นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 103 ผ่าตัด - ประสบความสำเร็จอย่างมาก
มีคำที่จะพูด แต่อย่างไรก็ไม่ยอมจากไป
ในใจของพวกเขาไม่เชื่อถือเฟิ่งชิงเฉิน เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่มาก เฟิ่งชิงเฉินคงมีความสามารถบางอย่างจึงทำให้ทุกคนในตระกูลหวังยังคงนั่งอยู่ที่นี่
บางคนต้องการสืบถามจากหวังซู่ แต่น่าเสียดายที่เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้บอกอะไรกับคนตระกูลหวังไว้เลย ถามอะไรหวังซู่ไปเขาก็ไม่รู้ สีหน้าของเขาเคร่งขรึมและเป็นกังวล
อย่างไรเสีย ความเป็นตายของตระกูลหวังก็ขึ้นอยู่กับสามวันนี้ ความรู้สึกนี้ช่างทรมานเสียจริง
ในที่นี้คนที่ตื่นเต้นกังวลที่สุดก็คือหวังชี
พี่ใหญ่ของเขากำลังจะปลูกถ่ายกระจกตา แต่เฟิ่งชิงเฉินเอาแต่ถูกเพ่งเล็งแล้วนางจะเอากระจกตาออกได้อย่างไร!
เขาร้อนใจเสียจนมีตุ่มน้ำขึ้นที่มุมปาก
เรื่องที่หวังชีกังวล หวังจิ่นหลิงก็กังวลเช่นกัน แต่เขาไม่รู้จะเอ่ยถามอย่างไร
ในเวลานี้ ตามคำสั่งของเฟิ่งชิงเฉิน เขาอาบน้ำชำระร่างกาย จากนั้นนางก็นำเขาไปนอนราบบนเตียงเล็ก ๆ เขารู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
อย่างไรก็เป็นหญิงชายอยู่กันสองต่อสอง แล้วท่าทางยังสุ่มเสี่ยงอีก
จากนั้นก็ไม่รู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินยุ่งอยู่กับสิ่งใด นางทิ้งเขาไว้อีกด้าน
หวังจิ่นหลิงต้องการผ่อนคลายสถานการณ์น่าอึดอัดนี้จึงเอ่ยถามนางว่า “ชิงเฉิน คราวที่แล้วเจ้าบอกว่าเจ้าต้องการกระจกตามิใช่หรือ? ไม่ได้ต้องเอามันมาจากศพหรือ? ตอนนี้เล่าจะทำอย่างไร?”
“ข้าเตรียมพร้อมไว้แล้ว” เฟิ่งชิงเฉินหยิบชุดสครับออกมาสวม เก็บผมของนางในหมวกคลุมผมตามมาตรฐานชุดผ่าตัด
แท้จริงแล้วหลังจากผ่านการผ่าตัดทั้งเล็กและใหญ่ การปลูกถ่ายกระจกตาเป็นเพียงการผ่าตัดเล็กๆ สำหรับเฟิ่งชิงเฉินเท่านั้น นางไม่จำเป็นต้องใส่ใจเลย หากเป็นในยุคปัจจุบัน นางจะกล้าทำการผ่าตัดนี้สนามรบ แต่ตอนนี้น่ะหรือ?
