นางสนมแพทย์อัจฉริยะ - บทที่ 1059 ดอกกุหลาบ,ข้าจะไปถวายเครื่องหอมเป็นเพื่อนเจ้า
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 1059
เช้าวันต่อมา จักรพรรดิส่งคนมาประกาศกฤษฎีกา สั่งให้เฟิ่งชิงเฉินเข้าไปในพระราชวังทันที แต่ทุกอย่างก็ไร้ผล เนื่องจากเสด็จอาเก้าและเสด็จอาเก้าออกไปถวายเครื่องหอมและอธิษฐานขอพรก่อนรุ่งอรุณ
“ถวายเครื่องหอม?” จักรพรรดิมือสั่น หมึกหกบนกระดาษขาว ทำให้บทความที่กำลังเขียนอยู่เสียหาย
“กราบทูลฝ่าบาท ใช่พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีผู้ประกาศกฤษฎีกาเช็ดเหงื่อบนหน้าผากของเขา คุกเข่าลงทันที ขาทั้งสองข้างอดที่จะสั่นเทาไม่ได้
นานแล้วที่ไม่เห็นเสด็จอาเก้าเสด็จเข้าวัด ถวายเครื่องหอม เหตุใดถึงต้องพาเฟิ่งชิงเฉินเข้าไปในวัดตั้งแต่เช้าตรู่
“ได้บอกหรือไม่ว่าจะกล้ามาเมื่อใด?” จักรพรรดิวางปากกา ขันทีรีบก้าวออกมาด้านหน้าเพื่อยื่นผ้าขนหนูสีขาวให้แก่จักรพรรดิสำหรับการเช็ดมือ
“ถามแล้วพ่ะย่ะค่ะ ได้ยินว่าเดินทางไปยังวิหารชมเดือนที่อยู่นอกเมือง เกรงว่าน่าจะกลับมาค่ำ ๆ”
“วิหารชมเดือน? ที่นั่นมันที่ไหน?” ความสงสัยปรากฏออกมาบนใบหน้าของจักรพรรดิ ตอนแรกคิดว่าเฟิ่งชิงเฉินอาจจะเกรงกลัวจึงใช้โอกาสนี้ในการหลบหนี คิดไม่ถึงเลยว่าจะไปถวายเครื่องหอมจริง
“เกรงว่าจะเป็นเพียงวัดเล็ก ๆ ข้าเองก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนเช่นนั้น แต่จากที่ข้าไปหาข้อมูลมา วิหารชมเดือนคือวิหารภิกษุณีแห่งหนึ่ง อาหารมังสวิรัติของที่นั่นมีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก สวนด้านหลังเป็นทุ่งดอกกุหลาบอันงดงาม ฮูหยินจำนวนมากชอบเดินทางไปที่นั่นเพื่อชื่นชมดอกไม้” จากคำพูดของขันทีน้อยนั้นหมายความว่าเสด็จอาเก้าพาสาวงามออกไปเพลิดเพลินกับสวนดอกไม้และทานอาหารมังสวิรัติ ส่วนเรื่องถวายเครื่องหอม……
หากต้องการถวายเครื่องหอม เหตุใดจะต้องไปถึงวิหารภิกษุณีที่ไร้ชื่อเสียงซึ่งอยู่นอกเมือง
“เจ้าเก้าช่างว่างเสียเหลือเกิน” จักรพรรดิกล่าวออกมาด้วยความเย้ยหยัน เดินกลับไปหน้าโต๊ะของตนเอง เมื่อเห็นคำไว้อาลัยที่เขาเขียนขึ้นมาอย่างไม่ชัดเจน จักรพรรดิก็โบกมืออย่างกระวนกระวายและบอกให้ขันทีถอยออกไป
