นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 1048 ภัยคุกคาม,เจ้ายังมีพยานปากที่รอดตายจากการถูกสังหาร
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 1048 ภัยคุกคาม,เจ้ายังมีพยานปากที่รอดตายจากการถูกสังหาร
คนอีกกลุ่มหนึ่งที่มาต้อนรับอยู่หน้าประตู พวกเขาคือขุนนางทางฝั่งของลั่วอ๋องที่มาเพื่อต้อนรับเจ้าเมืองฉู่ที่เดินทางมาเยือน ในตอนที่เสด็จอาเก้าทักทายเหล่าขุนนางที่มาต้อนรับเขา กลุ่มของฉู่ฉางฮว๋าก็เดินทางมาถึงตงหลิงพอดี
กรมพิธีกรรมมารอเพื่ออธิบายเกี่ยวกับกฎเกณฑ์และข้อบังคับต่าง ๆ ให้แก่เจ้าเมืองฉู่ได้รับรู้ก่อนจะเดินทางเข้าเมือง นี่เป็นสิ่งที่พวกเขาต้องทำ แต่เสด็จอาเก้าเองก็เสด็จกลับเข้ามาในเมืองวันนี้เช่นกัน และมาถึงก่อนกลุ่มของเจ้าเมืองฉู่ได้ไม่นาน
เสด็จอาเก้าไม่ได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่กรมพิธีกรรมทราบ และขุนนางที่มาต้อนรับเสด็จอาเก้าก็เป็นขุนนางที่มาด้วยความต้องการของตนเอง แม้ว่าเจ้าเมืองฉู่จะเป็นแขก แต่สถานะของเสด็จอาเก้าก็สูงศักดิ์ ประกอบกับเขามาเร็วกว่าฉู่ฉางฮว๋าหนึ่งก้าว ตงหลิงจื่อลั่วจึงไม่กล้าสั่งให้เสด็จอาเก้ารออยู่ด้านนอก คนของฉู่ฉางฮว๋าจึงถูกขวางกั้นอยู่หน้าประตูเมือง ถอยไปรออยู่อีกด้านหนึ่งเพื่อหลีกให้รถม้าของเสด็จอาเก้าเข้าไปในเมืองก่อน
ฉู่ฉางฮว๋าโกรธจนหน้าซีด คนที่รู้ก็เข้าใจว่านี่เป็นเพียงเหตุการณ์ไม่คาดฝัน แต่คนที่ไม่รู้ก็คิดว่าตงหลิงใช้อำนาจที่เหนือกว่าในการคุกคามเมืองฉู่ ไม่เห็นเมืองฉู่อยู่ในสายตา
เมืองฉู่ต้องระงับอารมณ์ หากเป็นเช่นนี้ ในวันข้างหน้าใครต่างก็คิดจะเหยียบย่ำเมืองฉู่ ฉู่ฉางฮว๋าโกรธจัด ตะโกนใส่ตงหลิงจื่อลั่วที่มาต้อนรับด้วยความโมโห “ฝ่าบาทลั่วอ๋อง ตงหลิงทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”
ลูกพลับต้องตีตอนแก่ ฉู่ฉางฮว๋าไม่สามารถทำอะไรเสด็จอาเก้าได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงระบายความโกรธใส่ตงหลิงจื่อลั่ว
ตงหลิงจื่อลั่วเองก็ไม่ใช่คนดี เขาตอบกลับไปทันทีว่า “ด้านหน้าเป็นกองทหารเกียรติยศของเสด็จอาเก้า หากคุณหนูฉู่ไม่เต็มใจที่จะรอ เช่นนั้นก็สามารถส่งคนไปบอกกับเสด็จอาเก้าได้ ด้วยความสัมพันธ์ที่คุณหนูฉู่มีต่อเสด็จอาเก้า เสด็จอาเก้าอาจจะเต็มใจหลบทางให้คุณหนู”
ความสัมพันธ์? นางกับเสด็จอาเก้ามีความสัมพันธ์อะไรกัน นางเคยเห็นคนไร้ยางอาย แต่นางไม่เคยเห็นใครไร้ยางอายเช่นนี้มาก่อน ฉู่ฉางฮว๋ารู้สึกโกรธจนร่างกายสั่นเทา
“ฝ่าบาทลั่วอ๋อง ข้าฉู่ฉางฮว๋าเป็นคนที่ฝ่าบาทของพวกท่านส่งสาส์นตราตั้งไปเชิญมา ไม่ใช่ผู้อพยพที่น่าสงสารที่มาขอความช่วยเหลือในยามยากไร้ ให้ข้าเข้าไปคุยด้วยตนเอง นี่เป็นวิธีการรับแขกของตงหลิงของพวกท่านอย่างนั้นหรือ?”