นางประหม่า
นางรู้สึกประหม่ามากกว่าการเข้าห้องผ่าตัดครั้งแรกและประหม่ามากกว่าการเป็นศัลยแพทย์หลักครั้งแรกเสียอีก
ในห้องผ่าตัด ตั้งแต่ผู้ช่วยคนที่สาม ผู้ช่วยคนที่สอง ผู้ช่วยแพทย์จนถึงมือผ่าตัดหลัก นางค่อยๆ ไต่เต้ามาเรื่อยๆ นางไม่รู้สึกว่าห้องผ่าตัดเป็นสถานที่แปลกหน้าในความทรงจำของนาง หัตถการแรกที่นางลงมือทำก็คือการผ่าตัดไส้ติ่ง
เป็นการผ่าตัดเล็ก ในยามนั้นนางเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจและไม่กังวลว่าการผ่าตัดจะผิดพลาดเลย
ข้อเท็จจริงยังพิสูจน์ว่านางได้ทำการผ่าตัดเสร็จสิ้นอย่างงดงาม
แม้การผ่าตัดเปิดกะโหลกศีรษะครั้งแรก นางก็ไม่ได้รู้สึกประหม่า
สำหรับนางมันก็คืองาน ตามทักษะและความสามารถของนางแล้ว หากไม่เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นนางจะไม่มีทางเกิดอุบัติเหตุทางการแพทย์ได้เลย
แต่ตอนนี้นางกลับรู้สึกประหม่าขึ้นมา
จำได้ว่าอาจารย์ที่ปรึกษาของนางเคยกล่าวไว้ว่าความน่ากลัวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของแพทย์คือการลืมหน้าที่ของตนและสนใจเพียงชื่อเสียงและผลประโยชน์เท่านั้น
หน้าที่ของหมอคือช่วยชีวิตคน ไม่ใช่หาผลประโยชน์ หากอยากรวยก็อย่าเลือกเป็นหมอ ไม่มีหมอคนใดอยู่ในอันดับมหาเศรษฐีโลก
หน้าที่หมอคือรักษาคนไข้ ไม่ใช่เพื่อชื่อเสียง ยิ่งหมอสนใจชื่อเสียง อารมณ์ก็จะยิ่งได้รับผลกระทบจากชื่อเสียง ตอนนั้นก็จะไม่ใช่หมอที่จิตใจบริสุทธิ์และไม่อาจทำหน้าที่บนเตียงผ่าตัดได้อย่างดีที่สุด
เฟิ่งชิงเฉินนึกถึงคำสอนของอาจารย์ที่ปรึกษาของนางเสมอ นางไม่เคยแข่งขันเพื่อชิงอำนาจและชื่อเสียงในโรงพยาบาล ดังนั้นเมื่อทุกคนที่เข้าโรงพยาบาลมาพร้อมกับนางไต่ขึ้นไปถึงตำแหน่งหัวหน้าแพทย์แล้ว นางก็ยังเป็นเพียงแพทย์ประจำบ้านตัวน้อยเท่านั้น
เมื่อรุ่นพี่ของนางกลายเป็นผู้มีอำนาจในแผนกหัวใจและหลอดเลือดรายงานในกระดานสนทนาทางการแพทย์ทุกวัน นางก็ยังคงอยู่ในห้องผ่าตัด ถือมีดผ่าตัดและปล้นความตายจากยมทูต
แต่ตอนนี้…
การตายของซุนยี่จิ่นและกลุ่มคนภายนอกนั้นได้บีบให้นางต้องร่วมเข้าแย่งชิงผลประโยชน์และชื่อเสียง แต่…
เฟิ่งชิงเฉินหลับตาลงและหายใจเข้าลึกอย่างพยายามสงบสติอารมณ์
นางรู้ว่านางไม่เหมาะกับการผ่าตัดในวันนี้ แต่น่าเสียดายที่อีกฝ่ายไม่ให้เวลานางเลย
เมื่อตามองไม่เห็น หูจึงมีความอ่อนไหวเป็นพิเศษ การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของเฟิ่งชิงเฉินทำให้หวังจิ่นหลิงยิ่งกังวลมากขึ้น