ขันทีคนสนิทผู้รู้ใจจักรพรรดิ เมื่อเห็นว่าจักรพรรดิไม่มีความสุข เขากล่าวปลอบโยนออกมาเบา ๆ ว่า “ฝ่าบาท พระสนมซูเหนียงเหนียงรักและเคารพฝ่าบาทมาก หากพระสนมซูเหนียงเหนียงรู้ว่าฝ่าบาทต้องเจ็บปวดเพราะนางถึงเพียงนี้ นางจะจากไปอย่างสบายใจได้อย่างไร”
“พระสนมซู หากนางไม่ต้องการไปจากข้า เช่นนั้นการที่นางไม่จากไปก็คงเป็นเรื่องที่ดีที่สุด”
คนตายไปแล้ว ก่อนหน้านี้คนผู้นั้นทำทุกอย่างได้ดีจนน่าตกใจ จักรพรรดินึกถึงรอยยิ้มของพระสนมซู เขาก็ยิ่งรู้สึกเกลียดเฟิ่งชิงเฉินที่เป็นตัวการของเรื่องทั้งหมด ทำร้ายพระสนมซูอันเป็นที่รักของเขาจนถึงแก่ความตาย และยังมีเวลาว่างไปชื่นชมดอกไม้ ช่างไม่เห็นจักรพรรดิอย่างเขาอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย……
เมื่อคืนเฟิ่งชิงเฉินถูกเสด็จอาเก้าทรมานมามากพอแล้ว เนื่องจากคำนึงถึงอาการบาดเจ็บของเสด็จอาเก้า นางจึงยอมถูกเสด็จอาเก้าครอบงำ ร่วมมือกับเสด็จอาเก้าในท่วงท่าต่าง ๆ จนกระทั่งถึงใกล้รุ่งสางนางถึงได้นอน แต่สุดท้าย……
ยังนอนได้ไม่ถึงชั่วโมง นางก็ถูกเสด็จอาเก้าขุดขึ้นมาจากเตียง เสด็จอาเก้าสวมเสื้อผ้าให้กับนางขณะที่นางยังงุนงง หลังจากนางได้สติเล็กน้อย เขาก็อุ้มนางขึ้นไปบนรถม้าเพื่อนอนหลับต่อไป และระหว่างที่นางกำลังหลับ รถม้าก็เดินทางออกมานอกเมืองแล้ว
ถนนนอนเมืองเป็นหลุมเป็นบ่อ แม้เฟิ่งชิงเฉินจะนอนหนุนอยู่บนตักของเสด็จอาเก้า แต่นางก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่การหลับที่สบาย ห้าวออกมา ขยี้ตาอย่างนุ่มนวล เฟิ่งชิงเฉินถามออกมาอย่างคลุมเครือว่า “เช้าขนาดนี้ เจ้าจะไปที่ไหน?”
“ออกจากเมือง ข้าจะพาเจ้าไปถวายเครื่องหอม” เสด็จอาเก้าเคาะรถม้าเบา ๆ ความเร็วของรถม้าค่อย ๆ ลดลง หลังจากนั้นไม่นานคนรับใช้ก็นำน้ำและกระจกมามอบให้
“ตื่นแล้วก็ล้างหน้าก่อน” ใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉินยังมีรอยแห่งการหลับนอนหลงเหลืออยู่ มองดูแล้วเหมือนแมวน้อย น่ารักเป็นที่สุด
“อือ อือ” เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง หลังจากล้างหน้าล้างตาแล้วก็รู้สึกสดชื่นเป็นอย่างมาก และสมองของนางก็กลับมาทำงานตามปกติ
“ไปถวายเครื่องหอมเป็นเพื่อนข้า? ข้าบอกเจ้าเมื่อไหร่ว่าข้าจะไปถวายเครื่องหอม?”