ตงหลิงจื่อลั่วกล่าวอย่างมีมารยาท “คุณหนูฉู่กล่าวหนักเกินไป สำหรับการมาเยือนของเจ้าเมืองฉู่และคุณหนูฉู่ ตงหลิงของข้าให้การต้อนรับเป็นอย่างดี เมื่อครู่ข้าเพิ่งจะส่งคนไปเจรจากับเสด็จอาเก้า หวังว่าเสด็จอาเก้าจะหลีกทางให้คุณหนูฉู่เข้าเมืองไปก่อน แต่คิดไม่ถึงว่าเสด็จอาเก้าจะกังวลเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บของแม่นางเฟิ่งเป็นอย่างมาก ข้าจึงทำได้เพียงปล่อยให้คุณหนูรอไปอีกครู่หนึ่ง”
จักรพรรดิเชิญฉู่ฉางฮว๋ามาตรงหลิงเพื่อเหตุใดทุกคนต่างรู้ดี ตงหลิงจื่อลั่วตั้งใจพูดว่าเสด็จอาเก้าให้ความสำคัญกับเฟิ่งชิงเฉินเป็นอย่างมาก มันเป็นการพยายามยั่วยุความสัมพันธ์ระหว่างเสด็จอาเก้า ฉู่ฉางฮว๋า และเฟิ่งชิงเฉิน
เมื่อรู้ว่าตงหลิงจื่อลั่วไม่เห็นนางอยู่ในสายตา ฉู่ฉางฮว๋าเลิกโกรธและหัวเราะออกมา พร้อมกับกล่าวอย่างเย้ยหยัน “ที่แท้แม่นางเฟิ่งก็ได้รับบาดเจ็บ ข้าต้องขอโทษด้วย แต่ข้าได้ยินมาว่าแม่นางเฟิ่งเคยเป็นคู่หมั้นของฝ่าบาทลั่วอ๋อง คิดว่าฝ่าบาทลั่วอ๋องคงจะรู้สึกเป็นห่วงที่เห็นอดีตคู่หมั้นได้รับบาดเจ็บ ฉางฮว๋าเองก็เข้าใจ”
พูดจบนางก็โยนผ้าม่านและนั่งลงไปอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความโกรธ ดูเหมือนว่านางจะโกรธเป็นอย่างมาก
ซุนซือสิงเพิ่งจะไปนำตำราทางการแพทย์มาจากทางด้านหลังของรถม้า เมื่อได้ยินฉู่ฉางฮว๋ากล่าวว่าเฟิ่งชิงเฉินได้รับบาดเจ็บ เขารีบยื่นตำราทางการแพทย์ให้คนรับใช้และกล่าวออกมาว่า “นำตำราเล่มนี้ไปให้หมอไป๋ ให้เขาค่อย ๆ ศึกษา อ่านเสร็จแล้วค่อยนำมาคืนข้า”
ไม่รอให้คนรับใช้ตอบรับ ซุนซือสิงไปหาองครักษ์ของตนเองทันที “เร็ว ไปนำม้ามา ข้าจะเข้าเมือง”
“คุณชายซุน ตรงทางเข้าเมืองกำลังทำการต้อนรับเสด็จอาเก้า เวลานี้ไม่อาจเข้าไปในเมืองได้” องครักษ์กล่าวแนะนะ แต่ซุนซือสิงกลับไม่ฟัง เขาเพียงรู้แค่ว่าอาจารย์ของเขาได้รับบาดเจ็บ เขาจำเป็นต้องรีบเข้าไปในเมือง
ซุนซือสิงผลักองครักษ์ทั้งสองออกไป เดินไปจูงม้าด้วยตนเอง องครักษ์รีบเข้ามาขวาง ต้องการแนะนำให้ซุนซือสิงถอยไปก่อน “มาถึงเมืองจักรพรรดิแล้ว ไม่มีทางเป็นอันตรายอย่างแน่นอน พวกเราควรไปบอกลาเจ้าเมืองฉู่สักคำ ข้ามีเรื่องต้องไปจัดการ วันหลังจะไปกล่าวขอบคุณ”