“ชิงเฉิน อย่ากังวลไปเลย อย่าได้รู้สึกถึงภาระใดๆ ในใจ อย่าเห็นว่าข้าเป็นคุณชายใหญ่แห่งตระกูลหวัง ปฏิบัติกับข้าเหมือนหวังจิ่นหลิงในห้องโทรมๆเท่านั้นก็พอ”
“ฮ่าๆ …”
“จิ่นหลิง ตั้งแต่สมัยโบราณมีแต่หมอที่คอยปลอบใจผู้ป่วย ไฉนเลยจะให้คนไข้มาปลอบใจหมอ พวกเราตลกเสียจริง”
เมื่อหัวเราะออกมาเช่นนี้ เฟิ่งชิงเฉินก็อารมณ์ดีขึ้นมาก
หวังจิ่นหลิงพูดถูก นางไม่จำเป็นต้องกังวล
เมื่อปิดประตูแล้ว นี่ก็คือห้องผ่าตัดของนาง นางเป็นเพียงแค่หมอ โลกภายนอกไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนาง
เฟิ่งชิงเฉินจัดการอารมณ์ของนาง ในหัวนึกถึงการผ่าตัดในภพก่อนและค่อยๆ ฟื้นความรู้สึกของการถือมีดคืนมา
เฟิ่งชิงเฉินกล่าวอย่างจริงจัง “เอาล่ะ จิ่นหลิง เริ่มกันเถอะ”
“ตกลง” หวังจิ่นหลิงเป็นผู้ป่วยที่ให้ความร่วมมืออย่างดี เขานอนนิ่งอยู่บนเตียงโดยไม่ขยับเขยื้อน
เฟิ่งชิงเฉินไปที่ห้องด้านนอกเพื่อทำความสะอาดมือของนางและทำให้แน่ใจว่าเครื่องใช้ทั้งหมดพร้อมและฆ่าเชื้อ หลังจากนั้นนางก็สวมหน้ากากและถุงมือแพทย์
เมื่อมองขึ้นไปที่ไฟใหญ่ด้านบนและรอบๆ ศีรษะของนาง เฟิ่งชิงเฉินก็แอบรู้สึกโชคดีที่อากาศยังดีในเวลานี้ มิฉะนั้นการผ่าตัดจะไม่สามารถทำได้โดยลำพัง
หัวใจของหวังจิ่นหลิงเต้นตึกตัก ความรู้สึกที่ถูกคนอื่นใช้มีดกรีดนั้นแย่มาก แต่เมื่อเขาคิดว่าดวงตาของเขาจะฟื้นตัวหลังจากสามวัน เขาก็ตั้งหน้าตั้งตารออีกครั้ง
เดิมทีเขาไม่มีความหวังแล้ว แต่เฟิ่งชิงเฉินให้ความหวังและทำให้เขาตั้งตารออีกครั้ง
ความผิดหวังไม่ได้น่ากลัว สิ่งที่น่ากลัวก็คือการให้ความหวังและทำให้สิ้นหวัง นั่นต่างหากที่น่ากลัว
ร่างกายของหวังจิ่นหลิงแข็งทื่อขึ้นมาโดยไม่อาจควบคุมได้
“จิ่นหลิง ผ่อนคลาย” เฟิ่งชิงเฉินหยิบยาชาแล้วตบแขนที่แข็งทื่อของหวังจิ่นหลิง
“ตกลง” หวังจิ่นหลิงถอนหายใจ เฟิ่งชิงเฉินอาศัยยามที่เขาถอนหายใจเพื่อฉีดยาชา
“นี่คืออะไร?” หวังจิ่นหลิงเคลื่อนไหวตามสัญชาตญาณ แต่กลับถูกเฟิ่งชิงเฉินใช้มือกดไว้ “อย่าขยับ”
ความรู้สึกของความยิ่งใหญ่และจริงจังที่มองไม่เห็นทำให้หวังจิ่นหลิงเชื่อมั่นโดยไม่รู้ตัว
หลังจากฉีดยาชาแล้ว การผ่าตัดจะยังไม่สามารถทำได้ทันที ต้องรอดูผลของยาชาก่อน
เฟิ่งชิงเฉินวางหวังจิ่นหลิงไว้ด้านข้างและนำกระจกตาออกมาจากกล่องเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะ
กระจกตาแผ่นบางสองอันลอยอยู่ในของเหลวใส น้ำตาเอ่อคลอขึ้นในดวงตาของเฟิ่งชิงเฉิน แต่นางก็เก็บมันกลับไปอย่างรวดเร็ว
นางเป็นหมอ ไม่ใช่เรื่องดีที่จะมีความรู้สึกต่อผู้ป่วยของนางมากนัก
บางคนบอกว่าหมอเย็นชา แต่นั่นก็เป็นเพราะถูกสิ่งแวดล้อมบังคับให้เป็นเช่นนั้น
พวกเขายังร้องไห้เมื่อเห็นผู้ป่วยเสียชีวิตต่อหน้าพวกเขาเป็นครั้งแรก ยามที่พวกเขาประกาศกับครอบครัวของผู้ป่วยว่า “เสียใจด้วย พวกเราช่วยอะไรไม่ได้แล้ว” ก็มักจะโทษตัวเองและรู้สึกผิด
แต่เมื่อเห็นการเกิดแก่เจ็บตายมากมายจนชินชาแล้วแต่ก็ยังเศร้าอีกก็ไม่ต้องถือมีดอีกต่อไปแล้ว
เมื่อวางกระจกตาบนโต๊ะผ่าตัดขนาดเล็ก เฟิ่งชิงเฉินก็เปิดกล่องเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะอีกครั้งเพื่อตรวจดูว่าชายาออกฤทธิ์ดีหรือไม่
จิตใจของหวังจิ่นหลิงนั้นดีมาก บวกกับที่ตระกูลหวังดูแลเขาอย่างดี ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับการพักฟื้นก่อนการผ่าตัด
“เวลาที่ดีที่สุดสำหรับการผ่าตัดคืออีกสิบห้านาที”
เฟิ่งชิงเฉินตั้งเตือนเวลา หลังจากนั้นสิบห้านาที เสียงปี๊บก็ดังขึ้นที่แขนของนาง
เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่าการต่อสู้ของนางได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
เฟิ่งชิงเฉินหลับตาสูดหายใจเข้าลึก เมื่อนางลืมตาขึ้นอีกครั้ง ดวงตาของนางก็สงบนิ่ง
เฟิ่งชิงเฉินถือมีดผ่าตัดและแหนบ ก้มศีรษะลงเปิดตาของหวังจิ่นหลิง
แม้ไม่มีแสงเพียงพอ ไม่มีทีมในอุดมคติ เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่หวั่นเกรงแม้แต่น้อย
นางถือมีดผ่าตัดด้วยมือซ้าย ยื่นให้มือขวา แล้วใส่ลงในถาดหลังการใช้งาน
กระบวนการทั้งหมดทั้งมีระเบียบและไม่เป็นระเบียบ เหมือนทหารที่ออกไปออกกำลังกาย
เฟิ่งชิงเฉินไม่แม้แต่หายใจหอบ หลังจากที่มีเหงื่อผุดพรายที่หน้าผากของนาง นางก็เช็ดมันออกไป
หวังจิ่นหลิงเป็นเหมือนหุ่นเชิดที่ไม่เคลื่อนไหวและถูกทำไปตามใจของเฟิ่งชิงเฉิน
เฟิ่งชิงเฉินหยิบแหนบ หยิบกระจกตาข้างซ้ายอย่างระมัดระวังใส่เข้าไปในตาของหวังจิ่นหลิงและจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย
ต่อไปคือตาขวา…
ทุกอย่างเรียบร้อยดี!
เคร้ง…
เมื่อเฟิ่งชิงเฉินปล่อยแหนบในมือของนาง ดวงตาของนางก็เป็นประกายพร้อมทั้งถอนหายใจด้วยความโล่งอก
การผ่าตัดประสบความสำเร็จ!
แต่ไม่มีใครมาเฉลิมฉลองกับนาง