“เจ้ายังไม่ได้ทานอาหารเจ้า ทานอะไรเข้าไปเสียหน่อย” เสด็จอาเก้าหยิบจานขนมอบและกาน้ำออกมาจากตู้ในรถม้า คนที่คุ้นเคยกับเฟิ่งชิงเฉินต่างรู้ดี เฟิ่งชิงเฉินชอบดื่มน้ำเปล่าไม่ใช่น้ำชา
“อือ” เฟิ่งชิงเฉินหยิบขนมขึ้นมาทานหนึ่งชิ้น ขนมพุทราแดงเป็นสิ่งที่ช่วยบำรุงเลือดได้เป็นอย่างดี
“เจ้ายังไม่ได้บอกข้าเลยว่า พวกเรามาถวายเครื่องหอมได้อย่างไร?” กินก็ส่วนกิน เฟิ่งชิงเฉินยังไม่ลืมถึงเรื่องสำคัญของนาง
คิดว่านางเป็นคนโง่หรืออย่างไร ต่อให้ไปถวายเครื่องหอมก็ไม่จำเป็นต้องออกจากบ้านตั้งแต่เช้าตรู่ เมื่อคืนวานนางรู้สึกเหนื่อยล้าคนแทบหมดลมหายใจ
ช่วยไม่ได้ ผู้ชายที่หิวโหยมาเป็นเวลานานนั้นช่างน่ากลัวยิ่งนัก
“นอกเมืองมีวิหารชมเดือนอยู่แห่งหนึ่ง ข้าได้ยินมาว่าอาหารมังสวิรัติที่นั่นอร่อยมาก ด้านหลังก็มีสวนกุหลาบอันงดงาม เวลานี้เป็นเวลาที่มันกำลังบานสะพรั่ง” เสด็จอาเก้ากล่าวออกมาด้วยใบหน้าบนคลาย หลังพิงที่นั่ง ท่าทางเต็มไปด้วยความเกียจคร้าน ลมหายใจปลอดโปร่ง สอดคล้องกับการที่ได้ออกมาผ่อนคลายนอกเมือง
เมื่อได้ยินอย่างนั้นใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉินเต็มไปด้วยความโหยหา นางแอบรู้สึกดีใจที่ในที่สุดเสด็จอาเก้าก็พานางออกมาเหมือนกับคู่รักอื่น ๆ
ที่จริงนี่เป็นเพียงศิลปะทางการพูดของเสด็จอาเก้า ตั้งแต่ต้นจนจบเสด็จอาเก้าเพียงกล่าวออกมาว่า “ได้ยินมา” เขาไม่เคยบอกเลยว่าจะพาเฟิ่งชิงเฉินไปทานอาหารมังสวิรัติหรือชื่นชมสวนดอกไม้ แต่เป็นตัวของเฟิ่งชิงเฉินเองที่เมื่อได้ยินเช่นนี้แล้วให้ความร่วมมือกับเสด็จอาเก้า และคิดไปเองว่าเสด็จอาเก้าพานางออกมาเที่ยวเล่นนอกเมืองอย่างอิสระ
อาหารมังสวิรัติคืออะไรเฟิ่งชิงเฉินไม่เคยสนใจมันเลย สิ่งที่เป็นความสนใจของนางก็คือสวนกุหลาบ ดูเหมือนว่านางจะไม่เคยเห็นสวนกุหลาบมาก่อน ถึงต่อให้เคยเห็นมันก็ไม่ใช่ดอกกุหลาบ มันเป็นเพียงแค่กุหลาบจันทร์
“ดอกกุหลาบมีลักษณะอย่างไร?” ให้ตายเฟิ่งชิงเฉินก็ไม่เชื่อว่าเสด็จอาเก้าจะรู้ว่าดอกกุหลาบเป็นตัวแทนแห่งความรัก เนื่องจากวัฒนธรรมที่บอกว่าดอกกุหลาบเป็นตัวแทนแห่งความรักนั้นมาจากต่างประเทศ เสด็จอาเก้าคงเพียงแค่ต้องการพานางมาชื่นชมดอกกุหลาบอย่างบริสุทธิ์ใจ
“คล้ายกับกุหลาบจันทร์ เพียงแต่ทุ่งดอกไม้นั้นเต็มไปด้วยสีแดงสด สตรีสูงศักดิ์หลายคนในคอกม้าจะไปเพลิดเพลินกับดอกไม้ ส่วนชื่อของมันนั้นสืบทอดมาจากคนของตระกูลชุย ต่อมาจึงถูกเรียกว่าทุ่งดอกกุหลาบ” เสด็จอาเก้าเห็นว่าเฟิ่งชิงเฉินสนใจกับทุ่งดอกกุหลาบเป็นพิเศษ เขาจึงอธิบายออกมาอีกเล็กน้อย
อ่า……ตระกูลชุย หลานอีหลิน แม่นางที่แสนจะไร้เดียงสาผู้นั้น ปรากฏว่านี่คือที่มาของชื่อทุ่งกุหลาบ เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกหดหู่ใจขึ้นมาทันใด……
“เป็นอะไรงั้นหรือ? ไม่สบาย?” เปลือกตาของเสด็จอาเก้ายกตัวขึ้น ถามออกมาด้วยความเป็นห่วง
วันนี้หากหาตัวของเสด็จพี่สามไม่พบแล้วกลับไป จักรพรรดิจะต้องสร้างปัญหาให้เฟิ่งชิงเฉินเป็นแน่ พระสนมซูจากไปแล้ว จักรพรรดิจะต้องคิดบัญชีกับเฟิ่งชิงเฉินเป็นแน่
“ไม่เป็นอะไร ข้าก็แค่คาดหวังกับทุ่งกุหลาบเท่านั้น” เฟิ่งชิงเฉินรีบกล่าวออกไปพร้อมรอยยิ้ม นึกถึงความหมายของดอกกุหลาบ นางกลอกตาเล็กน้อย จากนั้นก็มองไปยังเสด็จอาเก้าพร้อมกล่าวว่า “เสด็จอาเก้า เมื่อถึงทุ่งกุหลาบ เจ้าช่วยเลือกกุหลาบให้ข้าสักดอกได้หรือไม่?”