พูดจบก็ขึ้นไปบนหลังม้า ควบม้าไปด้านหน้า คนของเมืองฉู่ก็ไม่ได้ขวางทางของซุนซือสิง แต่ทหารรักษาการณ์ของตงหลิงนั้นต่างออกไป เมื่อเห็นซุนซือสิงควบม้าพุ่งเข้ามา ทหารรักษาการณ์ก็ออกมาด้านหน้า ขวางทางของซุนซือสิงไว้
“ใครกันที่กล้าถึงเพียงนี้ ยังไม่รีบถอยไปอีกอย่างนั้นหรือ”
“ท่านผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายโปรดหลีกทางด้วย อาจารย์ของข้าได้รับบาดเจ็บ ข้าจำเป็นต้องรีบเข้าเมือง รบกวนพวกท่านโปรดให้ความช่วยเหลือ” ซุนซือสิงกล่าวออกไปอย่างสุภาพ แต่คงจะแปลกไม่ใช่น้อยหากคนพวกนี้หลีกทางให้เขาเพียงเพราะคำพูดไม่กี่คำ
แต่มันก็เป็นเรื่องบังเอิญอย่างมาก ในตอนที่ทหารรักษาการณ์กำลังจะลงมือกับซุนซือสิง ตี๋ตงหมิงที่ยืนสังเกตการณ์อยู่บนกำแพงเมืองก็หันมาเห็นพอดี เขาตะโกนออกมาว่า “หยุดก่อน!”
ตี๋ตงหมิงไม่ได้เข้าหาซุนซือสิง เมื่อรู้ว่าซุนซือสิงรีบเข้าเมือง เขาก็รีบสั่งให้คนเปิดทางด้านข้างให้ซุนซือสิง ให้เขาเข้าเมืองด้วย “ช่องทางพิเศษ”
คำสั่งของหัวหน้า ไม่มีใครกล้าขัดขืน ทหารรักษาการณ์หน้าประตูพาซุนซือสิงเข้าเมือง แต่พวกเขาก็ยังไม่รู้ว่าซุนซือสิงเป็นใคร จนกระทั่งทหารคนสนิทของตี๋ตงหมิงเดินเข้ามา พวกเขาถึงรู้ว่าชายหนุ่มผู้นี้เป็นลูกศิษย์ของเฟิ่งชิงเฉิน ในใจของพวกเขารู้สึกเสียใจ และแอบดีใจที่พวกเขาไม่ได้ทำร้ายหรือทำให้คุณชายซุนได้รับบาดเจ็บ
ซุนซือสิงเป็นใคร?
เขาเป็นคนที่ยอดเยี่ยม ก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นพวกเขารู้ดีอยู่แก่ใจ เพื่อซุนซือสิง เฟิ่งชิงเฉินไม่เพียงแต่จัดการจวนโหวให้สิ้นซาก แต่ยังจัดการกับองครักษ์เสื้อโลหิตจนสิ้นฤทธิ์ คนแบบนี้……เป็นคนที่พวกเขาไม่อาจรุกรานได้
ฉู่ฉางฮว๋าไม่ใช่ผู้หญิงที่ขี้น้อยใจ หลังจากนั่งลงบนรถม้าและถอนหายใจออกมาหลายครั้ง นางก็เลิกใส่ใจกับเรื่องพวกนี้ นางไม่คุ้นเคยกับเสด็จอาเก้า การที่เสด็จอาเก้าตัดหน้านางเช่นนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
แน่นอนว่านางรู้ว่าเป็นเพราะซุนซือสิงได้ยินเรื่องที่นางพูดว่าเฟิ่งชิงเฉินได้รับบาดเจ็บ เขาจึงรีบควบม้าเข้าไปในเมือง นางจึงรู้สึกโกรธจนแทบจะขาดใจ
เฟิ่งชิงเฉินผู้นี้เป็นผู้วิเศษที่มาจากไหนกันแน่ เหตุใดพวกเขาทั้งสองจึงให้ความสำคัญกับเฟิ่งชิงเฉินถึงเพียงนี้ เมื่อเทียบกับนาง นางแย่มากเลยอย่างนั้นหรือ?
