็นเพียงคนธรรมดา ต่อให้เขาต้องรับผิดชอบ แต่มันก็ไม่ได้หนักหนาอะไร
“ข้าบอกว่านางเป็นก็คือเป็น ทำไมงั้นหรือ? ใต้เท้าเจ้าเมืองผู้ยิ่งใหญ่ เจ้าไม่เห็นด้วยงั้นหรือ?” ไม่เห็นด้วยกับการเลือกพระชายาชินอ๋อง คงมีแต่จักรพรรดิเท่านั้นที่ทำได้ เจ้าเมืองซานตงจะกล้าทำเช่นนั้นได้อย่างไร
เสด็จอาเก้าเองก็ไม่อยากสร้างความลำบากใจให้เขา จึงกล่าวออกมาว่า “ในเมื่อใต้เท้าไม่ยอมรวบรวมกำลังทหาร เช่นนั้นข้าจะไปยืมกำลังทหารด้วยตัวเอง ข้าเชื่อ ด้วยสถานะของข้า หากต้องการยืมทหารรักษาการณ์มาใช้ จำนวนหมื่นถึงสองหมื่นนายก็คงไม่ใช่ปัญหา”
ทหารและทางการนั้นแบ่งแยกกันอย่างชัดเจน แม้ว่าเจ้าเมืองซานตงจะมีทหารคอยคุ้มกันเมืองอยู่หมื่นนาย แต่เพื่อป้องกันและรักษาความมั่นคงในดินแดน เมื่อใหญ่ ๆ ต่างจะมีกองกำลังทหารคอยรักษาการณ์อยู่ประมาณห้าหมื่นนาย และที่เสด็จอาเก้ากล่าวถึงก็คือพวกเขา
“ท่านอ๋อง เรื่องนี้……” ใบหน้าของเจ้าเมืองซานตงเต็มไปด้วยความขมขื่น
กองทหารรักษาการณ์และกองทัพท้องถิ่นมักมีความขัดแย้งกันอยู่เสมอ และแม่ทัพของกองทหารองครักษ์กับเขาเองก็เป็นเหมือนศัตรูตัวฉกาจ หากปล่อยให้แม่ทัพกองทหารองครักษ์เข้ามา เช่นนั้นเจ้าเมืองอย่างเขาจะมีอำนาจอะไร?
ด้วยคำสั่งเพียงคำสั่งเดียว จวนของเจ้าเมืองของเขาสามารถถูกล้อมได้ และเขาก็ไม่มีโอกาสแม้แต่จะโผล่หน้าออกมาให้เห็น
เรื่องนี้ช่างยากยิ่ง
สีหน้าของเจ้าเมืองซานตงนั้นดูลำบากใจ เสด็จอาเก้าเองก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่รอการตัดสินใจของเจ้าเมืองซานตงอยู่เงียบ ๆ
กองทหารรักษาการณ์เข้ามาในเมืองหมายความว่าเสด็จอาเก้ากำลังจะก่อการกบฏและใช้กำลังเพื่อเข้ายึดซานตง และต้องไม่มีเหตุอะไรสำหรับการกบฏ เช่นนั้นเสด็จอาเก้าก็จะกลายเป็นกบฏโดยสมบูรณ์
เพื่อไม่ให้ถูกตั้งข้อหาว่ากบฏ เสด็จอาเก้าจำเป็นต้องหาคนมารับโทษแทน และไม่มีใครเหมาะสมไปกว่าเจ้าเมืองซานตง เสด็จอาเก้าเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าเจ้าเมืองซานตงจะเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี
เสด็จอาเก้าประกาศอย่างชัดเจนว่าต้องการยืมกำลังทหารจากเจ้าเมืองซานตง แม้ว่าเจ้าเมืองซานตงจะไม่เชื่อว่าเสด็จอาเก้าจะกล้าไปยืมทหารมาจริง แต่เขาก็ไม่กล้าเสี่ยง หากเสด็จอาเก้าเป็นบ้าอะไรขึ้นมา ไปยืมขึ้นมาจริง ๆ แล้วเขาจะทำเช่นไร?
ไม่ว่าหลังจากนี้เสด็จอาเก้าจะมีจุดจบอย่างไร คนแรกที่จะต้องตายก็แน่นอนอยู่แล้วว่าต้องเป็นเขา
ท้ายที่สุดเจ้าเมืองซานตงก็ยอมอ่อนข้อ ตั้งแต่สมัยโบราณ ไม้อ่อนย่อมแพ้ไม้แข็ง ไม้แข็งย่อมแพ้ความกลัว ความกลัวย่อมแพ้ความตาย จากท่าทีของเสด็จอาเก้า เขาไม่เกรงกลัวแม้แต่ความตาย เช่นนั้นเจ้าเมืองซานตงจะไปทำอะไรได้
ทหารป้องกันเมืองหนึ่งหมื่นนาย ถูกเสด็จอาเก้ายืมไปสามส่วน หากเจ้าเมืองซานตงรู้ว่าเสด็จอาเก้าต้องการนำกำลังทหารสามพันนายนี้ไปต่อสู้กับใคร เกรงว่าเขาคงเสียใจจนอย่างชนกำแพงตาย……