นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 1050 พระสนมซู,คิดว่าตัวเองเป็นใคร
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 1050 พระสนมซู,คิดว่าตัวเองเป็นใคร
เช้าวันต่อมา เฟิ่งชิงเฉินยังไม่ทันทานอาหารเช้าเสร็จ คนของพระราชวังก็มาถึงแล้ว พวกเขาบอกว่าเป็นคำสั่งของสนมเอกเซี่ย มารับเฟิ่งชิงเฉินเข้าไปในพระราชวัง แม้เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่าสนมเอกเซี่ยค่อนข้างรีบร้อน แต่คิดไม่ถึงว่าสนมเอกเซี่ยจะรีบร้อนถึงเพียงนี้ ยังไม่ทันกินอาหารเช้าเสร็จก็ส่งคนมารับนางแล้ว
อีกฝ่ายมองมาด้วยสายตาแห่งความรู้สึกผิด กล่าวขอโทษออกมาไม่หยุด เฟิ่งชิงเฉินเองก็ไม่ควรจะไปว่าอะไรพวกเขา จึงทำได้เพียงให้พวกเขารอสักครู่ นางจะไปเตรียมตัวเข้าวัง
เฟิ่งชิงเฉินกลับมาที่ห้อง เปลี่ยนเสื้อผ้า เปิดกระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะ หยิบยาที่ตนเองต้องใช้ใส่ลงไปในกล่อง หันไปเห็นปิ่นเฟิ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ เฟิ่งชิงเฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็เดินไปหยิบมันมา
ขุนนางในพระราชวังมีอยู่มากมาย คนที่ชอบสร้างปัญหามีมากกว่า เพื่อความปลอดภัย การที่จะนำปิ่นเฟิ่งไปด้วยไม่ใช่เรื่องผิดอะไร
เฟิ่งชิงเฉินนำปิ่นเฟิ่งเข้าไปในพระราชวัง การเตรียมพร้อมที่ดีสามารถทำให้รอดพ้นจากปัญหาได้ คิดไม่ถึงเลยว่ามันจะมีประโยชน์จริง ๆ ทำให้เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกนับถือในการมองการณ์ไกลของตนเอง หากนางไม่มีปิ่นเฟิ่งอยู่ เกรงว่านางคงลำบากไม่น้อย
ต้องรู้ก่อนว่า แม้เสด็จอาเก้าจำมีอำนาจล้นท้น แต่วันดีคืนดีก็ไม่สามารถบุกเข้าไปในวังหลังของจักรพรรดิได้ ต่อให้รู้ว่านางถูกทำร้าย แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ในช่วงเวลานั้น
เฟิ่งชิงเฉินเป็นเพียงเป็นเด็กกำพร้าที่ไม่มีภูมิหลัง แต่เฟิ่งชิงเฉินก็โชคดีไม่น้อยที่นางเป็นคนในสายตาของเสด็จอาเก้า ทำให้คุณค่าในตัวนางเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ในเมืองจักรพรรดิไม่มีใครกล้าทำอะไรเฟิ่งชิงเฉินง่าย ๆ
และในวังหลัง ต่อให้ไม่มีอำนาจนั้นของเสด็จอาเก้าอยู่ นางสนมก็ไม่โง่พอที่จะทำให้เฟิ่งชิงเฉินขุ่นเคือง ด้วยทักษะทางการแพทย์ของเฟิ่งชิงเฉิน นางสนมเหล่านี้อยากจะเข้าหาเฟิ่งชิงเฉินขนแทบรอไม่ไหว แต่……
ยกเว้นไว้คนหนึ่ง คนผู้นั้นก็คือพระสนมซูเหนียงเหนียงจากตระกูลซูที่เพิ่งเข้ามาในพระราชวังได้ไม่นาน
การประลองระหว่างเฟิ่งชิงเฉินกับตระกูลซู ทำให้ตระกูลซูต้องถอดแผ่นป้ายประจำตระกูลลง ถึงขั้นไม่สามารถเรียกตัวเองว่าตระกูลซูแห่งหนานหลิงได้ นี่เป็นความอัปยศและความอับอายสูงสุดของตระกูลซู