มีชีวิตอยู่มาสองชั่วอายุคน ไม่เคยมีคนรักมาก่อน ไม่เคยได้ดอกกุหลาบแม้แต่ครั้งเดียว เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกถึงความเศร้าและโหยหา ถึงเวลานี้ นางต้องการเติมเต็มความฝันของนาง มันก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร
แม้ว่าเสด็จอาเก้าจะไม่รู้ว่าดอกกุหลาบนั้นหมายถึงอะไรก็ตาม
“เจ้าชอบดอกไม้?” ความสงสัยปรากฏขึ้นบนใบหน้า ในความทรงจำของเขา เฟิ่งชิงเฉินไม่เหมือนกับผู้หญิงที่ชื่นชอบอะไรอย่างดอกไม้พวกนี้
“ไม่มีผู้หญิงคนไหนไม่ชอบดอกไม้” โดยเฉพาะดอกไม้ที่ได้มาจากคนรักของตนเอง
เฟิ่งชิงเฉินมองไปที่เสด็จอาเก้าด้วยความเศร้าใจ นางเองก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่งไม่ใช่หรือไง ต่อให้จะแข็งแกร่งสักเพียงใด แต่หัวใจของนางก็ยังเป็นผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ดี และเฝ้ารอรับดอกกุหลาบจากคนรักของนาง
“เจ้าไม่เหมือนคนที่ชื่นชอบดอกไม้ เจ้ามีเวลาดูแลดอกไม้งั้นหรือ?” เสด็จอาเก้าสงสัยเป็นอย่างมาก ในความทรงจำของเขา คนประเภทหวังจิ่นหลิงเท่านั้นที่มีเวลามากพอจะไปดูแลดอกไม้ และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับของเหล่านี้……
นี่คือช่องว่างระหว่างช่วงอายุ!
เฟิ่งชิงเฉินหมดคำจะพูด……
ดอกไม้ที่นางพูดถึงกับดอกไม้ที่เสด็จอาเก้าเข้าใจนั้นแตกต่างกันออกไป เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก แต่นางไม่มีแรงที่จะอธิบายให้เสด็จอาเก้าฟัง เฟิ่งชิงเฉินจึงทำได้เพียงโบกมือ
“ช่างมันเถอะ ข้าไม่ต้องการมันแล้ว……”
ก็แค่ดอกไม้ดอกเดียวไม่ใช่หรือไง ใช้ชีวิตมามากกว่ายี่สิบปีก็ยังไม่เคยได้รับแม้แต่ครั้งเดียว ชีวิตนี้ของนางก็คงไม่ได้รับมันอีกต่อไปแล้ว
“ก็แค่ดอกไม้ดอกเดียวไม่ใช่หรือไง เจ้าต้องการ เหตุใดข้าจะมอบให้เจ้าไม่ได้” เสด็จอาเก้าจะปล่อยให้ดอกไม้เพียงดอกเดียวมาทำลายความสุขของเฟิ่งชิงเฉินได้อย่างไร อย่าว่าแต่ดอกเดียวเลย ต่อให้เป็นทั้งสวนกุหลาบ เขาก็สามารถให้นางได้……