“คุกเข่า!” ทันทีที่เสด็จอาเก้ามาถึง ยังไม่ทันยืนอย่างมั่นคง จักรพรรดิก็ส่งเสียงตะโกนออกมา
เสด็จอาเก้าทำเป็นหูทวนลม โค้งคำนับให้จักรพรรดิตามปกติ “ถวายบังคมฝ่าบาท ขอให้ฝ่าบาทอายุยืนนาน หมื่นปี หมื่น หมื่นปี”
“เจ้าเก้า ข้าบอกให้เจ้าคุกเข่า เจ้าไม่ได้ยินอย่างนั้นหรือ” น้ำเสียงของจักรพรรดิสูงขึ้นพร้อมกับรัศมีอันดุดัน
“ฝ่าบาท เหตุใดข้าจึงต้องคุกเข่า ข้าไม่ได้ทำผิดอะไร ฝ่าบาททรงโปรดให้คำชี้แนะด้วย” เสด็จอาเก้ายังคงไม่ไหวติง ถามออกมาอย่างนิ่งสงบ
เสด็จอาเก้ามีความประสงค์ของจักรพรรดิองค์ก่อนอยู่ มีสิทธิ์ที่จะไม่คุกเข่าเมื่อเข้าเฝ้าจักรพรรดิ เว้นแต่ว่าเขาทำความผิดครั้งใหญ่
“ไม่รู้อย่างนั้นหรือ? ไม่รู้ก็ดี……เจ้าเก้า เจ้าสามที่เจ้าขังไว้ในห้องหนังสือลับอยู่ที่ไหน? ข้าให้เจ้าพาตัวเขากลับมายังเมืองหลวงไม่ใช่หรือ? เขาอยู่ที่ไหน?” จักรพรรดิหญิงสาส์นขึ้นมาและขว้างมันไปด้านหน้าของเสด็จอาเก้า แต่เนื่องจากระยะห่างของทั้งสองนั้นไกลเกินไป เรี่ยวแรงของจักรพรรดิไม่มากพอ สาส์นดังกล่าวจึงตกอยู่ที่แทบเท้าของเสด็จอาเก้า
คน?
จักรพรรดิยังมีหน้ามาถามเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้?
เสด็จอาเก้ายืนมือไขว้หลัง เงยหน้าขึ้นสบตากับจักรพรรดิ ไม่ได้ตอบคำถามของจักรพรรดิ แต่พูดออกมาว่า “ฝ่าบาท เมื่อคืนนี้เรือนแยกของข้าถูกปล้น และในมือของข้าก็มีพยานผู้เห็นเหตุการณ์อยู่ จักรพรรดิได้โปรดรอให้ข้าสอบสวนพวกโจรชั่วเหล่านั้นเสียก่อน”
นี่คือการข่มขู่ มันคือการข่มขู่อย่างเห็นได้ชัด เสด็จอาเก้าต้องการบอกกับจักรพรรดิว่า อย่าคิดว่าข้าไม่รู้เกี่ยวกับสิ่งที่น่ารังเกียจซึ่งเจ้าทำเป็นการส่วนตัว เจ้าต้องการลักพาตัวท่านอ๋องสามไป จากนั้นก็โยนความผิดทั้งหมดให้กับข้า ไม่มีทาง
เวลานี้คนของเขาตกอยู่ในกำมือของเสด็จอาเก้า จักรพรรดิรู้สึกโกรธและหงุดหงิด เขารู้อยู่แล้วว่าคนเหล่านั้นของเขายังไม่กลับมา จะต้องเกิดเรื่องเลวร้ายเป็นอย่างแน่……
ยอดเยี่ยมจริง ๆ ส่งคนไปลักพาตัว ลักพาตัวกลับมาไม่ได้ก็ยังไม่เท่าไหร่ แต่กลับตกไปอยู่ในกำมือของเสด็จอาเก้า เป็นจุดอ่อนที่ทำให้เสด็จอาเก้าสามารถเล่นงานเขาได้ คิดจะเอาเปรียบผู้อื่น แต่กลับเป็นฝ่ายเสียเปรียบเสียเอง เช่นนี้เขาจะไม่มีความมั่นใจที่จะคิดบัญชีกับเสด็จอาเก้าได้อย่างไร……
หน้าด้านไม่มีเหตุผล!