หลังจากพระสนมซูเข้ามาเป็นคนโปรดของวังหลัง เหล่านางสนมก็รู้สึกอิจฉานางเป็นอย่างมาก มีคนจำนวนไม่น้อยจ้องเล่นงานพระสนมซู พระสนมซูกัดฟันด้วยความโกรธ นางเกลียดจนแทบรอไม่ไหวที่จะโยนความผิดเหล่านี้ทั้งหมดให้แก่เฟิ่งชิงเฉิน
ในฐานะสนมในวังหลัง พระสนมซูไม่อาจออกไปจากวังหลังได้ และบ้านเกิดของนางก็อยู่หนานหลิง หากต้องการสร้างปัญหาสักครั้งก็เป็นเรื่องที่ยุ่งยากเป็นอย่างมาก และครั้งนี้เฟิ่งชิงเฉินเป็นคนเข้ามาด้วยตัวเอง แน่นอนว่าพระสนมซูไม่มีทางปล่อยเฟิ่งชิงเฉินไป
“พระสนมซูเหนียงเหนียง ท่านกำลังขวางทางข้าอยู่ รบกวนช่วยหลีกทางด้วย” เห็นคนของตนเองถูกพระสนมซูเหนียงเหนียงขวางเอาไว้ เฟิ่งชิงเฉินจึงรีบเอ่ยปากออกไป
นางกับตระกูลซูมีปมปัญหาที่แก้ได้ยาก เป็นเพราะนาง หญิงสาวของตระกูลซูจึงถูกด้อยค่า เป็นเรื่องธรรมดาที่พระสนมซูจะเกลียดนาง แต่เฟิ่งชิงเฉินไม่เคยเห็นพระสนมซูอยู่ในสายตา นอกจากพระสนมซูจะเป็นฮองเฮาหรือหนึ่งนี่พระสนมเอก ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีอำนาจมากพอที่จะมาหาเรื่องกับนาง
ราวกับพระสนมซูไม่ได้ยินคำพูดของเฟิ่งชิงเฉิน ยืนอยู่ด้านหน้าของเฟิ่งชิงเฉิน เล่นกับเล็บอันเรียวยาวของนาง ดวงตาของนางเหมือนบ่อน้ำพุ กระเพื่อมด้วยความเสน่ห์หา จ้องมองมาที่เฟิ่งชิงเฉินด้วยความดูถูกเหยียดหยาม
เมื่อเทียบกับซูหว่านและซูโหยว พระสนมซูมีความน่าดึงดูดมากกว่าพวกนางสองคน แต่ก็ขาดศักดิ์ศรีของความเป็นผู้หญิงเช่นกัน เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์อะไรพระสนมซู เพียงแค่หวังว่าพระสนมซูจะใช้สมองมากกว่านี้ ทุกคนจะได้เดินทางใครทางมัน
หลังจากมองดูเฟิ่งชิงเฉินตั้งแต่หัวจรดเท้า นางก็มองจากเท้าขึ้นมายังหัว หลังจากทำเช่นนี้ประมาณสิบครั้ง ในที่สุดพระสนมซูเหนียงเหนียงก็เอ่ยปากออกมา “ดูแล้วก็ไม่เท่าไหร่ หน้าอกก็ไม่มี เอวก็ไม่มี แม้ว่าจะอวบกว่าผู้หญิงธรรมดาเล็กน้อย แต่มันก็ไม่ได้พิเศษอะไร รูปร่างอย่างเจ้ามีผู้ชายต้องการด้วยอย่างนั้นหรือ ไม่รู้ว่าชายผู้นั้นมีตาหามีแววไม่”
ประโยคนี้ไม่เพียงแต่เป็นการดูถูกเฟิ่งชิงเฉินคนเดียวเท่านั้น แต่เป็นการดูถูกเสด็จอาเก้าที่เป็นชายของเขาด้วย คำพูดของพระสนมซูช่างเฉียบคมยิ่งนัก เพียงแต่คำพูดนี้……
เฟิ่งชิงเฉินมองหน้าพระสนมซูด้วยความประหลาดใจ ไม่ต้องพูดถึงหญิงสาวจากตระกูลที่ร่ำรวย ต่อให้เป็นผู้หญิงจากตระกูลเล็ก ๆ ก็ไม่อาจพูดเช่นนี้ออกมาได้ คำพูดเหล่านี้เหมือนคำพูดของหญิงโสเภณี เฟิ่งชิงเฉินถึงกับสงสัยว่าตระกูลซูเลี้ยงดูพระสนมซูมาแบบไหน หรือว่าจะสอนให้เต้นรำทำเพลงและทำอาชีพเป็นโสเภณี
เฟิ่งชิงเฉินไม่พูดอะไร พระสนมซูคิดว่านางกำลังรู้สึกอับอาย ส่ายหน้า ถอนหายใจ จากนั้นกล่าวออกมาว่า “แต่ใบหน้าของเจ้าก็ไม่ธรรมดา อาจเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนรู้สึกอิจฉา……”
พระสนมซูเอนตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย ยื่นมือออกไปลูบใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉิน แน่นอนว่าเฟิ่งชิงเฉินสามารถถอยหลังเพื่อหลีกมือของนางได้ แต่เมื่อพบว่าพระสนมซูต้องการใช้เล็บของนางกรีดบนใบหน้าของตน เฟิ่งชิงเฉินจึงผลักมือของพระสนมซูออกไปโดยไม่คิดอะไรทั้งนั้น
“ปัง” เสียงดังขึ้น หลังมือของพระสนมซูกลายเป็นสีแดง พระสนมซูรู้สึกเจ็บปวด คิดไม่ถึงว่าเฟิ่งชิงเฉินจะกล้าเอาคืน ทำให้นางตะลึงไปชั่วขณะ
เฟิ่งชิงเฉินทำร้ายอีกฝ่ายโดยที่ไม่คิดว่าตนเองผิด หลังจากก้าวถอยหลังกลับมา นางกล่าวออกไปอย่างเยือกเย็นว่า “พระสนมซูเหนียงเหนียง ท่านเป็นผู้หญิงขององค์จักรพรรดิ ชิงเฉินเป็นเพียงหญิงสาวที่ยังไม่ได้ออกเรือน ไม่เข้าใจความรักอันใกล้ชิดระหว่างชายหญิง พระสนมซูเหนียงเหนียงได้โปรดสังวรในคำพูดและการกระทำของตนเองด้วย”
ไม่ว่าอย่างไร เรื่องที่เฟิ่งชิงเฉินยังไม่ได้แต่งงานนั้นเป็นความจริง และคำว่าไม่เข้าใจความรักอันใกล้ชิดระหว่างชายหญิง เฟิ่งชิงเฉินเน้นคำว่า “หญิง” เพื่อบอกเป็นนัยว่าพระสนมซูทำตัวหยาบคายและแย่เสียยิ่งกว่าผู้ชาย
พระสนมซูโกรธจนเสียสติ สะบัดหลังมือไปยังใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉิน “เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าช่างกล้าเหลือเกิน ไม่เพียงแต่พูดจาหยาบคายดูถูกข้าเท่านั้น แต่ยังกล้าลงมือกับข้าอย่างนั้นหรือ?”
เฟิ่งชิงเฉินไม่ใช่มังสวิรัติ นางจับข้อมือของพระสนมซูไว้ จากนั้นก็ใช้แรงผลักออกไป “พระสนมซูเหนียงเหนียง ครั้งหน้าหากจะทำร้ายใครก็ช่วยดูให้ชัดเจน ไม่ใช่ว่าเจ้าจะสามารถทำร้ายใครก็ได้”
“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าโอหังยิ่งนัก วันนี้ข้าจะลงโทษเจ้าในฐานะไม่เคารพในตัวข้า” ด้วยการจับและสะบัดมือ ทำให้ข้อมือของพระสนมซูบวมและกลายเป็นสีแดง พระสนมซูรู้สึกเจ็บปวดจนน้ำตาไหล
การตบตีกันในวังหลังถือเป็นการกระทำที่ไม่สุภาพ มีโทษร้ายแรง พระสนมซูเชื่อมั่นในหลักฐานตรงข้อมือของนาง จักรพรรดิจะต้องออกหน้าแทนนางเป็นแน่ พระสนมซูส่งสายตาให้กับนางกำนัลในวังหลังของนาง นางกำนัลผู้นั้นเป็นคนมีไหวพริบ รีบเดินจากไปทันที ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านางไปยื่นคำฟ้อง
ฮึ……เฟิ่งชิงเฉินยิ้มออกมาด้วยความดูถูก นาง เฟิ่งชิงเฉิน เมื่อกล้าลงมือไปแล้วไม่มีทางกลัวความผิด คิดว่านางเป็นเด็กกำพร้าในตอนแรกที่ไม่ว่าใครก็สามารถทำร้ายได้อย่างนั้นหรือ
เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้รีบร้อน แต่ขันทีในตำหนักจาวเยี่ยนร้อนรนจนแทบทนไม่ไหว กล่าวออกมาทั้งน้ำตา “แม่นางเฟิ่ง หลังจากนี้จะทำเช่นไรดี?”
“มีอะไรต้องทำอย่างนั้นหรือ สนมเอกเซี่ยเหนียงเหนียงกำลังรอข้าอยู่ไม่ใช่หรือ ไปกันเถอะ……อย่าให้สนมเอกเซี่ยต้องรอนาน” เฟิ่งชิงเฉินไม่สนใจพระสนมซู นางเดินผ่านพระสนมซูไปทั้งอย่างนั้น
“จับนางไว้เดี๋ยวนี้” พระสนมซูได้รับความสูญเสียอันยิ่งใหญ่ กำลังขอความช่วยเหลือจากทหาร นางจะปล่อยเฟิ่งชิงเฉินไปได้อย่างไร
พระสนมซูพานางกำนัลมาด้วยเจ็ดแปดคน ประกอบกับขันทีอีกห้าหกคน ทั้งสิบกว่าคนเดินเข้ามาขวางหน้า ทำให้เฟิ่งชิงเฉินไม่สามารถไปไหนได้ทั้งนั้น
“พระสนมซูเหนียงเหนียง สุนัขที่ดีควรหลีกไปให้พ้นทาง” เฟิ่งชิงเฉินเริ่มจะหมดความอดทน
นางเสียเวลาเป็นเพียงเล่นกับพระสนมซูมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว พระสนมซูว่างจนเกียจคร้าน แต่นางยุ่งจะตายไป……
“เจ้าว่าใครเป็นสุนัข?” พระสนมซูโกรธจนตัวสั่น
เฟิ่งชิงเฉินไม่เคยเห็นนางอยู่ในสายตาอยู่แล้ว จึงกล่าวออกไปอย่างเย็นชา “ใครขวาง คนนั้นก็รับไป”
“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้า……” พระสนมซูโกรธจนน้ำตาไหลออกมา ไม่สนว่าตนเองมีอำนาจนั้นอยู่หรือไม่ ชี้นิ้วออกไปพร้อมออกคำสั่ง “มานี่ ชิงเฉินแห่งตระกูลเฟิ่งไม่เคารพในตัวข้า ลากตัวนางไปเฆี่ยนห้าสิบหวาย”
“ขอรับ”
“โอหัง” เฟิ่งชิงเฉินจ้องมองไปยังพระสนมซูด้วยสายตาอันเฉียบคม
ด้วยเสียงอันดุร้ายและเคร่งขรึม สามารถหยุดพระสนมซูและเหล่าขันทีเอาไว้ได้ แต่นางกำนัลส่วนใหญ่ที่อยู่ในวังได้ผ่านประสบการณ์มามากมาย ไม่นานพวกเขาก็ได้สติกลับคืนมา และเริ่มรู้สึกรำคาญใจ
“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าช่างกล้าเหลือเกิน เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาหาว่าข้าโอหัง มานี่ ตบปากนางเดี๋ยวนี้” วันนี้พระสนมซูมุ่งมั่นที่จะทำร้ายเฟิ่งชิงเฉินเพื่อตอบสนองความต้องการของนางจนพอใจ
“ตบปาก? พระสนมซู เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร กล้าดียังไงถึงมาตอบปากข้า” เฟิ่งชิงเฉินหัวเราะอย่างเยือกเย็น มองเห็นคนที่สวมชุดพิธีกรรมสีเหลือเดินมาจากไกล ๆ แววตาของนางเต็มไปด้วยความดุร้าย……
เยี่ยม คนที่ควรมาก็มาถึงแล้ว!